ภายในจวนตระกูลเหมียว ณ เมืองเทียนยิน
หานโม่ฉือพักอยู่ในจวนตระกูลเหมียวมานานครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้ไม่เพียงแต่พลังในร่างของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาเท่านั้น ทว่าเขาก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จเช่นกัน
ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พลังของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่าด้วยข้อจำกัดของดินแดนเทพมายา เขาจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ทว่าในดินแดนระดับสูงแห่งนี้ไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจึงสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างง่ายดายและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาและคนของตระกูลเหมียวก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างมากและทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าหานโม่ฉือทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ แม้แต่ในดินแดนที่แกร่งกล้าแห่งนี้ จอมยุทธ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีซึ่งบรรลุขอบเขตนี้ได้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ !
“พี่หาน ข้ายังไม่มีข่าวของท่านพี่สะใภ้เลยเจ้าค่ะ”
วันนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ภายในเรือนอย่างสงบและเหมียวเจินเจินเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลเหมียวส่งคนออกไปสืบข่าวคราวทั่วบริเวณทว่าไม่มีเบาะแสของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย มั่นใจได้เลยว่าหากฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองนี้หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็น่าจะได้ทราบเบาะแสของนางมานานแล้ว สาเหตุที่ไม่มีข่าวความคืบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะตำแหน่งของนางไม่ได้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนยินเลย
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะรับทราบและกล่าวขอบคุณน้องสาวผู้ร่าเริงและอารมณ์ดีตลอดเวลาผู้นี้
เขาทราบดีว่าเหมียวเจินเจินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและพยายามหาทางสืบข่าวของฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อทุกคนในตระกูลเหมียวตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเหล่านี้กระตือรือร้นกันอย่างมากและต้อนรับเขาในฐานะแขกคนสำคัญของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมียวเองก็เป็นมิตรอย่างยิ่งและมอบความสบายใจให้กับเขาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเขาเอง
“พี่หาน หากท่านยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่านตามหาพี่สะใภ้แล้วนะ”
เหมียวเจินเจินกล่าวติดตลกและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “โอ้…จริงสิ ท่านพ่อเรียกพี่หานไปพบที่ห้องตำราและมีเรื่องจะพูดคุยหารือกับพี่หานเจ้าค่ะ”
แม้ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังวิธีการบางอย่างที่พอจะช่วยให้ตามหาฉินอวี้โม่ได้ หากเป็นไปตามที่คาด คงไม่ยากที่หานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่หลังจากนั้น
ภายในห้องตำราของจวนตระกูลเหมียว นอกเหนือจากเหมียวเหรินจวิน—ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินเข้าไปและพบกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น
สตรีในตระกูลเหมียวหลายคนระหว่างทางก็มีพวงแก้มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวเมื่อพบหน้าหานโม่ฉือ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มจากต่างแดนผู้นี้รูปงามจนเกินไป แม้เขาพักอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือนและได้พบหน้าเขาหลายครา พวกนางก็ยังไม่อาจหักห้ามมิให้ใจเต้นแรงทุกคราที่พบกัน
“ท่านลุงขอรับ”
เมื่อเข้ามาในห้องตำรา หานโม่ฉือก็กล่าวทักทายทุกคนก่อนนั่งลงใกล้กับเหมียวเหรินจวิน
เหมียวเจินเจินเองก็ไม่ได้แยกออกไปและนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหานโม่ฉือเช่นกัน
ผู้นำตระกูลเหมียวโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่ประตูห้องตำราจะปิดลง จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานโม่ฉือและกล่าวขึ้นมา “โม่ฉือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือด้วย”
เหมียวเหรินจวินชื่นชมบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยินดีที่จะจัดการให้เหมียวเจินเจินได้ตบแต่งกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แม้ใช้เวลาทำความรู้จักกันได้สั้น ๆ เพียงครึ่งเดือนและยังไม่ทราบภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็ชื่นชมในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ หานโม่ฉือก็จัดเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างที่สุด เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน แม้ไม่มีโอกาสได้บุรุษผู้นี้เป็นบุตรเขย แต่การได้ผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด
“ท่านลุงมีสิ่งใดก็ว่ามาได้เลยขอรับ ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หานโม่ฉือยกมือประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าเช่นกัน”
เหมียวเหรินจวินมองสีหน้าท่าทางจริงใจของหานโม่ฉือและรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้นก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“โม่ฉือ ในการคัดเลือกของเมืองเทียนยินที่จะมาถึงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนให้กับตระกูลเหมียวของพวกเราได้”
จุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหมียวในครานี้คือการต้องการให้หานโม่ฉือเข้าร่วมตระกูลเหมียวเพื่อเป็นตัวแทนในการคัดเลือกจอมยุทธ์ประจำปีนี้
“พี่หาน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะผ่านการคัดเลือกครานี้ไปได้ไม่ยาก หากได้เป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของเมืองเทียนยินของเรา ท่านก็จะได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสามสำนักและเก้านิกาย ท่านเคยบอกข้าว่าท่านพี่สะใภ้มีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่าน หากนางทราบถึงเรื่องการคัดเลือกประจำปี นางไม่มีทางพลาดแน่เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ ท่านก็จะได้พบกับพี่สะใภ้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
เหมียวเจินเจินกล่าวอธิบายเรื่องการคัดเลือกที่บิดาของตนหมายถึงและนั่นเป็นการคัดเลือกเดียวกันกับที่ฉินอวี้โม่กำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมอยู่ในอำเภอซ่างหยวน
เพียงแต่ฟากของหานโม่ฉือนั้นง่ายกว่าฉินอวี้โม่มาก
อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่จะต้องผ่านการทดสอบของอำเภอไปตามขั้นก่อนที่จะผ่านเข้าถึงมณฑลชิงโจวและเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบของมณฑลชิงโจว รอบสุดท้ายก็คือการคัดเลือกโดยตรงของสามสำนักและเก้านิกาย
ทว่าเมืองเทียนยินก็เป็นเมืองใหญ่ที่เทียบเท่ากับมณฑลชิงโจวและเป็นกรณียกเว้นพิเศษ เพราะฉะนั้นหานโม่ฉือจึงต้องเข้าร่วมการคัดเลือกของเมืองเทียนยินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเมืองขนาดที่ใหญ่มาก เขาจะผ่านไปสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกายได้โดยตรง นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือกของเขาจะสั้นกว่าฉินอวี้โม่หนึ่งขั้นซึ่งช่วยให้ผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้ง่ายกว่า
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หานโม่ฉือตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาถูกต้องแล้วและฉินอวี้โม่จะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่ใด นางจะหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ประจำปีนี้เป็นแน่ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนาง หานโม่ฉือไม่มีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสำหรับตอนนี้ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่เขาจะได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ท่านพ่อ เห็นหรือไม่เจ้าคะ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หานจะต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”
เหมียวเจินเจินกล่าวกับบิดาและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นับตั้งแต่ก่อนที่เหมียวเหรินจวินจะกล่าวข้อเสนอกับหานโม่ฉือ นางทราบอยู่แล้วว่า ‘พี่หาน’ จะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และเป็นจริงดังที่คิดไว้ นางคาดเดาไม่ผิดเลย หานโม่ฉือตกปากรับคำด้วยความยินดี
“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามโม่ฉือไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยกันเถอะ”
เหมียวเหรินจวินมองบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจและไม่รังเกียจที่นางจะติดตามไปกับหานโม่ฉือด้วย จากความเข้าใจที่เขามีต่อหานโม่ฉือ เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าหานโม่ฉือจะปกป้องเหมียวเจินเจินได้อย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้เช่นกัน…
“โม่ฉือ การคัดเลือกจะเริ่มต้นในอีกสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้นมิใช่เพียงคนของเมืองเทียนยินของเราเท่านั้น ทว่าเมืองเล็ก ๆ โดยรอบทั้งหมดก็จะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และฝีมือโดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกประจำปีนี้ แม้พรสวรรค์และพลังของเจ้าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เจ้าก็ไม่ควรประมาทเกินไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าก็ออกไปสำรวจให้ทั่วเมืองก่อนเถอะเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว”
ผู้นำตระกูลเหมียวก็กล่าวกับหานโม่ฉือราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูล
“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่ปฏิเสธใด ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในจวนตระกูลเหมียวและแทบไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เขาทราบในช่วงที่ผ่านมานี้ก็ล้วนมาจากคำบอกเล่าของเหมียวเจินเจิน บังเอิญว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเหลือเพียงแต่การปรับรากฐานพลังให้คงที่เท่านั้น เขาจึงออกไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบร้อนฝึกวิชาอีก
“เยี่ยมไปเลย พี่หาน…ข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองและพาไปทานอาหารที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนยินเอง”
เหมียวเจินเจินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า นางยังอายุน้อยมากและเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับความสนุกสนานและความสุข
ทุกคนในห้องตำราก็อดหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของนางไม่ได้ เหมียวเหรินจวินก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถห้ามปรามหรือควบคุมบุตรสาวผู้นี้ได้เลย
หลังจากหารือเรื่องต่าง ๆ อีกพักหนึ่ง เหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือออกนอกจวนตระกูลเหมียวเพื่อออกไปเที่ยวชมรอบเมืองเทียนยิน
‘เมืองเทียนยิน’ จัดเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านครล่าฝันในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางเข้า-ออกอย่างไม่หยุดหย่อน หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินไปตามเส้นทางและได้พบเห็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากหน้าหลายตา
ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงและแม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของพวกเขาได้เลย
ต้องกล่าวเลยว่าเสือหมอบมังกรซ่อนของดินแดนแห่งนี้มีมากยิ่งกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายเท่านัก
* 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา
หลังจากนั้นเหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือเที่ยวชมไปทั่วก่อนมาถึงภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนยินและจองห้องแยกห้องหนึ่งทันที
“พี่หาน อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ท่านควรจะลองลิ้มรสดู”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า นางชอบมารับประทานอาหารในภัตตาคารชิงอวิ๋นแห่งนี้มากที่สุด ไม่ว่าอาหารหรือขนม ทุกอย่างล้วนมีรสชาติดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเหล่านั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานหนาแน่นซึ่งส่งผลให้พวกมันมีราคาสูงและคนธรรมดาหลายคนไม่มีวาสนาที่จะได้ลิ้มลองมัน
หานโม่ฉือนั่งลงด้านข้างและฟังเหมียวเจินเจินเล่าเรื่องราวสถานการณ์ในเมืองเทียนยินต่อไปโดยไม่กล่าวความคิดเห็นใดมากนัก เขาเพียงส่งเสียงตอบรับในช่วงท้ายประโยคเป็นระยะ ๆ เท่านั้นเพื่อมิให้เหมียวเจินเจินรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกินไป
แม้ภายในห้องแยกนี้จะมีเพียงพวกเขาสองคน ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยสักนิดและน้ำเสียงร่าเริงของเหมียวเจินเจินก็ดังชัดเจนไปถึงข้างนอก
“เฮ้ ข้าก็นึกว่าใครที่กล้าแย่งห้องของข้าไป ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เหมียวเจินเจิน…นังเด็กตัวเหม็น !”
น้ำเสียงยั่วยุระคนไม่พอใจดังมาจากข้างนอกก่อนที่ประตูห้องแยกจะถูกผลักเปิดออกอย่างรุนแรง
หน้าประตูเวลานี้ มีสตรีคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและมีบุรุษหนุ่มอายุช่วงยี่สิบปีหลายคนติดตามอยู่ข้างหลัง
รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ทว่าใบหน้าของนางก็ทาสีขาวซีดและแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีแดงซึ่งดูประหลาดตาอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังนางก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าสีหน้าแววตาทะนงตนที่ปรากฏชัดเจนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ห้องของเจ้า ? ตลกชะมัด ฮ่า ๆ ๆ มีชื่อของเจ้าเขียนไว้ด้วยรึ ?”
เหมียวเจินเจินยืนขึ้นสบตาสตรีผู้นั้นและตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าทันที
สตรีผู้นี้ก็คือเถียนเยี่ยนจือ—คุณหนูของตระกูลเถียนซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเหมียวเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือพี่น้องของนาง—เหล่าคุณชายแห่งตระกูลเถียน
ตระกูลเถียนและตระกูลเหมียวไม่เคยมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งผู้นำและบรรดาศิษย์ของสองตระกูลก็ถือว่าเลวร้ายอย่างมาก ทว่าเถียนเยี่ยนจือผู้นี้ก็ริษยาในความงามของเหมียวเจินเจินที่เหนือกว่าตน เพราะฉะนั้นนางจึงพยายามยั่วยุและหาเรื่องทุกคราที่ได้พบหน้ากัน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนก็ยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันหรือความบาดหมางกันเป็นประจำ ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป
“เหอะ แม้ข้าจะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้แต่ข้านั่งทานอาหารในห้องนี้ทุกคราที่มาที่นี่ ทุกคนต่างก็ทราบดี !”
เถียนเยี่ยนจือแค่นเสียงและเหลือบไปเห็นบุรุษคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหมียวเจินเจินก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “หึ เหมียวเจินเจิน ครานี้เจ้าพาหมาแมวที่ไหนมาด้วยล่ะ ?”
ทว่าทันทีที่สายตาของนางบรรจบลงที่ใบหน้าของหานโม่ฉือ นางก็ตะลึงงันไปทันที…
เหมียวเจินเจินเป็นบุตรคนเดียวของทายาทตระกูลเหมียวและไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียว ทุกคราที่นางปรากฏตัว นางก็มักอยู่ตัวคนเดียวหรือมาพร้อมกับศิษย์ผู้ติดตามจากตระกูลเหมียว ทว่าในทางกลับกัน พี่ชายหลายคนของเถียนเยี่ยนจือล้วนมีฝีมือพอสมควรและก่อนหน้านี้พวกเขาก็รังแกบรรดาศิษย์ที่เหมียวเจินเจินพามาด้วยอยู่หลายครั้งหลายครา
แม้เหมียวเจินเจินจะไม่พอใจนัก นางก็อดทนและไม่เคยหาเรื่องหรือตอบโต้อีกฝ่ายมากจนเกินไป
ทว่าน่าเสียดายที่เกรงว่าครานี้เถียนเยี่ยนจือคงจะเจอตอแข็งเข้าแล้ว