ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 104 รักษาชีวิต

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หมอทุกคนต่างตกใจจนร้องขอความเมตตา 

 

 

นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น “ภายในสองชั่วยาม หากคนไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ให้ครอบครัวของพวกเจ้าเตรียมงานศพให้พวกเจ้าเถิด” 

 

 

ทุกคนต่างครุ่นคิด ปรึกษาหารือกัน จึงคิดวิธีนี้ออกมาได้ ไม่คิดว่าจะทำให้นายน้อยอู่โหวโมโห แล้วแทบเอาชีวิตไม่รอด 

 

 

เหงื่อเย็นบนตัวของทุกคนค่อยๆ ไหลลงมา ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบคุกเข่าล้อมวงกัน ปรึกษาหาวิธีรักษาหลิวอวี้เอ๋อร์กันอีกครั้ง 

 

 

นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขาอย่างถมึงทึงตลอดเวลา ทำให้ใจพวกเขาไม่เป็นสุข สมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก 

 

 

ทุกคนจึงปรึกษาหารือกันไปมา แต่ก็คิดวิธีที่ดีไม่ออก ในขณะที่ทุกคนรู้สึกเย็นตรงคอ รู้สึกว่าหัวจะออกจากคอตลอดเวลา นายน้อยอู่โหวก็ละสายตา แล้วค่อยๆ ยกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ 

 

 

ไม่มีสายตาเยือกเย็นแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ โล่งอก ขยับหัวเข้าหากัน ปรึกษาหารือกันเบาๆ จึงคิดวิธีออกมาอีกหนึ่งวิธี เหตุที่คุณหนูหลิวสลบไปเยี่ยงนี้ ต้องเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอแน่นอน ถ้าเยี่ยงนั้นก็ต้องบำรุงร่างกายนาง บำรุงอย่างหนัก ใช้โสมที่มีอายุร้อยปี ต้มให้นางดื่มทั้งต้น ไม่แน่คุณหนูหลิวคนนี้อาจฟื้นขึ้นมา 

 

 

ทุกคนต่างเป็นหมอที่มีประสบการณ์ ประสบการณ์ต้องมีแน่นอน โสมอายุร้อยปีนี้หากต้มทั้งหมดแล้วดื่มลงไป ดูจากลักษณะชีพจรที่ไม่อ่อนแอของหลิวอวี้เอ๋อร์แล้วจะต้องเลือดกำเดาไหล อุณหภูมิร่างกายไม่ปรกติแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้แล้ว หวังว่าจะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งนี้ เพื่อทำให้หลิวอวี้เอ๋อร์ทนรับไม่ไหว ฟื้นขึ้นมาเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาค่อยให้ยาลดไข้กับนาง ให้คนฟื้นขึ้นมาก่อน ที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ 

 

 

ปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ทุกคนต่างสบตากัน แล้วพยักหน้าพร้อมกัน หมอที่กล้าหาญคนนั้นเจ็บแล้วไม่จำหันหลังเผชิญหน้ากับนายน้อยอู่โหว แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “นายน้อยอู่โหว พวกข้ายังมีอีกหนึ่งวิธี” 

 

 

“พูด” 

 

 

“เหตุที่คุณหนูหลิวสลบไม่ฟื้นเยี่ยงนี้ นั่นเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอมากเกินไป ฉะนั้น พวกข้าจึงออกความเห็นให้นางใช้โสมอายุร้อยปี ไม่แน่คุณหนูหลิวอาจฟื้นขึ้นมา” 

 

 

“ไม่แน่?” นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มมีความโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “ที่พูดเยี่ยงนี้นั้นหมายความว่าพวกเจ้าก็ไม่มั่นใจ” 

 

 

หมอทุกคนต่างตกใจจนเหงื่อออกเต็มตัว รีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “ไม่ๆๆ ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว คุณหนูหลิวต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน ต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอนขอรับ” 

 

 

นายน้อยอู่โหว “หึ” ออกมาเบาๆ “ดีที่สุดคือพวกเจ้าต้องมีความมั่นใจที่เพียงพอ ไม่เยี่ยงนั้น…” 

 

 

หมอทุกคนต่างพยักหน้าหงึกๆ กล่าวตอบเป็นเสียงพร้อมเพรียงกันว่า “มีๆๆ มีแน่นอนขอรับ” 

 

 

“ถ้าเยี่ยงนั้น ที่ใดมีโสมอายุร้อยปีขาย พวกเจ้านำทางไปซื้อมาหนึ่งต้น” 

 

 

หมอคนหนึ่งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ร้านยาเต๋อเหรินที่เป็นร้านยาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงมีขอรับ” 

 

 

ได้ยินชื่อร้านยาเต๋อเหริน นายน้อยอู่โหวยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก เหวินซื่อผู้เป็นเจ้าของร้านยาเต๋อเหรินสนิทกับท่านอ๋องฉี ทุกคนในเมืองหลวงรู้เรื่องนี้ ฉะนั้นคนในจวนของพวกเขาแทบจะไม่ใช้ยาของร้านยาเต๋อเหริน แล้วถามอีกประโยคว่า “ร้านยาร้านอื่นมีหรือไม่” 

 

 

ในใจของหมอทุกคนต่างแปลกใจ แต่ก็กล่าวตอบตามความจริงว่า “ร้านยาร้านอื่นก็มี แต่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าร้านยาเต๋อเหริน หากถึงเวลาแล้วคุณหนูหลิวไม่ฟื้นขึ้นมา…” 

 

 

แม้ว่าไม่พูดประโยคที่เหลือต่อ นายน้อยอู่โหวก็เข้าใจความหมายของเขา มองเขาด้วยหางตา ใช้นิ้วชี้เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้า ลุกขึ้นมา…” 

 

 

หมอคนนั้นตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่แขนขาอ่อนแรง 

 

 

นายน้อยอู่โหวหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงหนึ่งใบออกมาจากตัวให้เขา “เจ้าไปซื้อโสมที่ร้านยาเต๋อเหริน รีบไปรีบกลับมา” 

 

 

ที่แท้คือให้ช่วยไปซื้อยานี้เอง หมอคนนั้นโล่งอกทันที รีบก้าวออกมารับตั๋วเงินด้วยมือที่สั่นๆ แล้วหันหลังออกประตูห้องไปทันที 

 

 

ซื้อโสมมา หมอหลายคนช่วยกันต้ม แล้วยกเข้ามาในห้อง 

 

 

สาวใช้ที่หามาให้รับใช้หลิวอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ อุ้มนางขึ้นมา ยกช้อนขึ้นมา แล้วค่อยๆ ป้อนโสมให้นางดื่มลงไป 

 

 

ดื่มเสร็จ ก็เช็ดให้นางอย่างละเอียด แล้ววางนางลงบนเตียงอีกครั้ง 

 

 

ทุกคนในห้องต่างกลั้นลมหายใจมองนางด้วยใจจดใจจ่อ 

 

 

ไม่นาน สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ แดงขึ้น ร่างกายก็เริ่มขยับตัวขึ้นมา 

 

 

หมอทุกคนต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก ร้องในใจว่า “ได้ผล” 

 

 

นายน้อยอู่โหวก็จ้องนางตาไม่กะพริบ 

 

 

สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งอยู่ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทนร้อนไม่ไหว ดึงสิ่งที่คลุมอยู่บนตัวไว้ออก อีกทั้งยังอยากจะฉีกเสื้อผ้าบนตัวด้วย 

 

 

หมอทุกคนเห็น ก็รีบหันหลังแล้วกล่าวทันทีว่า “นายน้อยอู่โหว พวกข้าไปรอข้างนอกนะขอรับ” 

 

 

พูดจบ ก็ไม่รอนายน้อยอู่โหวตอนุญาต เดินออกไปพร้อมกันอย่างรีบร้อนทันที 

 

 

สาวใช้รีบจับมือของหลิวอวี้เอ๋อร์ไว้ทันที ไม่ให้นางฉีกเสื้อผ้าของตัวเอง 

 

 

ร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งขยับแรงขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

ในขณะที่สาวใช้เริ่มรู้สึกว่าจับตัวไว้ไม่ได้แล้ว และนายน้อยอู่โหวก็เริ่มมีไฟลุกขึ้นมาในดวงตา ทันใดนั้นหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมาทันที แล้วร้องออกมาว่า “ข้าร้อนจะตายแล้ว ข้าร้อนจะตายแล้ว ไม่ไหวแล้ว” 

 

 

คนฟื้นขึ้นมา นายน้อยอู่โหวก็วางใจลง หมอทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงหลิวอวี้เอ๋อร์ก็เหมือนได้ยินเสียงจากสวรรค์ ดีใจจนแทบจะร้องไห้กอดกัน 

 

 

“อวี้เอ๋อร์ เจ้า…” 

 

 

นายน้อยอู่โหวเอ่ยออกมา เพิ่งจะเอ่ยได้แค่นี้ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ก็กระโดดขึ้นมาจากเตียงทันที แม้แต่รองเท้าก็ไม่ใส่ พุ่งตัวไปทางประตูห้อง เปิดประตูออกแล้ววิ่งออกไปทันที 

 

 

“จับนางไว้” 

 

 

นายน้อยอู่โหวร้องออกมาอย่างตกใจ 

 

 

บ่าวรับใช้รีบกระโดดมาข้างหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว ขวางทางนางไว้แล้วกล่าวว่า “คุณหนู…” 

 

 

“หลบไป” หลิวอวี้เอ๋อร์ตะคอกออกมาด้วยความโมโห 

 

 

ลูกน้องไม่ขยับ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์เหมือนถูกปีศาจครอบงำ ผลักเขาหลายรอบ ผลักไม่ออก กัดฟัน ก้มหัว แล้วพุ่งชนตัวเขา 

 

 

ไม่คิดว่านางจะทำเยี่ยงนี้ ในเวลาเพียงครู่เดียวที่ลูกน้องหยุดชะงักไป ก็ถูกนางชนจนสะดุดไปข้างหลังสองก้าว 

 

 

มีช่องว่าง ร่างกายที่คล่องแคล่วของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็วิ่งผ่านตัวเขาลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ตีโต๊ะจ่ายเงินแล้วถามเจ้าของร้านว่า “ถังเก็บน้ำอยู่ที่ใด ถังเก็บน้ำอยู่ที่ใด” 

 

 

เจ้าของร้านเห็นดวงตาแดงก่ำของนางที่เพ่งมองมา ท่าทางเหมือนจะกินคน ก็รีบยกมือขึ้นมา แล้วชี้ไปทางลานด้านหลัง 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์เอาแต่พึมพำหาถังเก็บน้ำ แล้วพุ่งไปลานด้านหลัง ตามหาทุกที่ 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ที่ลานด้านหลังคิดว่ามีคนบ้าเข้ามา ในขณะที่จะเข้าไปไล่นางออกไปนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เห็นถังเก็บน้ำเข้า รีบพุ่งมาหน้าถังเก็บน้ำด้วยสายตาเป็นประกาย ไม่พูดจา ตักขึ้นมาหนึ่งขัน แล้วราดไปทั้งตัว รู้สึกว่าความร้อนในร่างกายเริ่มหายไปเล็กน้อย รู้สึกสบายขึ้นมาเล็กน้อย ก็ตักขึ้นมาอีกหนึ่งขัน แล้วก็อีกหนึ่งขัน 

 

 

ตอนที่นายน้อยอู่โหวและทุกคนมาถึงลานด้านหลัง ก็เห็นภาพที่หลิวอวี้เอ๋อร์ราดน้ำลงบนตัวของตัวเองไม่หยุด 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ในเรือนด้านหลังต่างมองตาค้าง มองนางตาไม่กะพริบ ลืมแม้กระทั่งงานในมือ 

 

 

“หากใครยังกล้ามองอีก ก็ควักลูกตาเขาออกมา” 

 

 

นายน้อยอู่โหวตะคอกออกมา 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ทุกคนรู้สึกตัวขึ้นมา ตกใจจนรีบหันหลังไปทันที 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ยังไม่รู้สึกสบายตัว ยังคงราดน้ำลงบนร่างกายของตัวเอง 

 

 

นายน้อยอู่โหวก้าวออกมา แล้วดึงผ้าปูที่นอนที่ตากไว้บนเชือกในลานด้านหลังมา คลุมลงบนตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ “อวี้เอ๋อร์ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” 

 

 

ถูกน้ำเย็นราดไปมากมายเยี่ยงนี้ ความร้อนในร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ลดลงไปไม่น้อย เริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย โยนขันในมือลงไปในถังเก็บน้ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างน่าสงสารว่า “ท่านพ่อ ร่างกายของข้าร้อนมาก ร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว” 

 

 

“รีบกลับห้อง ข้าจะให้คนไปซื้อน้ำแข็งมาทันที” 

 

 

นายน้อยอู่โหวไม่รู้ว่าเป็นผลจากโสม คิดว่านางทนอากาศแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งออกไป 

 

 

ความร้อนนั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง หลิวอวี้เอ๋อร์กัดฟันสั่นแล้วกล่าวว่า “ท่าน ท่านพ่อ น้ำ น้ำ น้ำ น้ำเย็น” 

 

 

หมอทุกคนก็ไม่คิดว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรงเยี่ยงนี้ ต่างสบตากัน ไม่ต้องให้นายน้อยอู่โหวสั่ง ก็รีบเขียนสูตรยาออกมาหนึ่งสูตร ยื่นให้ลูกน้องอีกคนให้เขารีบไปซื้อมา ต้มให้เรียบร้อย 

 

 

ทุกคนไม่กล้าเข้าห้อง ไม่รู้ว่านายน้อยอู่โหวใช้วิธีใด มัดตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ไว้ในห้อง ได้ยินเพียงเสียงร้องวิงวอนขอร้องของนาง “ท่านพ่อ ข้าร้อนมาก น้ำ ข้าจะเอาน้ำเย็น” 

 

 

ในฐานะของหมอ ที่มีใจเพื่อรักษาและช่วยชีวิตคน ใช้วิธีแบบนี้ในการรักษาสาวน้อยคนหนึ่ง สำหรับหมอทุกคนแล้ว ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งร้อนใจและละอายใจ ที่ร้อนใจนั้นเป็นเพราะหากเป็นอย่างนี้ต่อไป หลิวอวี้เอ๋อร์ทนรับฤทธิ์ยาไม่ไหว เลือดไหลออกมาจากรูถวารทั้งห้าจนเสียชีวิตแน่ ถ้าเยี่ยงนั้นชีวิตของพวกเขาก็หมดแล้วจริงๆ ที่ละอายใจนั้นเป็นเพราะผ่านเรื่องนี้ไป เกรงว่าชื่อเสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นจะจบแล้วจริงๆ นั้นหมายความว่าพวกเขาทุกคนเองที่เป็นคนทำลายนาง 

 

 

ลูกน้องซื้อน้ำแข็งกลับมา ส่งเข้าไปในห้อง ในชั่วขณะที่หลิวอวี้เอ๋อร์สงบลง เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานก็ขอร้องวิงวอนขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพ่อ ขอร้องท่านละ โยนน้ำแข็งนั้นลงบนตัวข้าเถิด…” 

 

 

ในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ  

 

 

หมอทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไป หมอคนที่กล้าหาญคนนั้นตะโกนร้องข้างนอกว่า “นายน้อยอู่โหว ไม่ได้ขอรับ หากทำเยี่ยงนั้นจะกระทบต่อร่างกายของคุณหนูหลิวได้ ต่อไปอาจทำให้เจ็บป่วยในอนาคตได้ พวกข้าให้คนไปซื้อยามา จะต้มเสร็จแล้ว ให้คุณหนูหลิวดื่มลงไป สามารถบรรเทาอาการได้เล็กน้อย” 

 

 

นายน้อยอู่โหวรู้ว่าทำเยี่ยงนี้จะกระทบต่อร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงไม่ทำ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ได้ยิน จึงคิดที่จะอดทน แต่ความรู้สึกร้อนนั้นแทบจะแผดเผาร่างกายทั้งหมดของนางแล้ว จนแทบจะทำให้ร่างกายของนางระเบิดตาย เกิดความกลัวในใจ จึงร้องขอวิงวอนไม่หยุด 

 

 

หลังจากนั้นสักพักใหญ่ หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องขอวิงวอนจนเสียงแหบไปหมดแล้ว ยาเพิ่งจะต้มเสร็จ ยกเข้ามาในห้อง 

 

 

นายน้อยอู่โหวยกถ้วยยามาข้างหน้าเตียงด้วยตัวเอง “อวี้เอ๋อร์ เชื่อฟัง หลังจากเจ้าดื่มยาถ้วยนี้หมดแล้ว เจ้าก็จะหายแล้ว” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า อยากจะรับถ้วยยามา แต่มือของนางนั้นสั่นไม่หยุด ควบคุมไม่ได้เลย 

 

 

นายน้อยอู่โหวส่งสัญญาณให้นางเงยหน้าขึ้นมา อ้าปาก ค่อยๆ ป้อนยาให้นางดื่มลงไปจนหมดถ้วย 

 

 

ดื่มยาลงไปแล้ว บนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาทันที ความร้อนในร่างกายค่อยๆ หายไป 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดต่อต้านและขอร้อง นั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง 

 

 

นายน้อยอู่โหววางถ้วยยาลง แกะผ้าปูที่นอนที่มัดบนตัวนางออก สั่งสาวใช้ว่า “พยุงนางไปพักที่บนเตียง” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์นอนลงบนเตียงเหมือนพลังงานทั้งหมดในร่างกายได้ถูกใช้งานหมดแล้ว คิดถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่แล้ว ก็เกิดความคิดที่อยากจะตายขึ้นมา 

 

 

ในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แสดงว่าฤทธิ์ยาเกิดผลแล้ว หมอทุกคนจึงจะโล่งอกจริงๆ ล้มลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน พวกเขารักษาโรคกันมานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องที่อันตรายเยี่ยงนี้มาก่อน หากมิใช่เพราะการตัดสินใจที่เด็ดขาดคิดวิธีนี้ออกมาได้ วันนี้ศีระบนคอก็คงจะไม่มีแล้วจริงๆ