หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิวอวี้เอ๋อร์สงบลงแล้วจริงๆ
นายน้อยอู่โหววางใจลง เดินออกจากห้อง หลังจากสอบถามหมอทุกคนแล้ว รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้ว จึงโบกมือให้พวกเขากลับไป
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง หมอทุกคนต่างแบกกระเป๋ายาของตัวเอง แล้วรีบแย่งกันเดินออกไปด้านนอกทันที เพราะกลัวว่าหากเดินช้าไปหนึ่งก้าว นายน้อยอู่โหวเกิดเปลี่ยนใจ ให้พวกเขาอยู่ต่อ
สั่งเถ้าแก่ให้เอาผ้าปูที่นอนผืนใหม่มา ให้สาวใช้เปลี่ยน แล้วก็สั่งให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดให้หลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วก็กำชับให้หลิวอวี้เอ๋อร์พักผ่อน นายน้อยอู่โหวจึงจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปิดตาลง ไม่นานก็หลับลึกไป
ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลิน เดินรอบๆ โรงเตี๊ยมมาหลายวันแล้ว แต่ก็หาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายยิ่งอยู่ยิ่งไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ในใจของทุกคนต่างเกรงกลัว แม้แต่โรงเตี๊ยมก็ไม่กล้ากลับ ได้แต่จ้องมองโรงเตี๊ยมอยู่ในที่มืด เพื่อหาโอกาส
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นได้ถูกเพ่งเล็งไว้แล้ว หลังจากรักษาอยู่อีกหลายวัน ในที่สุดร่างกายก็ดีขึ้น
นายน้อยอู่โหวสั่งให้คนเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเมืองหลวงทันที
“ท่านพ่อ ศพของท่านตาฝังไว้ที่ใด ข้าอยากจะไปกราบไหว้”
นึกถึงภาพที่ฮั่วเจี่ยนอนตายตาไม่หลับ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เกิดความกลัวในใจ จึงอยากจะไปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขา เพื่อปลอบโยนจิตใจตนเอง
“พวกเขาถูกโยนไปที่สุสานรวม คิดว่าเวลานี้น่าจะถูกหมาป่ากัดกินไปแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์ฟังออกถึงความไม่ปกติ จึงกล่าวถามว่า “พวกเขา ยังมีใครหรือ”
คุณชายอู่เอามือแตะจมูกอย่างร้อนตัว หลบสายตาแล้วกล่าวว่า “ท่านยายของเจ้า”
“ครอบครัวตระกูลฮั่วถูกเนรเทศหมดแล้ว ท่านยายของเจ้าอายุเยอะมากแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องเสียชีวิตระหว่างทางอยู่ดี ตอนนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องลำบากเยี่ยงนั้น”
น้ำเสียงของนายน้อยอู่โหวนั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ ความละอายใจหลายวันก่อนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านพ่อ ท่านเอ่ยเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ท่านยาย ท่าน…” หลิวอวี้เอ๋อร์รับข่าวร้ายนี้ไม่ได้ ร้องออกมาด้วยความตกใจ ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกนายน้อยอู่โหวขัดขวาง “หุบปาก!”
คำพูดที่หลิวอวี้เอ๋อร์จะเอ่ยออกมาก็ติดอยู่ที่คอ
“เก็บของ กลับเมืองหลวงกับข้าเดี๋ยวนี้ หากกล้าหนีอีก ดูว่าข้าจะตีเจ้าจนขาหักหรือไม่” นายน้อยอู่โหวก็หมดความอดทนแล้ว ตะคอกนางด้วยสีหน้าที่ไม่ดี
หากมิใช่เพราะนางพูดยุยงต่อหน้าสองสามีภรรยาฮั่ว ครอบครัวฮั่วก็จะไม่มีความคิดที่จะทำลายครอบครัวของท่านอ๋องฉีทั้งครอบครัวเยี่ยงนี้ แล้วก็จะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นตามมา เป็นเพราะนาง นางเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นมา วันนี้นางยังไม่กลับใจ ยังอยากจะสร้างปัญหาอีก ดูท่าทางแล้วปกติเอาใจนางมากเกินไปจริงๆ ทำให้นางไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
เห็นสีหน้าที่โมโหของนายน้อยอู่โหวแล้ว หลิวอวี้เอ่อร์กัดฟัน ลงจากเตียง คุกเข่าต่อหน้านายน้อยอู่โหวแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ลูกขอร้องท่านละ ให้ลูกไปกราบไหว้ท่านตา ท่านยายเถิด ในระยะเวลาปีกว่านี้ พวกเขารักอวี้เอ๋อร์มาก ที่พวกเขาต้องมาพบเจอจุดจบแบบนี้ นั้นเป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์จะต้องไปขอโทษต่อหน้าพวกเขา”
“เจ้าทำหูทวนลมกับข้าหรือ เจ้า…”
“ท่านพ่อ ลูกไปอย่างเงียบๆ หากระดูกของพวกเขาจนเจอ แล้วฝังศพพวกเขาให้เรียบร้อย กลับเมืองหลวงจะได้บอกท่านแม่ได้ หรือจะให้พวกเรากลับไป แล้วบอกนางตรงๆ ว่า ท่านตา ท่านยายถูกโยนไปที่สุสานรวม ไม่มีแม้แต่คนเก็บศพหรือ”
คำพูดประโยคนี้ของนาง ตรงจุดอ่อนของนายน้อยอู่โหวพอดี พวกเขาทำเยี่ยงนี้ กลับไปก็ไม่รู้จะบอกภรรยาของตนว่าอย่างไรจริงๆ
เงียบไปสักพัก จึงพยักหน้าตกลง “ได้ เจ้าไปเถิด ข้าจะให้คนติดตามเจ้าไป หากพบเจอกระดูกของพวกเขาแล้ว ก็หาที่ฝังอย่างเงียบๆ หากไม่พบ ก็ไม่ต้องอยู่นาน จะได้ไม่ถูกผู้อื่นพบเห็น แล้วเรื่องไปถึงหูฮ่องเต้ได้ ถ้าไม่เยี่ยงนั้นการกระทำหลายวันนี้ของพวกเราก็สูญเปล่า”
“ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ จะรีบไปรีบกลับ”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
นายน้อยอู่โหวให้คนติดตามนางห้าคน
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากโรงเตี๊ยม ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลินก็เห็นเข้าทันที ดีใจมาก สบตากันแล้วพยักหน้า เดินตามพวกเขาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลมาจนถึงสุสานรวม
สุสานรวมน่ากลัวมาก กลางวันแสกๆ แต่ทุกที่กลับวังเวง กระดูกมากมายทับถมรวมกัน ยังมีหมาป่าไม่น้อยที่กำลังกัดกินศพที่เพิ่งถูกโยนทิ้งมา
เห็นคนมา หมาป่าทุกตัวก็แค่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ไม่ได้สนใจ ก้มหัวลงแล้วกัดกินศพใหม่ต่อ
กลิ่นเหม็นค่อยๆ ลอยเข้ามาในจมูก หลิวอวี้เอ๋อร์เหม็นจนแทบจะอาเจียนออกมา รีบปิดปากและจมูกทันที ส่งสัญญาณให้พวกเขาไล่หมาป่าไป นางจะเข้าไปหาสองสามีภรรยาฮั่ว
แต่ดูไปดูมา ก็ไม่เห็นศพของทั้งสอง หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจ เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว ทั้งสองน่าจะถูกกัดกินจนหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่กระดูกก็ไม่รู้ว่าเป็นชิ้นไหน
มีเสียงเห่าร้องของหมาป่ามากมายดังมา ยิ่งไปกว่านั้นคือยิ่งอยู่ยิ่งใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลิวอวี้เอ๋อร์เกิดความกลัวในใจ โยนไม้ในมือทิ้ง แล้วรีบถอยออกมา รีบสั่งทันทีว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
พูดจบ ก็รีบเดินย้อนกลับไปทันที ลูกน้องก็รีบเดินตามหลัง
เพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่ไกล มีคนกระโดดออกมาจากข้างๆ สามคน มีผ้าปิดหน้าไว้ ขวางหน้าทุกคนไว้
กรี้ดดด หลิวอวี้เอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้าสุด ตกใจร้องเสียงแหลมออกมา
เสียงแหลมนี้แทบจะทะลุแก้วหูของทุกคน ไม่เพียงแค่สามคนข้างหน้าที่มาจับตัว ห้าคนข้างหลังก็ทนไม่ไหวอยากจะปิดหู
ลูกน้องของท่าป๋าทนไม่ไหวจริงๆ ตะคอกออกมาคำหนึ่งว่า “หุบปาก!”
เสียงร้องของหลิวอวี้เอ๋อร์จึงจะหยุดลง แต่ก็ตาโต ชี้ไปที่คนพูด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้า เจ้า เจ้าคือ…”
เห็นว่านางฟังเสียงของตัวเองออก จึงไม่ลังเลอีกต่อไป รีบยื่นมือไปทางนาง จะจับตัวนาง
ห้าคนที่ติดตามมาก็ไม่โง่ พุ่งตัวออกไป อยู่ข้างหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์ สามคนต่อสู้กับพวกเขา อีกสองคนพาหลิวอวี้เอ๋อร์ไปหลบอีกที่หนึ่ง
หลิวอวี้เอ๋อร์รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ร้องเสียงแหลมออกมาว่า “อย่าปล่อยพวกเขาไป พวกเขาเป็นคนที่จับตัวข้าไป”
ห้าคนที่ติดตามได้ยิน ก็จริงจังขึ้นมาทันที การต่อสู้เริ่มเร็วขึ้นมาก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามคน ผ่านไปประมาณสามสิบห้าสิบกระบวนท่า ไม่เพียงแต่สามคนที่ต่อสู้ แม้แต่สองคนที่ปกป้องหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ล้มลงหมด
เห็นว่าพวกเขาค่อยๆ เข้ามาใกล้ตัวเองเรื่อยๆ หลิวอวี้เอ๋อร์กลัวมากจนค่อยๆ เดินถอยหลัง หลังจากนั้นก็รีบวิ่งหันหลังไปทางสุสานรวมทันที ยังวิ่งได้ไม่กี่ก้าว ก็เจ็บที่คอ หน้ามืด แล้วสลบไปทันที
ส่วนห้าคนที่ล้มตายอยู่บนพื้นก็ดึงดูดหมาป่าฝูงใหญ่มาทันที ใช้เวลาไม่นานก็กัดกินพวกเขาจนหมด เหลือเพียงกระดูกที่มีเลือดติดอยู่กระจายเต็มพื้น
สองชั่วยาม สี่ชั่วยาม หกชั่วยามผ่านไปแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยังไม่กลับมา นายน้อยอู่โหวนั่งรอต่อไปไม่ไหว ให้คนออกไปหา คนที่ออกไปหาพบป้ายห้อยเอวห้าอันตกอยู่ตรงที่หลิวอวี้เอ๋อร์โดนจับตัวไป หลังจากมั่นใจว่าเป็นของห้าคนที่ติดตามหลิวอวี้เอ๋อร์แล้ว ก็กลับไปรายงานด้วยความตกใจ
นายน้อยอู่โหวล้มลงบนเก้าอี้ หลังจากครั้งที่แล้วที่หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกจับตัวไปแล้วกลับมา ตัวเองก็เอาแต่สนใจแต่เรื่องที่ให้นางชี้ตัวฮั่วเจี่ย ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นฝีมือใคร ไม่คิดว่าจะสร้างภัยแฝงไว้ จนนางถูกจับอีกครั้ง แต่สิ่งที่นายน้อยอู่โหวไม่เข้าใจนั้นคือ ในเมื่อครั้งที่แล้วพวกเขาปล่อยตัวหลิวอวี้เอ๋อร์แล้ว ครั้งนี้จะจับนางไปเพื่ออะไร
ไม่เพียงแค่เขาที่ไม่เข้าใจ หลิวอวี้เอ๋อร์ที่หลังจากตื่นขึ้นมา จะตะโกนออกมา ก็ถูกสกัดจุด แล้วถูกโยนเข้าไปในรถม้าก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดพวกเขาจึงจับตัวเองมาอีกครั้ง แต่ว่านางมีความรู้สึกว่า ครั้งนี้พวกเขาไม่ปล่อยตัวเองไปง่ายๆ แน่นอน
นายน้อยอู่โหวรีบพุ่งตัวไปที่ว่าการเหมือนคนบ้า จูจือหมิงฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้ยังไม่ได้ส่งขุนนางคนใหม่มา งานในที่ว่าการจึงให้ผู้อื่นดูแลแทน ได้ยินว่าคุณหนูของจวนอู่โหวถูกจับตัวไป จึงให้คนของที่ว่าการทุกคน ออกตามหาตามบ้านทุกหลัง ไม่ปล่อยแม้แต่มุมเดียว
ผ่านไปหลายวันแล้ว แม้แต่เงาคนก็ไม่เห็น ในขณะที่นายน้อยอู่โหวร้อนใจมาก ก็รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์น่าจะถูกคนพาตัวออกนอกเมืองไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปที่ใด ภายใต้ความรู้สึกหดหู่ จึงหยุดตามหา แล้วนำลูกน้องของตัวเองเดินทางกลับเมืองหลวง
ฮูหยินของนายน้อยอู่โหวรู้จุดจบของท่านพ่อท่านแม่และคนในตระกูลของตัวเองแล้ว รับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ สลบไปทันที หลังจากฟื้นขึ้นมา ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ตอนนี้ได้ยินว่าลูกสาวที่ตัวเองรักและเอาใจเป็นอย่างมากได้ถูกคนจับตัวไป ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ทนไม่ไหวอีกต่อไป สลบไปอีกครั้งทันที
จวนอู่โหวตกอยู่ภายใต้บรรยากาศที่โศกเศร้า
ภายในจวนอ๋องฉี สถานการณ์ของพระชายาฉีก็ไม่ค่อยดี หลังจากกลับมาก็นอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลา เมิ่งเชี่ยนโยววางเรื่องทั้งหมดในมือลง ตั้งใจรักษาโรคและบำรุงร่างกายของนาง การรักษาและบำรุงครั้งนี้ใช้เวลาร่วมสองปี ร่างกายของพระชายาฉีจึงจะดีขึ้น พิธีปักปิ่นของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็มาถึงพอดี
สำหรับหญิงสาวแล้วพิธีปักปิ่นเป็นเรื่องใหญ่มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือพิธีปักปิ่นของท่านหญิงทั้งสองคนของจวนอ๋องฉี ไม่เพียงแค่การเริ่มจัดเตรียมงานภายในจวน ผู้คนที่อยากจะประจบสอพลอจวนอ๋องฉีก็จัดเตรียมของขวัญกันไว้แล้ว เพื่อพาฮูหยินมาแสดงความยินดีในวันนี้โดยเฉพาะ
ตระกูลเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยา เมิ่งเส้า เมิ่งหง เมิ่งเยว่สองสามีภรรยา ในวันนี้ ทุกคนต่างแต่งตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมพิธีปักปิ่นของทั้งสอง
รถม้าขบวนยาวเข้ามาในเมืองอย่างอลังการ มาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี
ทันทีหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินรายงาน ก็มายืนรอหน้าประตูจวนนานแล้ว หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่รุ่ยยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
เห็นรถม้ามาถึง หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ต่างยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย อยากจะวิ่งออกไปต้อนรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกระแอมไอออกมาเบาๆ
ทั้งสองจึงหยุดทันที กระโปรงที่ยกขึ้นมาก็ถูกปล่อยลงไป แล้วยืนตรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
รถม้าหยุดลง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปต้อนรับทันที
เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาลงมาก่อน ตามมาด้วยเมิ่งต้าจินสองสามีภรรยา เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยา…
ทั้งสองทักทายแต่ละคน
ส่วนเด็กๆ ด้านหลัง ก็ก้าวออกมาทักทายพวกเขา
ด้านหน้าจวนอ๋องฉีคึกคักกันเป็นอย่างมาก ผู้คนที่พาครอบครัวมาแสดงความยินดีเห็นภาพนี้ ก็สั่งให้คนขับรถม้าหยุดก่อน รอให้ตระกูลเมิ่งเข้าไปกันก่อนค่อยว่ากัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกตระกูลเมิ่ง แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทักทายคนตระกูลเมิ่งอย่างไร
ตระกูลเมิ่งในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ใช่ตระกูลเมิ่งที่มาเมืองหลวงแล้วยังต้องพึ่งฐานะของลูกสาว เพื่อตั้งหลักในเมืองหลวงเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว ลูกหลานของตระกูลเมิ่ง มีทั้งขุนนาง แต่ละคนต่างมีผลงานมากมาย ได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้ มีทั้งกิจการการค้า แต่ละคนก็เก่งกาจทั้งนั้น หยิบตั๋วเงินออกมาใช้จ่ายได้ทีละหลายแสนตำลึงโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย แม้ว่าพวกเขาอยากจะประจบสอพลอ แต่ในใจก็ยังคงดูถูกพวกเขาอยู่ดี เกิดความขัดแย้งในใจเป็นอย่างมาก