ตอนที่ 539 ‘เจ้า’ คือใคร?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

มือที่ใหญ่โตขวางไอร้อนจากแสงคบเพลิงเอาไว้ ฝ่ามือของเขาเย็น เหมือนกับหยก 

 

 

สัมผัสนั้น ทำให้ใบหน้าที่เดิมอุ่นจนร้อนเพราะถูกแสงไฟลน เย็นลงอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกสบายขึ้นมาก 

 

 

ศิษย์ของสำนักตันติ่งกงค้นหาในห้องเล็กๆนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ผลตอบรับที่พวกเขาต้องการ จึงจากไปพร้อมเสียงด่าทอ 

 

 

ห้องหลังนั้นเป็นจุดที่ห่างไกลของวังตันติ่งกง เป็นจุดสุดท้ายที่พวกเขาจะค้นหา 

 

 

แต่ว่าแม้แต่เงาของผีสักตัวก็ยังไม่เจอ แล้วเช่นนี้จะกลับไปรายงานกับท่านเจ้าวังได้อย่างไร 

 

 

รอจนคนทั้งกลุ่มไปกันหมดแล้ว คนผู้นี้จึงค่อยปล่อยตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เขาหันหน้าออกไป มองไปยังด้านนอก ใต้แสงสว่างของดวงดาว และเงาของพันธุ์ไม้ หน้าต่างในห้องเล็กแง้มอยู่ แสงดาวจับลงที่ใบหน้าของเขา หน้ากากทองแดงแบบโบราณนั่นสะท้อนแสงเย็นตาออกมา คนที่ดูเย็นชาอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งดูเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง 

 

 

ทั้งๆที่เขามีริมฝีปากกลีบบัวสีแดง แต่ว่าความรู้สึกที่ส่งมายังผู้อื่นกลับไม่อบอุ่นเลยสักนิด 

 

 

หากแต่เป็นแท่งน้ำแข็งที่ผลักผู้คนออกไปไกลพันลี้ และยังดูลี้ลับจนน่ายำเกรงอีกด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมอง ดูบุรุษที่สูงใหญ่กว่าตนถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ถึงแม้ว่าจะมีหน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นไปได้ 

 

 

ครั้งนี้ นางไม่ได้ยื่นมือขึ้นไปดึงหน้ากากเขาอย่างอุกอาจอีกแล้ว เพียงแค่เงยหน้ามองดูเขา หัวใจที่เจ็บช้ำและเงียบเหงามานานตลอดครึ่งปี ก็เต้นตึกตักขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ 

 

 

ดวงตาดอกท้อทั้งคู่เกิดไอหมอกจางๆ 

 

 

หากว่าหมอกนี้รวมตัวกันมากขึ้นอีกหน่อย ก็คงจะกลั่นเป็นหยดน้ำตาหล่นลงมาแล้ว 

 

 

“พวกเราเคยเจอกันมาก่อน…..หรือจะพูดว่า รู้จักกันได้หรือไม่?” 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา มือข้างหนึ่งก็จับหัวใจของตัวเองเอาไว้ด้วย 

 

 

คนผู้นั้นตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นค่อยส่ายศีรษะน้อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก “ไม่รู้จัก แค่คนผ่านทางเท่านั้น” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็ชักเท้าไปด้านข้างก้าวหนึ่ง คล้ายจะไปจากห้องที่เล็กๆและมืดมิดแห่งนี้ 

 

 

ห้องหลังนี้ไม่ใหญ่ มีพื้นที่เพียงสิบกว่าตารางเมตร เต็มไปด้วยสิ่งของระเกะระกะ ล้วนเป็นพวกขวดเคลือบ โหลแก้วและกล่องไม้ที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ แต่เพราะมีบุรุษผู้นี้ อยู่จึงทำให้ห้องที่ดูรกเลอะเทอะหลังนี้ กลายเป็นบรรยากาศที่งดงามขึ้นมา 

 

 

เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน เส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกยาวสลวย เมื่อครู่เพราะว่าอยู่ในมุมมืดจึงไม่อาจเห็นได้อย่างแจ่มชัด แต่ว่ายามนี้เห็นแล้วว่า แถบผ้าที่ใช้มัดผมนั้นเป็นสีม่วงเข้ม 

 

 

ชั่วขณะนั้นเอง หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนจะกระดอนออกมาอีกครั้ง 

 

 

สีที่จีเฉวียนชอบมากที่สุดก็คือสีดำ 

 

 

สีที่อาจารย์ชอบมากที่สุดก็คือสีม่วง 

 

 

ยามนี้ทั้งสองสีรวมอยู่บนร่างของเขาเข้ากันอย่างสมบูรณ์และงดงามที่สุด 

 

 

ทันทีที่เท้าของเขาก้าวออกไปที่ประตู ตู๋กูซิงหลันก็ไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงดาวเต็มฟ้านางยืนมืออกไปคว้าฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของเขาเอาไว้ 

 

 

คว้าเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อยแม้แต่น้อย 

 

 

มือข้างหนึ่งกำนิ้วทั้งสี่ของเขาเอาไว้ มืออีกข้างก็คว้าหลังมือของเขาเอาไว้แน่น ราวกับว่าจะให้เขาหลอมละลายลงไปในกระดูกของตนเองอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?” ปลายนิ้วของนางแนบสนิทจนแทบจะติดไปกับผิวหนังของเขา สายตาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างนั้น 

 

 

แสงดาวและต้นไม้ที่ผลิดอกอยู่ด้านหลังของเขาราวกับฉากหลังของความฝันอันสวยงาม เมื่อประกอบกับใบหน้าที่มีหน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่งก็ยิ่งงดงามอย่างหาสิ่งใดจะเทียบได้ 

 

 

คนผู้นั้นเพียงหันมาอย่างเงียบๆมองดูนางที่ใช้สองมือคว้ามือของเขาเอาไว้ 

 

 

ทันทีที่นางพูดจบ ริมฝีปากแดงนั้นก็ขยับน้อยๆ 

 

 

“ ‘เจ้า’ ที่เจ้าเรียกหาคือใคร?” 

 

 

คราวนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน ว่า‘เจ้า’ที่นางเรียกนั้นคือใคร 

 

 

อาจารย์หรือว่าจีเฉวียน? 

 

 

นางเองก็ไม่รู้…. 

 

 

พอนางตกตะลึงไปชั่วครู่ คนก็หลุดออกจากมือของตนเองไปแล้ว ทั้งๆที่เขาและนางห่างกันเพียงก้าวเดียว แต่ยามนี้กลับรู้สึกห่างไกลราวมีหมื่นภูเขาและสายน้ำขวางเอาไว้ 

 

 

รอยยิ้มที่มุมปากของคนผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างที่สุด ขณะที่นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ร่างของเขาก็หายวับ พริบตาเดียวก็เหาะอยู่กลางท้องฟ้าและหมู่ดาวแล้ว 

 

 

“อยู่ให้ห่างจากที่นี่หน่อย เรื่องของข้า สาวน้อยอย่างเจ้าอย่าได้ยื่นมือมาสอด” 

 

 

นี้เป็นคำพูดที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป 

 

 

ยังคงเป็นน้ำเสียงน่าดึงดูดที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาเช่นเดิม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูมองท่วงท่าของเขาในชุดสีดำที่เหาะอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี นางไม่ทันคิดอะไรก็สะกิดเท้าไล่ตามไปแล้ว 

 

 

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางพยายามเสาะหาร่องรอยของอาจารย์และจีเฉวียนมาโดยตลอด แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววใดๆ 

 

 

ความรู้สึกแสนคุ้นเคยที่ได้รับจากคนผู้นี้ มีแต่อาจารย์และจีเฉวียนเท่านั้นที่เป็นไปได้ 

 

 

แม้ว่าเป็นเพียงแค่แวบเดียว นางก็ไม่ขอละทิ้งโดยเด็ดขาด 

 

 

ท้องนภาภายใต้แสงดาว มีเงาดำสองสายตัดผ่านไป ดูงดงามเหมือนดั่งคู่เทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ซ่งชิงอีอยู่บนยอดตึกสูง รับฟังข่าวสารที่ฝูลั่วนำกลับมา 

 

 

“ทั่วทั้งวังตันติ่งกงล้วนเสาะหาจนหมดแล้ว แต่ไม่พบเจอเงาของคนนอกแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” 

 

 

ซ่งชิงอีขมวดหัวคิ้วมุ่น นางมองดูขลุ่ยหยกที่แหลกเป็นผงไปแล้ว เป็นไปไม่ได้….นางได้กลิ่นดอกฮว๋ายฮวานั่นอย่างชัดเจน ไม่มีทางผิดพลาดไปได้ 

 

 

จะต้องมีคนบุกรุกเข้ามาอย่างแน่นอน 

 

 

ฝูลั่วพึ่งจะรายงานเสร็จ ก็เห็นสีหน้าของซ่งชิงอีเปลี่ยนไปในทันที 

 

 

นางเบิกตาโต มองดูเงาของคนสองคนที่แวบผ่านไปในท้องฟ้า มือใต้แขนเสื้อของนางกำแน่นเข้า 

 

 

“พวกสวะ!” ซ่งชิงอีเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “ผู้อื่นเหาะไปเหาะมาอยู่บนวังตันติ่งกงของข้าตามอำเภอใจ เจ้ายังจะกล้ามาบอกกับข้าว่า ไม่เห็นอะไรแม้แต่เงาอีกหรือ?” 

 

 

ฝูลั่วเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางรีบมองตามสายตาของซ่งชิงอีไป ทันทีที่กวาดตามองก็แทบจะหยุดหายใจ 

 

 

เงาร่างของคนทั้งสองที่อยู่ใต้แสงดาวช่างเด่นชัดจนเกินไปแล้ว! 

 

 

นี่มิเท่ากับว่าท้าทายพลังอำนาจของวังตันติ่งกงอย่างเปิดเผยหรอกหรือ? 

 

 

ตบหน้ากันชัดๆ! ตบชนิดหน้าหันเสียงดังเลยด้วย! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองจะถูกพบเห็นหรือไม่ เพราะนางไม่ได้เห็นวังตันติ่งกงอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ยามนี้ความสนใจทั้งหมดของนางไปรวมอยู่ที่บุรุษที่พึ่งจะปรากฏตัวออกมาผู้นั้น 

 

 

ใต้ท้องฟ้ายามราตรีนี้ ยังมีเขตอาคมกึ่งโปร่งใสสีแดงครอบคลุมอยู่ ยิ่งเขาไปใกล้มันเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่รุนแรง 

 

 

ราวกับเครื่องบดเนื้อที่สามารถบดเนื้อและกระดูกของผู้คนจนแหลกละเอียด 

 

 

คนผู้นั้นก็คิดไม่ถึงว่านางจะไล่ตามมา ขณะที่เข้าใกล้เขตอาคมสีแดงนั้น เขาจึงหยุดลงอย่างกระทันหัน 

 

 

ร่างลอยอยู่ในอากาศ เสื้อชุดยาวตัวหลวมกว้างพองลม เส้นผมที่ดำดุจน้ำหมึกพลิ้วไปกับสายลมราวเริงระบำ 

 

 

และเพราะการหยุดชั่วแวบเดียวนี้ ตู๋กูซิงหลันจึงไล่ตามมาได้ทันแล้ว 

 

 

นางแทบจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาในที่เดียวกัน ดวงตาดอกท้อทั้งคู่จับจ้องไปที่เขาโดยไม่ละสายตา 

 

 

“คนสำคัญของข้า คล้ายคลึงกับเจ้านัก ดังนั้นขอพิสูจน์เพื่อความชัดเจนจะได้หรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว 

 

 

ทั้งอาจารย์และจีเฉวียน ล้วน ‘ร่างสลายกลายเป็นผุยผง’ ไปแล้ว นางได้แต่เฝ้าภาวนามาโดยตลอด ภาวนาให้สักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาอยู่ที่ข้างกายนางในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง 

 

 

ดังนั้นเมื่อได้พบกับเบาะแสที่อาจจะเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อย นางก็ไม่มีทางจะปล่อยไป 

 

 

“เมื่อครู่ที่พาเจ้าไปหลบในห้องเล็กๆนั่น ดูท่าจะเกินความจำเป็นไปเสียแล้ว” คนผู้นั้นมองดูนาง เส้นผมของเขาพลิ้วผ่านขอบหน้าของนาง ทั้งเย็นและคันนิดๆ 

 

 

พอเขาพึ่งจะพูดจบ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ว่าที่ด้านหลังมีไอสังหารรุนแรงสายหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา 

 

 

นางไม่หลบและไม่แอบซ่อน เพียงฟังดูเสียงของบางสิ่งที่แหวกอากาศออกเป็นทาง ก่อนที่คนผู้นั้นจะขยับมือ นางก็ชิงลงมือไปก่อนก้าวหนึ่ง  

 

 

…………………………..