บทที่ 1498 อยู่ต่อ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อเห็นมันยินดียอมรับโทษ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ในเมื่อมันรับผิดแล้ว เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะให้คำอธิบายกับผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยากจะลงโทษมันยังไง”

หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม “ผู้เสียหายทั้งสองไม่เอาเรื่องแล้ว เจ้าจำไว้ว่าต้องควบคุมันให้ดีก็พอ ถ้ามีครั้งหน้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”

“ไม่ต้องหรอก!” เหมียวอี้ยกมือขึ้น “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น อีกประเดี๋ยวถ้าผู้อาวุโสรู้สึกว่าระบายความโกรธพอแล้วก็ให้บอก” พอพูดจบ ‘กระบอง’ ด้ามนั้นก็ยกขึ้นพร้อมเสียงฟ้าลม แล้วฟาดบนตัวเฮยทั่นอย่างแรง เรียกได้ว่าตีจริงๆ ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำ

ตามติดด้วยเงากระบองที่ฟาดไม่หยุด ตีจนเฮยทั่นร้องโอดครวญ อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ การฟาดมันเจ็บกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก โชคดีที่ผ่านมาพันปีแล้วมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน ทนไม้ทนมือได้เยอะกว่าดิม

หลังจากผ่านไปสักพัก ยังไม่เห็นเหมียวอี้มีท่าทีว่าจะหยุดลงมือ เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตะโกนบอกก่อนถึงจะหยุด เป็นการลงมืออย่างไร้ความปรานีจริงๆ หัวมังกรเพลิงกับลูกหงส์สองตัวดูจนอกสั่นขวัญแขวน ตอนหลังลูกหงส์ก็ส่งเสียงร้อง “จีจี” สองครั้ง หัวมังกรเพลิงเองก็ทนมองไม่ไหวแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ให้คำอธิบายอย่างจริงใจขนาดนี้ เขาก็เอ่ยปากห้ามแล้ว “พอแล้ว ในเมื่อได้รับโทษแล้ว ก็ถือว่าเรื่องนี้ผ่านไป”

วูบ! สิ่งที่เหมียวอี้รอก็คือประโยคนี้ เขาหยุดใช้ทวนเกล็ดย้อน แล้วก็เตะเฮยทั่นด้วยความแค้นใจที่เลี้ยงไม่ได้ดี จากนั้นเอาทวนค้ำพื้นมองขึ้นข้างบน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “มันทำผิด ข้าก็ลงโทษมันให้พวกท่านแล้ว นี่คือสิง่ที่สมควรทำ ตอนนี้ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่สมควรทำดูบ้าง ถึงยังไงมันก็เป็นคนของข้า ครั้งหน้าถ้าใครจะลงมือกับมันอีก ก็รบกวนบอกข้าก่อนสักคำ ถ้าจะต้องลงโทษก็ไม่ถึงคราวของคนอื่นหรอก ข้าย่อมจัดการเองได้ ก็เหมือนที่ผู้อาวุโสบอก ทางที่ดีอย่าให้เรื่องแบบวันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ไม่ไว้หน้า!”

เขาลงมือทำโทษสั่งสอนเอง อย่างน้อยก็ยังรู้หนักเบา ถ้าให้คนอื่นลงมือจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร

“…” หัวมังกรเพลิงพูดไม่ออก การลงโทษแบบนี้ช่างดีจริงๆ

“มัวแกล้งตายอะไรของเจ้า!” เหมียวอี้หันกลับมาเตะเฮยทั่น ก่อนจะหันตัวเดินข้างไป

เฮยทั่นดีดตัวลุกขึ้นมา หันหน้าหนีและเดินตามไปแล้ว เพียงแต่เดินกะเผลก ครั้งนี้โดนตีแรงจริงๆ เพียงพอที่จะทำให้มันจดจำไปได้สักพัก

ขณะที่มองตามหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเดินออกจากตำหนักใหญ่ไป หัวมังกรเพลิงก็เหมือนจะพึมพำกับตัวเองว่า “เข้าข้างกันจริงๆ!”

เหมียวอี้กำลังเดินออกจากตำหนักใหญ่ลงภูเขามา เขาหันไปมองเฮยทั่นที่หมดอาลัยตายอยาก พร้อมถามว่า “เป็นอะไรไป รู้สึกไม่ยอมเหรอ?”

เฮยทั่นหันขวับ แล้วบอกคำเดียวว่า “เจ็บ!”

“เจ้ารู้จักเจ็บเป็นด้วยเหรอ? แค่ไม่หักขาเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคดีแล้ว! ถ้าเจ้าทำหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้นตายจริงๆ ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้นะ”

“ไก่นกสองตัวนั้นมีอะไรยอดเยี่ยมนักหนา”

“มีอะไรยอดเยี่ยมงั้นเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้น หัวมังกรเฒ่าเอาเจ้าตายแน่! ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งนะ ถ้าไม่อยากตายก็อย่าไปหาเรื่องหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้น นั่นคือชีวิตจิตใจของเผ่าหงส์และมังกร!”

เตือนก็ส่วนเตือน เหมียวอี้ยังไม่วางใจนิสัยของเฮยทั่น ก่อนหน้านี้ก็เคยเตือนไปแล้ว ผลก็คือเฮยทั่นยังหาเรื่องลูกหงส์สองตัวนั่นอีก ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เหมียวอี้ก็ไม่อนุญาตให้เฮยทั่นไปที่วังใต้ดินอีกแล้ว ถ้าอยากจะดูดซับปราณชั่วร้ายก็พอได้ แต่ให้ไปรอบนยอดเข้าที่มีควันโผล่มา แยกมันออกจากลูกหงส์สองตัวนั้นโดยสิ้นเชิง

หลังจากจบเรื่องนั้น เฮยทั่นก็แอบไปปัสสาวะใส่ใน ‘ปล่องควัน’ แต่ใครจะคิดว่าลมที่ตีขึ้นมาจะแรงไปหน่อย ปัสสาวะสาดกลับมาบนร่างกายตัวเองแล้ว…

หลังจากคลื่นลมครั้งนี้ผ่านไป เขาก็อยู่อย่างสงบปลอดภัยมาตลอดจนเต็มเวลาลงโทษหนึ่งพันปี

เหวินเจ๋อที่คุมกองมังกรดำชั่วคราวติดต่อมาหาเหมียวอี้ล่วงหน้าหนึ่งปี สาเหตุที่ติดต่อมาล่วงหน้าก็เพราะอยากจะให้เหมียวอี้เตรียมตัวเอาไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึงให้เหมียวอี้กลับมาที่จุดทางออกให้ทันเวลา บอกว่าทางกองมังกรดำจะส่งคนไปรับเขาให้ตรงเวลา เห็นได้ชัดเจนมาก ไม่เหมือนตอนมาที่มีบุคคลระดับสูง ‘ส่ง’ เขามา ตอนกลับไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้นแล้ว

ระหว่างทางกลับจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้เลย ระหว่างทางคาดว่าต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี ดังนั้นเหมียวอี้จึงตัดสินใจที่จะออกเดินทางล่วงหน้า

เก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมฝั่งทะเลสาบหินหนืดตรงตีนเขาลุกขึ้นยืน แล้วมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ แวบหนึ่ง

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ฝึกตนหนึ่งพันปี ตอนนี้ความเร้วในการย่อยยาแก่นเซียนของเพิ่มเป็นวันละสามพันสามร้อยเม็ดแล้ว คาดว่าการบรรลุบงกชรุ้งขั้นสองจะต้องใช้เวลาอีกเจ็ดร้อยกว่าปี

ทันใดนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือ เผยฝ่ามือขึ้นฟ้า เพลิงล่องหนวูบไหวอยู่บนมือ แล้วก่อตัวกลายเป็นกระบี่ยาวผลึกใสด้ามหนึ่ง หยินหยางรวมกันทะลุร่างหกายและวิญญาณ หมุนวนช้าอยู่บนฝ่ามือเขา ระดับการก่อตัวของเพลิงจิตในวันนี้ไม่เหมือนวันเก่าๆ แล้ว ถ้าเทียบกับตอนแรกที่มาแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า

พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่ยาวผลึกใสก็ยิงวูบออกมา บึ้ม! หินก้อนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหินหนืดระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า กระบี่ยาวผลึกใสที่ระเบิดออกกลายเป็นกระบี่เล็กเพลิงจิตหลายร้อยเล่มกลับมาราวกับห่าฝน

พอสะบัดแขนเสื้อ ฝนกระบี่ก็เข้ามาอยู่ในร่างกาย แล้วหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง เหมียวอี้หันตัวมาอย่างสบายใจ แล้วเดินขึ้นเขาไปอย่างเอ้อระเหยแบบที่พบเห็นได้ยาก

พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ถ้ำมังกรก็เห็นหัวมังกรเพลิงแล้ว เขากล่าวอำลา ทั้งยังขอคำชี้แนะวิธีวิธีการออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย

หัวมังกรเพลิงไม่กังวลเลยสักนิด “ที่นี่เตรียมส่งวิญญาณอัคคีหนึ่งร้อยคนให้คุ้มกันส่งเจ้าแล้ว พอเห็นวิญญาณชั่วร้ายก็ย่อมหายไป,คงจะไม่มีใครมารบกวน”

ถ้าทำแบบนี้ได้ก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว เหมียวอี้กล่าวขอบคุณ ขณะเดียวกันก็เสนอว่าจะให้เฮยทั่นอยู่ที่นี่ สาเหตุก็ย่อมเป็นเพราะหวังดีต่อเฮยทั่น

หลังจากวรยุทธ์ของเขาบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ประโยชน์ในด้านความเร็วของสัตว์พาหนะโดยทั่วไปก็ไม่ได้เยอะสำหรับเขาแล้ว นอกเสียจากจะได้สัตว์เทพสักตัวมาเป็นสัตว์พาหนะ ยกตัวอย่างเช่นพวกหงส์และมังกร ข้างนอกยังมีห่วงและเรื่องราวมากมายที่ไม่มีทางตัดขาดได้ กอปรกับใช้ทรัพยาการฝึกตนบนตัวใกล้จะหมดแล้ว ไม่ออกไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะอยากออกจากสถานที่ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนไปได้อย่างไร

แต่เฮยทั่นนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อมีโอกาสในการฝึกตนที่ดีขนาดนี้แล้ว เขาก็ย่อมต้องช่วยช่วงชิงให้เฮยทั่นสักหน่อย

หัวมังกรเพลิงไม่ยอม แต่ภายใต้การขอร้องซ้ำๆ ของเหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็บอกว่าหลังจากกลับตำหนักสวรรค์ไปแล้วมีปัจจัยเหมาะสม ก็จะไปมาหาสู่กับหงส์และมังกรที่โดนตำหนักสวรรค์กักกันบ่อยๆ

แบบนี้เท่ากับเป็นการเตือนกลายๆ ในนั้นแฝงความหมายที่ล้ำลึกเอาไว้ จะบอกว่าเป็นคำขู่ที่คลุมเครือก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป จะเข้าใจว่าให้เฮยทั่นอยู่เป็น ‘ตัวประกัน’ ที่นี่ก็ไม่ได้

แน่นอน เหมียวอี้ไม่ได้พูดจาไม่น่าฟังขนาดนั้น เขาบอกว่าถ้าถ้ำมังกรไม่รับไว้ เขาก็จะส่งเฮยทั่นไปที่รังหงส์

สุดท้ายหัวมังกรเพลิงก็ตอบตกลงแล้ว แต่กลับบอกเอาไว้ก่อนว่า ถ้าเฮยทั่นกล้าก่อเรื่องที่นี่ เขาก็จะไม่ให้อภัยง่ายๆ

วิญญาณอัคคีหนึ่งร้อยคนเตรียมตัวเสร็จเร็วมาก เหมียวอี้กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ขึ้นไปหาเฮยทั่นบนยอดเขา บอกเรื่องที่เขาจะออกไปจากที่นี่และจะให้มันอยู่ที่นี่ต่อให้ฟัง

ขณะเดียวกันเขาก็ส่งกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งไว้ให้เฮยทั่นดูแลรักษา ในนี้ล้วนเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากตัวพวกอวี้ซา ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ถ้าโดนทหารยามที่เฝ้าทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ตรวจเจอ ก็จะนำปัญหาใหญ่มาสู่ตนได้

ถึงแม้เฮยทั่นจะตัดใจทิ้งแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่นี่ไม่ลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่ที่นี่คนเดียว อยากจะไปกับเหมียวอี้มากกว่า

“อยู่ต่อ!” เหมียวอี้ตัดสินใจแทนมันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมปฏิเสธ จากนั้นหันหลังให้ปราณชั่วร้ายที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า มองปที่ขอบฟ้าไกลๆ เสื้อผ้าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ใบหน้าเผยความรู้สึกกังวลยากจะลืมเลือน “เฮยทั่น พวกเราผ่านอันตรายที่ถึงเป็นถึงตายมาด้วยกันตั้งเท่าไร กว่าจะเดินมาด้วยกันได้จนถึงวันนี้ อยู่ระหว่างความเป็นความตายมาตลอด มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น ถ้าไม่มีศักยภาพก็ไม่มีอนาคต ข้าต้องพยายามก้าวไปข้างหน้า ถ้าเจ้าอยากจะก้าวไปข้างหน้าให้ทันข้า จะเกียจคร้านเฉื่อยชาไม่ได้ เจ้ากับข้าแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกว่าจะมาที่ถ้ำมังกรรังหงส์ได้ มีโอกาสที่ดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ? เชื่อฟังข้า อยู่ต่อ!”

เฮยทั่นย่อมรู้อยู่แล้วว่ารสชาติของการตามเหมียวอี้ไม่ทันเป็นอย่างไร นึกถึงตอนนั้นที่เหมียวอี้ใช้งานมันไม่ได้ มันก็ได้แต่อยู่บนพื้นมองเหมียวอี้เหาะเหินอยู่บนฟ้า ต่อให้ร้อนใจแต่ก็ทำได้แค่วิ่งบนพื้นอย่างสุดชีวิต อย่าตามทันได้อย่างไร

เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าอย่างผิดหวังนิดหน่อย “การเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นไม่ง่ายเลย”

เหมียวอี้เอียงหน้าเหล่ตามองมัน “แยกกันชั่วคราวก็เพื่อการพบกันใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต! เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องกลับมาพาเจ้าออกไปแน่นอน!” จากนั้นก็ค่อยๆ มองไปยังขอบฟ้าแสนไกลด้วยแววตาล้ำลึก “ถ้าข้าตายแล้ว กลับมาไม่ได้ จะต้องมีคนที่รอดชีวิตมาล้างแค้นให้ข้าอยู่แล้ว! ถึงยังไงเจ้าก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าแล้วกัน! จำไว้นะ ถ้าอยากจะเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง ก็ต้องใจอยู่ที่นี่ต่อไป อย่าก่อเรื่องนี้ พอข้าไปก็ไม่มีใครปกป้องเจ้าอีกแล้ว!”

ไม่ได้พูดอะไรมากอีก พูดจบก็กระโจนตัวลงไปเลย กางแขนสองข้างเหาะลงเขาไป

เฮยทั่นหายใจถี่กระชั้นอยู่บนยอดเขา ดวงตาสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดง เดินไปเดินมาและใช้กรงเล็บตะกุยพื้นไม่หยุด

“อ๋าว…อ๋าว…อ๋าว…” จู่ๆ บนยอดเขาก็มีเสียงคำรามยาวอันดุเดือด

นกเพลิงหลายสิบตัวบินออกมาจากทะเลสาบหินหนืด เหมียวอี้ที่กระโดดขึ้นหลังนกเพลิงใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นเฮยทั่นกำลังคำรามลากเสียงยาวอยู่บนยอดเขา

ตามที่นกเพลิงกระพือปีกอย่างรวดเร็ว จุดดำบนยอดเขาก็เล็กลงเรื่อยๆ เหมียวอี้หันกลับมามองข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา…

บรรยากาศเป็นมงคล ดาราจักรที่เปล่งประกาย วังสวรรค์อันสูงส่ง

ในวังหลัง ตำหนักนารีสวรรค์สูงสุดในวังหลัง เรียกว่าตำหนักหลัก,ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถูกเรียกว่าเหนียงเหนียงตำหนักหลัก และตอนนี้ราชันสวรรค์ก็สร้างตำหนักบูรพาแยกอีกแห่งหนึ่ง สะท้อนกันอยู่ไกลๆ แข่งกันโดดเด่น เหนียงเหนียงของตำหนักบูรพาก็คือสนมสวรรค์จ้านหรูอี้นั่นเอง

ประมุขชิงใส่ชุดลำลองเดินออกมาจากตำหนักนอนของตำหนักบูรพาด้วยสีหน้าเบิกบานใจ มุมปากยิ้มค้างอยู่นานมาก

จำเป็นต้องพูด ว่าทุกครั้งที่ตำหนักบูรพาล้วนทำให้เขาอารมณ์ดี ถึงแม้ผู้หญิงที่ตำหนักบูรพามักจะเชื่อฟังเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา แต่ก็ทำให้เขาชอบอย่างไม่มีเหตุผล ตั้งแต่พบกันครั้งแรกที่สวนท้อเขาก็ใจสั่นแล้ว ตอนแรกเขายังนึกว่าตัวเองหวั่นไหวไปชั่ววูบ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว เขาพบว่าลึกๆ ในใจเขาชอบผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่สร้างวังหลังขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย วังหลังมียอดหญิงงามากมาย ที่สวยกว่านางก็ยิ่งมีนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบนาง

ความโปรดปรานนี้ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ คนที่อยู่ในตำแหน่งแบบเขา ถ้าชอบใครก็แสดงออกมาเกินไปไม่ได้ เพราะอาจจะไม่เป็นผลดีกับผู้หญิงคนนั้น

ซ่างก่วนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักบูรพาเข้ามาทำความเคารพ “ฝ่าบาท!”

ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ เดินไปพลางถามไปพลางว่า “ช่วงนี้มีเรื่องอะไร?”

“ก็ไม่มีเรื่องอะไรขอรับ ล้วนเป็นเรื่องเก่าที่กำลังดำเนินต่อไป ใช่แล้ว…” ซ่างก่วนชิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะรายงานว่า “เหวินเจ๋อที่รับหน้าที่แม่ทัพภาคอุทยานหลวงชั่วคราวส่งข่าวมาขอรับ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะยังมีชีวิตอยู่ โทษกักกันในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ใกล้จะครบหนึ่งพันปีแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าเขากำลังจะรอดกลับมาขอรับ อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาแล้วสามารถรอดอยู่ในแดนดึกดดำบรรพ์มาได้จนตอนนี้ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ขอรับ!”

“เจ้าคิดว่าทำไมโพ่จวินจึงตอบตกลงที่จะให้เขาไปที่แดนดึกดำบรรพ์ล่ะ? เกรงว่าเจ้าจะยังไม่รู้สินะ เขาคือศิษย์ของอสุราอัคนีจอมเผด็จการในปีนั้น รอดกลับมาจากแดนดึกดำบรรพ์ได้ก็ไม่แปลกอะไร” ประมุขชิงที่อารมณ์ค่อนข้างดีกล่าวกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว “เจ้าลูกลิงตัวนี้มีความขัดแย้งกับสนมสวรรค์ เขารอดชีวิตกลับมาแล้ว เกรงว่าสนมสวรรค์จะไม่พอใจเสียแล้ว!”

…………………………