GGS:บทที่ 1098 เปิดโปง

 

หลังจากที่ซูจิ้งได้มอบหมายให้หลัวฉือหลินและซูฉือทำการสืบสวนการลักพาตัวโอฉิงหยุนไปนั้น เขาก็ได้โทรไป๋ฮิตูและมอบหน้าที่ในการคุ้มครองให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่สำคัญของสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศพร้อมทั้งมอบบอดี้การ์ดให้ติดตามแต่ละคนเอาไว้

บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็คือเหล่านักสู้ผู้ได้ถูกชุบเลี้ยงด้วยข้าวสีน้ำเงินและเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งนั่นเอง

หลังจากผ่านเหตุการณ์ลักพาตัวได้ไม่ถึงวันดี ในที่สุด หลัวฉือหลินก็ได้พบกับโอฉิงหยุนในฐานลับแห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามที่เขาพบนั้นเป็นเพียงศพของโอฉิงหยุนเท่านั้น

 

หลังจากซูจิ้งได้รับข่าวนี้ เขาได้รีบตรงไปยังฐานลับนั่นในทันที และในยามที่เขาได้เห็นสภาพศพของโอฉิงหยุน ซูจิ้งนั้นทุกกับหน้าชาพร้อมมุมปากที่กระตุกไปมาบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะตกใจหรือเขาโกรธกันแน่

 

ศพของโอฉิงหยุนนั้นอยู่บนเก้าอี้โดยมีผ้ามัดปากเอาไว้ ดวงตาของเขานั้นแดงกล่ำพร้อมด้วยร่างที่เปียกโชกไปด้วยเลือดที่ท่วมตัว บอกได้เลยว่าก่อนเขาตายนั้นเขาได้หวาดกลัวแบบสุดๆ

 

เท่าที่ดูนี้บอกได้เลยว่าไม่มีอวัยวะใดเลยที่อยู่ครบสมบูรณ์ดี แม้แต่นิ้วทั้งสิบของเขาเองก็ยังถูกดึงออกไป เรียกได้ว่าสภาพของเขานี้ถูกกระทำทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากสามัญสำนึกของมนุษย์แล้วจริงๆ

 

สภาพศพของโอฉิงหยุนนั้นบ่งบอกว่าเขานั้นได้ตายมาแล้วประมาณชั่วโมงเศษๆ แน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่จะนำเขาฟื้นคืนมาจากความตายได้ แม้แต่ซูจิ้งที่มีสมบัติอยู่มากมายก็ไม่จะทำเรื่องนี้ได้

 

“ฉันจะแก้แค้นให้นายและจะดูแลตระกูลของนายเป็นอย่างดี” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกพร้อมทั้งใช้มือของตัวเองปิดตาของโอฉิงหยุนลง

 

หลังจากนั้นซูจิ้งได้ใช้กระจกย้อนความแล้วทำการย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระจกย้อนความได้ฉายภาพของหญิงชาวต่างชาติและชายชาวต่างชาติอีกสองคนกำลังทรมานโอฉิงหยุนอยู่ พวกมันใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหล่ามืออาชีพได้ใช้ในการทรมานผู้คนเพื่อล้วงความลับออกมา เท่าที่เขาดูแล้วบอกได้เลยว่าสามคนนี้คือมืออาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย

 

โอฉิงหยุนเองแม้จะเจ็บปวดทรมานเจียนตาย แต่ตัวเขาเองก็ทำเพียงแค่กัดฟันตัวเองไว้ตลอดเวลาและไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย

 

มีเพียงช่วงสุดท้ายเท่านั้นก่อนที่เขาจะขาดใจตาย ในที่สุดเขานั้นก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจึงได้เผลอพูดข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสสารออกมาเล็กน้อย

 

ซูจิ้งนั้นไม่ได้ว่าโอฉิงหยุนเลยแม้แต่น้อยนั่นก็เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสะกดจิตสมบูรณ์แล้วสั่งไว้ว่าต่อให้ตายก็ห้ามคายความรับใดๆก็ตาม

 

แต่ในสถานการณ์ที่โดนทรมานจนเจ็บเจียนตายแบบนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่จิตใจนั้นต้องขัดขืนตัวเองอย่างที่สุดเพื่อให้ได้มีชีวิตรอด ต่อให้จิตสำนึกจะกดข่มเอาไว้มากมายขนาดไหน แต่ยังซะก็คงไม่อาจจะกดข่มจิตใจที่เกรงกลัวความตายและต้องการหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานขั้นสุดแบบนี้ได้นานนัก

 

เมื่อคิดแบบนี้แล้วไม่ว่าเขาอยากจะโทษโอฉิงหยุนยังไงแล้วเขานั้นก็ไม่สามารถโทษโอฉิงหยุนได้ลงอยู่ดี

 

หลังจากที่ซูจิ้งถอดถอนหายใจออกมา เขานั้นได้พูดออกมาว่า “ตามหาไอ้สามคนนี้ให้เร็วที่สุดด้วยทุกอย่างที่นายมี”

หลัวฉือหลินที่ได้ยินดังนั้นได้รีบพยักหน้าพร้อมหน้าตาที่หวาดกลัวก่อนที่จะหายเข้าไปในเงาทันที

หลังจากนั้น ซูจิ้งได้โทรหาฮูฉิงหมิงที่เป็นผู้ว่าการจังหวัด เขาได้ส่งรูปถ่ายเพื่อให้ฮูฉิงหมิงส่งเรื่องให้ผอ.หน่วยรักษาความมั่นคงเพื่อเร่งควบคุมสนามบินของจังหวัดและทำการปิดช่องทางเข้าออกในทันที พร้อมทั้งบอกให้เขาส่งคนมาจัดการเรื่องนี้

หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรหาเว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อให้เธอช่วยดูแลครอบครัวของโอฉิงหยุนพร้อมทั้งมอบเงินสามล้านหยวนเป็นค่าทำขวัญในเบื้องต้น

 

หลังจากนั้นซูจิ้งได้ไปยังบ้านครอบครัวของโอฉิงหยุนและทำการสะกดจิตคนในครอบครัวเพื่อให้ผ่อนคลายและส่งสมบัติต่างๆของเขาที่ส่งผลให้สมองนั้นคลายกังวลมายังที่นี่ในทันที

ด้วยการที่เขานั้นไม่สามารถฟื้นคืนคนตายได้ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้โอฉิงหยุนได้เพื่อจะให้เขานั้นได้นอนตายตาหลับ

 

หนึ่งวันผ่านไป

ก่อนที่สายลับทั้งสามจะถูกจับตัวไว้ได้นั้น ก็ได้มีข่าวหนึ่งที่ต้องทำให้ซูจิ้งนั้นต้องหนังตากระตุกด้วยความเกลียดชัง นั่นก็คือ รัฐบาลของอเมริกาได้กล่าวหาว่ารัฐบาลจีนและนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนหนึ่งได้ลักลอบผลิตอาวุธและปฏิสสารที่เป็นอันตรายต่อมวลมนุษย์

พวกนั้นยังได้ทำการแสดงรายการของอุปกรณ์ต่างๆที่ทางสถาบันห้วงเวลาฯของเขาจัดซื้อไปเพื่อใช้ในการสร้างปฏิสสาร

 

พร้อมทั้งกล่าวอีกว่าพวกเขานั้นได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้มานานมากแล้ว จนมั่นใจได้แล้วว่าโครงการนี้ไม่เพียงแค่อยู่ในระดับการศึกษาเท่านั้น ในตอนนี้โครงการปฏิสสารดังกล่าวน่าจะอยู่ในระดับที่ว่าผลิตได้แล้วด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ไม่เพียงจะทำให้คนทั้งประเทศต้องตกตะลึง แม้แต่รัฐบาลของจีนเองรวมถึงรัฐบาลของทั่วทั้งโลกก็ยังอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกตั้งคำถามนี้กับรัฐบาลพร้อมทั้งต้องการให้ทางรัฐบาลจีนออกมาชี้แจงเรื่องนี้ รวมถึงการที่ประเทศมหาอำนาจต่างๆรวมถึงประเทศอเมริกาเองยื่นคำขาดว่าพวกเขาต้องการเข้าไปยังประเทศจีนเพื่อพิสูจน์ว่าสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งนั้นทำการผลิตปฏิสสารได้แล้วจริงๆ

 

ถึงแม้ว่าอาวุธมหันตภัยเฉกเช่นอาวุธนิวเคลียนั้นจะไม่ได้มีทุกประเทศที่มีเอาไว้ในความครอบครองก็จริง แต่แน่นอนว่าประเทศมหาอำนาจอย่างจีน อเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศษ และอังกฤษนั้นล้วนแล้วแต่มีมันเอาไว้ในครอบครอง แต่ด้วยการที่อาวุธนิวเคลียนั้นเป็นอาวุธที่อันตรายอย่างมากและง่ายต่อการก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมในระดับโลก ประเทศเหล่านี้จึงสามารถอ้างเหตุผลในการครอบครองเอาไว้ได้ว่าเพื่อถ่วงดุลอำนาจของโลกใบนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปฏิสสารแล้ว อาวุธนิวเคลียนั้นเรียกได้ว่าไม่ใช่อะไรเลยที่จะเทียบได้แม้แต่น้อย

ด้วยการที่อำนาจทำลายล้างของปฏิสสารเพียงหนึ่งกรัมนั้นเทียบเท่าได้กับการใช้อาวุธนิวเคลียร์นำหนักกว่าสองแสนตัน

 

เรียกได้ว่าร้ายแรงกว่าระเบิดที่อเมริกาทิ้งใส่ฮิโรชิม่าที่ญี่ปุ่นกว่ายี่สิบเท่าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเพียงน้อยนิดก็พอเพียงต่อการล้างโลกได้

ที่ผ่านมานั้น หากจะพูดถึงเรื่องปฏิสสารแล้วนั้นในทุกๆที่ทุกๆประเทศทั่วโลกล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพียงเท่านั้น

แต่หากว่ามีใครสักคนที่สามารถผลิตปฏิสสารได้จริง เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศจีนผลิตปฏิสสารได้ล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่ประเทศที่ตั้งตัวเองว่าเป็นตำรวจโลกอย่างอเมริกานั้นจะนิ่งเฉยและยอมให้คนอื่นนำหน้าไปได้อย่างแน่นอน

 

ตอนนี้เองประชาชนชาวจีนนั้นต่างก็ตกตะลึงและแสดงความไม่เชื่อออกมา

“นี่มันเรื่องจริงงั้นเหรอ ปฏิสสารนั่นไม่ใช่ว่ามันเป็นเทคโนโลยีต้องห้าม แถมโดยส่วนใหญ่แล้วมันนั้นยังควรอยู่ในขั้นตอนศึกษาเท่านั้นนี่นา แล้วอยู่ๆประเทศเรานั้นจะไปผลิตมันได้ยังไงกัน”

“เห็นเขาว่าซูจิ้งนั้นทุ่มเทเงินของตัวเองลงไปกับสถาบันวิจัยของเขาอย่างมหาศาลมาตลอดเลยนะ มีคนว่ากันว่าเขานั้นลงไปหลายแสนล้านแล้ว ด้วยจำนวนเงินขนาดนั้นล่ะก็ หากจะบอกว่าเขานั้นกำลังผลิตปฏิสสารอยู่ล่ะก็มันก็ฟังดูมีเหตุผลนะ”

“…ถ้าสถาบันของซูจิ้งนั้นผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็ ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่ใกล้ๆที่นั่นจะได้รับอันตรายหรอกเหรอ”

“อย่าว่าแต่คนที่อยู่ใกล้ๆที่นั่นแลย หากว่าเกิดเรื่องจริงๆละก็ต่อให้เป็นเพียงปฏิสสารแค่กรัมเดียวก็ล้างโลกได้แล้ว”

 

“แต่นี่ก็หมายความว่าเราก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะกลัวประเทศอื่นรังแกแล้วนี่นา ในเมื่อพวกเรานั้นมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพแบบนี้แล้วล่ะก็ ดูสิว่าอเมริกามันจะยังตัวกร่างอยู่อีกรึเปล่า”

“ฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นานาชาติจะปล่อยผ่านนะขนาดอาวุธนิวเคลียเองยังโดนคุมเข้มซะขนาดนั้นแล้ว อาวุธแนวๆนี้ต่อให้ยังไม่ได้บังคับแต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ใช้กันง่ายๆอย่างแน่นอน

อีกอย่าง ถ้าพวกเราผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็ ฉันว่านานาชาติไม่ต้องการที่จะเห็นเหตุการณ์อย่างตอนที่มีการผลิตอาวุธนิวเคลียขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเป็นแบบนั้นล่ะก็พวกนั้นสมควรจะทำอย่างคำที่ว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลมมากกว่า

 

ดีไม่ดีนะ ฉันว่าเราต้องสอนให้ประเทศอื่นทำปฏิสสารได้เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าดุลยภาพของโลกบ้าบออะไรนั่นอย่างแน่นอน ไอ้พวกประเทศมหาอำนาจพวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นได้ดีกว่าแน่ๆ”

“งั้น…นี่ไม่ใช่ว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดเลยหรอกเหรอ”

 

“…โดนแล้วสินะ” หลังจากได้เห็นข่าวนี้แล้ว ซูจิ้งก็อดที่จะถอดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่ตัวเขาเองจะเคยกังวลจนคิดถึงความเป็นได้มากมายและพยายามหลบเลี่ยงมาโดยตลอดก็ตาม แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้

ในตอนนี้เขาพอจะเชื่อได้แล้วว่าสายลับสามคนที่มาล้วงความลับจากโอฉิงหยุนไปนั้นสมควรจะเป็นสายลับจากอเมริกา

 

หากว่านำข้อมูลที่โอฉิงหยุนได้หลุดปากไปก่อนตายมาผนวกรวมกับข้อมูลทางการเงินของเขาแล้วล่ะก็ ต่อให้โง่ระดับไหนก็ต้องสังเกตได้ว่าสถาบันของเขานั้นย่อมทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่เป็นแน่ ความจริงการกระทำของเขานั้นก็สร้างความสงสัยทั้งในประเทศและต่างประเทศมานานมากแล้วเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นลงมีวางมาตการป้องกันด้วยตัวเองอย่างเต็มพิกัดทั้งเรื่องเวรยาม ทั้งใช้การสะกดจิตอย่างเต็มรูปแบบจึงทำให้เรื่องนี้เป็นความลับมาได้จนมาถึงตอนที่เกิดเรื่องกับโอฉิงหยุนนี้เอง ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาคงเจอปัญหามากมายที่แก้ไม่ตกอย่างแน่นอน

นึกไม่ถึงว่าเมื่ออเมริกาได้รับข่าวนี้แล้ว ไม่เพียงจะไม่กล่าวโทษซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าอเมริการได้กล่าวโทษซูจิ้งไปเต็มๆ เป็นไปได้ว่าในมุมมองของอเมริกานั้น รัฐบาลจีนสมควรจะอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ซูจิ้งคงไม่กล้าจะผลิตปฏิสสารได้อย่างแน่นอน