GGS:บทที่ 1099 แรงกดดันจากนานาชาติ
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเขาได้ดำเนินการผลิตปฏิสสารหลุดรอดไปเข้าหูอเมริกานั้น ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหวังจ้าวที่โทรเข้ามาก็ได้รีบรับสายโดยพูดออกไปว่า “ว่างายยยยลูกพี่ มีเรื่องอันใด”
“อาจิ้ง นี่สถาบันวิจัยกาลเวลาของนายตอนนี้ดังใหญ่แล้วนะ รู้เรื่องรึยังเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น แน่นอนว่าเฉิงหนานที่อยู่ข้างๆเขาเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“ฉันเองก็พึ่งจะเห็นข่าวเหมือนกัน” ซูจิ้งตอบกลับไป
“คราวนี้ต่อให้เบื้องหลังอันหนักแน่นของนายก็น่าจะเอาไม่อยู่แล้วนา นายจะเอาไงต่อ” หวังจ้าวถามออกมาอย่างเป็นกังวล
“พูดยากเหมือนกันแหะถ้าถามมาแบบนี้” ซูจิ้งตอบออกมาก่อนกัดฟันตัวเองเล็กน้อย เดิมทีนั้นด้วยการที่เขานั้นมีเบื้องหลังมากมายที่พอจะท้าทายสวรรค์ได้แล้วหากว่าเรื่องนี้อยู่แค่ในประเทศจีน เพราะเบื้องหลังทั้งหมดของเขานั้นได้ถูกสะกดจิตสมบูรณ์จนเรียกได้ว่าเป็นบริวารที่จงรักภักดีอย่างหาใครเปรียบไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เพียงอยู่แค่ในประเทศจีนอีกต่อไป แต่เรื่องของเขานั้นได้การประเด็นในระดับโลกไปแล้ว ต่อให้เบื้องหลังของเขาจะแข็งขนาดไหน แต่ก็คงไม่สามารถช่วยให้เขาท้าทายโลกนี้ได้อย่างง่ายๆอยู่ดี
ซูจิ้งเองก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นอย่างดีเช่นเดยวกัน ต่อให้ผู้นำประเทศต้องการปกป้องเขา แต่ยังไงซะ ประเทศจีนย่อมไม่มีทางต้านทานแรงกดดันจากนานาประเทศได้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษ ประเทศเหล่านี้สมควรจะยืนอยู่ข้างอเมริกาเพื่อต่อกรกับเขา
หากเขายังใช้ประเทศในการป้องกันตัวเองล่ะก็คงไม่วายต้องทำให้ประเทศของตัวเองต้องวายป่วงอย่างแน่นอน หากว่าเรื่องต้องไปถึงระดับนั้นแล้วเขาย่อมไม่ยินดีที่จะทำ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันว่านายเตรียมตัวที่จะได้รับการตรวจสอบจากนานาประเทศได้เลยนะนั่น ว่าแต่ นาย….ไม่ได้ผลิตปฏิสสารขึ้นมาได้จริงๆใช่รึเปล่า เพราะหากว่านายผลิตได้ขึ้นมาจริงๆแล้วพวกนั้นมาเจอ รับรองได้เลยว่าต้องฉิบหายกันถ้วนหน้าเป็นแน่”
“…ประเด็นคือฉันผลิตไปแล้วจริงๆน่ะ” ซูจิ้งตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม…ถ้าเป็นอย่างนั้นคงแย่….เดี๋ยวนะ นายว่าไงนะ” หวังจ้าวในตอนนี้ทำตาเบิกโต แม้แต่เฉิงหนานที่อยู่ใกล้ๆที่ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆก็ยังนิ่งอื้งไปในทันที นี่พวกเขาได้ยินถูกแล้วใช่รึเปล่าที่ซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารที่ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ประเทศอื่นบนโลกนี้ยังทำได้เพียงแค่ศึกษาเท่านั้น
นี่มันหมายความว่าการที่ซูจิ้งนั้นทุ่มเงินของตัวเองเกือบทั้งหมดลงไปกับสถาบันวิจัยนี้ไปไม่ใช่เพราะว่าเขาแค่ตั้งความหวังกับที่นั่นอย่างมากเท่านั้น
แต่กลายเป็นว่าที่เขาทุ่มเทเงินลงไปตลอดมาเพื่อทำการผลิตปฏิสสารอย่างนั้นเหรอ จากกลายที่ทุกคนคิดว่าเขานั้นทำการเผาเงินเล่นกลายเป็นว่าเขานั้นลงทุนได้อย่างคุ้มค่าแบบสุดๆ
หากเป็นโดยยามปกติล่ะก็พวกเขาคงต้องดีใจอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะหากไม่พูดถึงอานุภาพทำลายล้างของปฏิสสารแล้ว
ปฏิสสารนั้นถือได้ว่าเป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง (พลังงานนิวเคลียจะหลงเหลือกากนิวเคลียอยู่ที่1.5%หลังการนำมาผลิตพลังงาน) และปฏิสสารนั้นยังไม่ก่อมลพิษหรือรังสีแต่อย่างใด
พลังงานที่มาจากปฏิสสารเพียงหยดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์คมีพลังงานไฟฟ้าพอที่จะใช้ได้เกินหนึ่งวัน
หรือหากว่าเราต้องการส่งมนุษย์ไปอยู่บนดาวอังคารล่ะก็จำเป็นต้องมีการเตรียมพลังงานที่เกิดจากเคมีไว้อย่างน้อยร่วมๆนับสิบล้านตัน
แต่หากว่ามนุษย์ใช้พลังงานจากปฏิสสารล่ะก็เพียงเตียมไว้แค่สิบมิลลิกรัมก็เพียงพอ แถมยังเสียเวลาในการผลิตอย่างมากก็แค่หกสัปดาห์เท่านั้นเอง
เรียกได้ว่าปฏิสสารนี้เป็นการพลิกกลับวงการพลังงานได้อย่างแท้จริง แม้แต่แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาเองก็ยังเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าการผลิตปฏิสสารนั้นต้องใช้เงินมากมายมหาศาล แต่หากมองผลประโยชน์ทางด้านพลังงานที่เกิดขึ้นแล้วบอกได้เลยว่ายังไงก็คุ้มค่า
เรียกได้ว่าการที่สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งนั้นเป็นเจ้าแรกที่สามารถปฏิสสารได้นั้นเป็นการเขย่าโลกได้อย่างแท้จริง เพราะนี่จะเป็นการนำพาโลกนี้เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแน่นอน
“อาจิ้ง ตลอดมานี้ฉันเองก็คิดอยู่ว่าสถาบันวิจัยของนายนั้นยังเพียงแค่อยู่ในระดับที่ศึกษาปฏิสสารอยู่เท่านั้น ฉันจึงพูดไปว่านายนั้นผลาญเงินกับเรื่องนี้มากเกินไป ไม่นึกเลยว่านายจะสามารถไปถึงขั้นผลิตได้แล้วจริงๆ นี่นายจะปฏิวัติโลกนี้ไปถึงไหนกันเนี่ย….ว่าแต่…ตอนนี้นายผลิตปฏิสสารไปได้เท่าไหร่แล้วกัน” หวังจ้าวอดที่จะถามเรื่องนี้ออกมาด้วยเสียงสั่นไม่ได้
“ฉันยังไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับนายผ่านโทรศัพท์หรอกนะ ยังไงซะหน้าต่างมันมีหูประตูมันมีตาอยู่” ซูจิ้งได้พูดดักทางเอาไว้ในทันที หากว่าเรื่องที่เขานั้นสามารถผลิตปฏิสสารไว้ได้มากกว่า 156 กรัมหลุดรอดออกไปล่ะก็ เขาเกรงว่าหวังจ้าวนั้นจะทำตัวไม่ถูกอย่างแน่นอน เพราะด้วยปริมาณเท่านี้นั้นเพียงพอที่จะล้างโลกได้ถึงสองรอบเลยทีเดียว
“แล้วตอนนี้นายจะเอายังไงล่ะ ไม่เพียงแค่สถาบันวจัยของนายเท่านั้นนะที่โดนแรงกดดัน แม้แต่กลุ่มทุนห้วงเวลาของเราเอง ตอนนี้ก็โดนแรงกดดันไปไม่น้อยเลยทีเดียว” หวังจ้าวพูดออกมา
นั่นก็เพราะสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯด้วยเช่นเดยวกัน ต่อให้พวกเขานั้นจะทำท่าทีไม่รับรู้อะไรก็ได้ แต่ยังไงซะด้วยแรงกดดันในระดับโลกแล้วบอกได้เลยว่าเลี่ยงยังไงก็ไม่พ้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอก นายก็แค่จัดการกลุ่มทุนห้วงเวลาเต็มความสามารถแบบปกติก็พอ ส่วนเรื่องสถาบันวิจัยนั้นเดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการเอง ยังไงซะในเมื่อเรานั้นได้ครอบครองสุดยอดอาวุธแล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าไอ้พวกหน้าหนานั่นจะเอาของพวกเราไปได้” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเชิงปลอบใจตัวเอง
หลังจากวางสายไปแล้ว ถัดมาเป็นหวังซือหยา หวังซวนจี้ และคนอื่นๆที่ได้หมุนเวียนเปลี่ยนโทรมาหาเขา เรียกได้เลยว่าเกือบทั้งตระกูลหวังอยู่กันไม่สุขได้เลยทีเดียว
กับเรื่องนี้เอง แม้แต่หวังซวนจี้ที่ผ่านทุกข์ร้อนหนาวมามากมายหลากหลายแล้วนั้นก็ถึงกับต้องยกธงขาวยอมแพ้ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว นั่นก็เพราะเขาเองก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับต่างประเทศในระดับประเทศแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
หลังจากนั้น สุดยอดอาวุธลับของซูจิ้งต่างก็โทรหาซูจิ้งเพื่อวางแผนการต่อไป หลังจากพูดคุยกันได้พักใหญ่ ในที่สุด ทุกคนก็สามารถวางกลยุทธ์ตอบโต้ได้ในที่สุด
สองวันผ่านไป ฑูตพิเศษจากประเทศต่างๆได้เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อมาตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีปฏิสสารกันเป็นทิวแถว แน่นอนว่าแต่ละประเทศได้นำนักวิทยศาสตร์ของตัวเองมาด้วย
ด้วยการที่นานาประเทศนี้ให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก จนทำให้คนทั่วทั้งโลกให้ความสนใจซูจิ้งในทันที ราวกับว่าซูจิ้งนั้นเป็นร่างอวตารของเทพเจ้าสักองค์เลยก็ว่าได้
และเรื่องราวที่ผ่านมาของซูจิ้งเองก็ได้ถูกขุดคุ้ยโดยชาวโลกไปโดยปริยาย จนกระทั่งทั่วทั้งโลกต่างก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่าซูจิ้งคนนี้จะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นปฏิวัตรโลกนี้ได้จริงๆอย่างนั้นเหรอ
ในมุมมองของชาวโลก ในตอนนี้เองประเทศจีนเหลือทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น
หนึ่งคือการทำตามข้อเรียกร้องจากนานาประเทศแล้วให้แต่ละประเทศเข้าไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ หากว่าที่นั่นไม่ได้มีการผลิตปฏิสสารได้จริงๆล่ะก็ที่เหลือก็แทบไมมีอะไรแล้ว
แต่หากว่าที่สถาบันวิจัยฯของซูจิ้งนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาวและอาจร้ายแรงเกินพูดคุยได้ด้วยซ้ำ
สอง ปฏิเสธการเข้าตรวจสอบจากนานาประเทศ แต่หากเลือกทางนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ประเทศจีนยังไงก็ต้องเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน และนานาประเทศเองก็จะสามารถใช้ข้อนี้ตอบสนองได้ในทุกๆรูปแบบเท่าที่พวกนั้นจะคิดออก
อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนกลับเรียกใช้วิธีทางการฑูตจากทุกประเทศ นี่หมายความว่าที่นั่นนั้นย่อมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง
เรียกได้ว่าการที่เลือกวิธีการนี้ทำให้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนานาประเทศจนอาจทำให้ทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่นี่ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน
นั่นก็เพราะว่ากับเรื่องอย่างปฏิสสารนี้เป็นเรื่องที่ส่งผลไปถึงอำนาจทางการทหารได้เลย อย่าว่าแต่ประเทศมหาอำนาจอยากจะครอบครองเอาไว้เลย
แม้แต่ประเทศเล็กๆเองก็ยังอยากที่จะถือครองไว้ให้จงได้ เรียกได้ว่าหากไม่สามารถได้มาด้วยวาจา พวกเขาก็ยินดีที่จะกำลังอย่างไม่รังเกียจ เรียกได้ว่ายอมตายเพื่อได้มาเลยทีเดียว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงในมุมมองอื่นที่ไม่ใช่อาวุธอย่างด้านเศรษฐกิจ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ไม่ว่ายังไงซะก็ได้ประโยชน์จากปฏิสสารไปเต็มๆ บอกได้เลยว่าการที่กลุ่มทุนห้วงเวลาได้ครอบครองเทคโนโลยีนี้เอาไว้ สามารถควบคุมโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตัวปฏิสสารนี้มีความเสี่ยงอย่างมหัน แน่นอนว่าประเทศต่างๆย่อมไม่ยินดีที่จะให้ประเทศหนึ่งประเทศเดียวถือครองเทคโนโลยีนี้เอาไว้อย่างแน่นอน
เพราะยังไงซะปฏิสสารนั้นก็ไม่ได้ต่างจากอาวุธนิวเคลียที่เมื่อใช้ไปแล้ว ต่อให้ชนะสงครามก็ตาม แต่นั่นก็ยังสร้างบาดแผลให้กับโลกใบนี้ ต่อให้ชนะจริงแต่ก็ไม่มีใครจะอาศัยอยู่ได้ นี่คืออาชญากรรมระดับโลกอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มีวิธีที่จะฟื้นฟูบาดแผลให้กับโลกใบนี้จากการใช้ปฏิสสารดีขนาดไหน ยังไงซะ ผลกระทบที่เกิดกับสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างแน่นอน
เรียกได้ว่าต่อให้มีวิธีการฟื้นฟูแต่ยังไงซะนั่นก็ยังเป็นหายนะของโลกนี้อยู่ดี และหากเกิดเรื่องนั้นจริงล่ะก็ บอกได้เลยว่าไม่มีทางเลยที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและอวกาศจะยกระดับได้อีกต่อไป
หากเกิดเรื่องนี้จริงล่ะก็ บอกได้เลยว่าค่าการใช้ประโยชน์นั้นไม่เพียงจะต้องลดลง แต่ยังต้องติดลบจนยากจะฟื้นคืนเป็นแน่
จะให้บอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเรื่องนี้จะออกมายังไงซะ เพื่อไม่ให้โลกนี้ต้องเกิดสงครามขึ้นมา คนเหล่านี้จะต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจของพวกเขา