ตอนที่ 955 เส้นทางของราชวงศ์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 955 เส้นทางของราชวงศ์

“ข้ามิอยากสังหารมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายคนจำนวนมากก็คือผู้บริสุทธิ์”

ณ กวนหยุนถาย ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาหนึ่งกาเพื่อต้อนรับฝานเทียนหนิง

“ข้าทราบว่าเจ้ากลับไปที่เมืองฉางจินหนึ่งคราและได้ห้ามปรามพวกเขาอย่างสุดความสามารถแล้ว เรื่องนี้ข้าขอบใจเจ้ามากยิ่งนัก ขอบใจจากใจจริง เพราะนี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นมิตรสหายและหมายความว่าเจ้าเข้าใจในตัวข้า”

“ทว่าสุดท้ายเจ้าก็มิสามารถขัดขวางพวกเขาได้ เรื่องได้เกิดขึ้นจนมีสงครามเยี่ยงในตอนนี้…”

ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้ฝานเทียนหนิงหนึ่งถ้วย จากนั้นก็นำรายงานหนึ่งฉบับส่งให้แก่เขา “เจ้าลองอ่านดูสิ”

ฝานเทียนหนิงรับมา ทันทีที่เปิดอ่านร่างกายก็พลันสั่นเทาขึ้นมา ชาวาบไปทั้งร่าง

‘รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่สาม เดือนสี่ จักรพรรดิอู๋บุกไปยังวังหลวงของแคว้นฝานและได้จับกุมเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดไว้ในราชสำนัก

วันรุ่งขึ้น…จักรพรรดิอู๋บุกไปยังพระราชวังจินเตี้ยนเพื่อปลดขุนนางทั้งหมดออกจากตำแหน่งและขอให้จักรพรรดิฝานลงนามในหนังสือยอมจำนน

การยิงปืนใหญ่ที่เมืองฉางจินหยุดลง ประตูเมืองพังทลาย ซื่อโถวผู้บัญชาการกองทัพเรือเป็นผู้นำทหารจำนวน 42,000 นายเข้าไปในเมืองหลวง จากนั้นก็เข้าควบคุมประตูเมืองทั้งสี่ทิศ รวมไปถึงควบคุมกองทัพที่พ่ายแพ้ทั้งแปดแสนนายอีกด้วย

จักรพรรดินีฮุ่ยผูกคอตาย ส่วนเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ถูกหน่วยสอดแนมที่มีเกาเสี่ยนเป็นผู้นำกุมตัวไปยังห้องขังของกรมราชทัณฑ์เพื่อรั้งรอการมาถึงของทหารราบกองทัพที่สอง

หลังจากที่สงครามแคว้นฝานจบลง จำต้องทูลฝ่าบาทให้รีบส่งคนไปปกครองทันทีพ่ะย่ะค่ะ’

สิ้นชาติแล้ว !

ต่อให้ฝานเทียนหนิงทราบว่านี่คือผลลัพธ์ที่ต้องเกิดขึ้น ทว่าหลังจากที่ได้อ่านรายงานนี้ด้วยตนเองแล้ว เขาก็ยังอดร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้ามิได้อยู่ดี

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปลอบใจอันใด เพราะฝานเทียนหนิงจำเป็นต้องร้องไห้

เขานึกไปถึงชายอ้วน นี่คือสนามสุดท้ายของสงครามสถาปนาราชวงศ์ใหม่ และชายอ้วนก็สร้างผลงานเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

หากมิได้ชายอ้วนที่พาโหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียนลักลอบเข้าวังหลวงเพื่อควบคุมองค์จักรพรรดิฝานจื่อกุย ผลลัพธ์ของสงครามในครานี้ก็ยากเกินกว่าจะคาดเดา

ปืนใหญ่หงอี 1,000 กระบอกนั้น…

ชุดเกราะกันกระสุนสามารถป้องกันกระสุนจากปืนคาบศิลาได้ ทว่ามิสามารถต้านทานการโจมตีของกระสุนปืนใหญ่ได้ !

เดิมทีเขาคิดว่าสงครามครานี้ต้องรอไปอีกครึ่งเดือน ต้องรอให้เฮ้อซานเตาไปถึงแล้วรวมกำลังของสองกองทัพเข้าด้วยกันเสียก่อน ถึงจะสามารถยึดครองเมืองฉางจินได้ คาดมิถึงว่าการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ของชายอ้วนจะทำให้สงครามยุติลงได้อย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์ในตอนนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว

กองทัพเรือสูญเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทหารป้องกันเมืองฉางจินก็เสียชีวิตมิมากนัก ที่สำคัญคือมิได้เข้าไปเกี่ยวพันกับชาวบ้านภายในเมืองและมิได้ทำลายเมืองโบราณที่มีอายุนับพันปีนี้ลง

สิ่งจำเป็นสำหรับฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้คือการใช้วิธีปกครองเฉกเช่นเดียวกันกับที่ชื่อเล่อชวนมาทำให้แคว้นฝานมั่นคง เนื่องจากแคว้นฝานคือเมืองพุทธและได้รับอิทธิพลจากคำสอนของศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง แคว้นที่มีความเชื่อฝังรากลึกถึงเพียงนี้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถผสานเข้าด้วยกันได้ พวกเขาจะขับไล่คนนอกโดยเฉพาะคนที่มาปกครองพวกตน

หากอยากให้แคว้นฝานเข้าร่วมกับราชวงศ์อู๋และยอมรับกฎของราชวงศ์อู๋ หากอยากให้ฎีกาของราชวงศ์อู๋ดำเนินภายในแคว้นฝานได้อย่างราบรื่น จำต้องให้ฝานเทียนหนิงไปปกครองแคว้นฝานด้วยตนเอง

ฝานเทียนหนิงเงยหน้าขึ้นมาพลางถอนหายใจเบา ๆ เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวจึงย่อมเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี

“หากข้ามิยินยอม เจ้าจะสังหารข้าหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “หากเจ้ามิเห็นด้วย ข้าก็อาจจะใช้เวลาและกำลังมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย”

“ข้าจะบอกเหตุผลที่ขอให้เจ้าไปปกครองในครานี้ เนื่องจากมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งมาจากอีกฟากของมหาสมุทร เกรงว่าแคว้นหลิวในตอนนี้จะล่มสลายไปแล้ว… พี่ฝานหากมิใช่เพราะแคว้นฝานเข้าร่วมสงครามครานี้ด้วย ป่านนี้กองทัพเรือของข้าก็คงสามารถออกทะเลไปช่วยแคว้นหลิวได้แล้ว”

“การที่แคว้นฝานเข้าร่วมสงครามถือเป็นการขัดขวางแผนการของข้า เจ้าเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าข้าได้ลดกำลังทหารชายแดนอู๋ไปถึงหนึ่งล้านกว่านาย ที่เหลือทิ้งไว้ตรงนี้มีเพียงกองกำลังชั้นยอดจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจึงทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงแผนการโดยใช้การล่มสลายของแคว้นหลิวมาแลกเปลี่ยนกับความมั่นคงอันยาวนานของผืนปฐพีนี้”

“หากเจ้าช่วยข้าได้ก็จะสามารถลดภาระงานจำนวนมากของข้าลงไป และข้าก็จะสามารถปล่อยมือเพื่อไปจัดการศัตรูที่มาจากต่างแดนได้ เพราะอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรยังมีแคว้นที่ทรงพลังอยู่อีกหลายแคว้น พวกเขาต่างหากที่เป็นศัตรูของพวกเรา”

“ราชวงศ์อู๋ที่มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่างหากถึงจะสามารถขจัดศัตรูเหล่านั้นได้ จนถึงขั้นสามารถโจมตีผืนปฐพีของพวกเขาได้อีกด้วย”

“นอกจากนี้เพื่อให้การปกครองในภายภาคหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น การประชุมใหญ่ประจำราชสำนักในวันพรุ่งนี้ ข้าจะประกาศเรื่องการเปลี่ยนราชวงศ์โดยเปลี่ยนจากราชวงศ์อู๋เป็นราชวงศ์เซี่ย ในใต้หล้านี้ก็จะมิมีราชวงศ์หยู แคว้นฝาน แคว้นอี๋และมิมีราชวงศ์อู๋อีกต่อไปแล้ว”

“ผืนปฐพีกว้างใหญ่นี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งมีนามว่า…ราชวงศ์เซี่ย ! ”

“เซี่ยที่มาจากหัวเซี่ย หมายถึงหนึ่งอาณาจักรที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ! ”

“หลังจากที่ข้ากวาดล้างกองทัพเรือของศัตรูเสร็จสิ้นแล้ว และทั้งสี่ทิศมั่นคงขึ้นมาเมื่อใด เมืองกวนหยุนก็จะมิใช่เมืองหลวงของราชวงศ์เซี่ยอีกต่อไป”

ฝานเทียนหนิงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “เจ้าจะย้ายเมืองหลวงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ใช่ ! ย้ายเมืองหลวงไป… ฉางอัน ! ”

…..

…..

“พวกเรารบชนะแล้ว ! ”

“พวกเราเอาชนะกองทัพทั้งสามแคว้นได้อย่างงดงาม ! ”

“สงครามในแคว้นฝานก็จบลงอย่างรวดเร็วเช่นกันหรือ ? ”

“พวกโง่เขลาเบาปัญญา เมื่อทหารของจักรพรรดิไปถึงเมืองฉางจินแห่งแคว้นฝานแล้ว พวกเขาก็รีบหมอบกราบทันที ส่วนราชลัญจกรก็ถูกส่งมอบมาแล้วเช่นกัน การที่ฝ่าบาทมิเสียทหารไปแม้แต่นายเดียว นี่คือชัยชนะที่ใหญ่ยิ่งกว่า”

“…”

ทั่วทั้งราชวงศ์อู๋เต็มไปด้วยความสุข ในช่วงเวลานั้นชาวอู๋ก็อิ่มเอมไปด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นโชคดีของพวกตนที่ได้เกิดในยุคสมัยนี้ พวกเขาโห่ร้องด้วยความดีใจที่มีองค์จักรพรรดิที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ณ หอซื่อฟางสาขาเมืองกวนหยุน

โจ่งจี้ถัง หยูซิ๋งเจี่ยน หวางซุนอู๋หยาและคนอีกจำนวนหนึ่งที่กลับมาจากเมืองเปียนเฉิงได้นัดรวมตัวกันอีกครา

วันที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองเยี่ยงนี้ย่อมขาดสุรามิได้แน่นอนอยู่แล้ว

“จอกที่หนึ่ง พวกเราทั้งหมดจงชนจอกสุรากันเพื่อเป็นเกียรติแก่ฝ่าบาทของพวกเรา” ซือหม่าเทายกจอกสุราขึ้นมา ชายหนุ่มทุกคนจึงยกจอกสุราตาม สุราหนึ่งจอกได้ไหลลงสู่ท้องของทุกคน หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยด้วยความปลดปลงอย่างถึงที่สุดว่า

“ตอนที่ข้าและจี้ถังอยู่ในเมืองเปียนเฉิง พวกเราได้เห็นกองทัพทหารชายแดนใต้ของราชวงศ์หยูข้ามเขตแดนไปยังภูเขาฉีซานกับตาของตนเอง ทั้งยังได้เห็นกองทัพสวรรค์ฆาตรุกเข้ามายังภูเขาฉีซานด้วยสายตาคู่นี้อีกด้วย พวกเจ้าคงมิรู้ว่าเมฆหนาในเมืองเปียนเฉิงช่างมืดครึ้ม ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนั้น คาดมิถึงว่าการค้าของเมืองเปียนเฉิงจะมิได้รับผลกระทบอันใดมากมายเลย…”

หยูซิ๋งเจี่ยนส่ายหน้าไปมาราวกับไม่อยากจะเชื่อ “ทุกคนล้วนทำหน้าที่ของตนเองตามปกติ พวกเขาเพียงแค่เอ่ยให้น้อยลง บรรยากาศก็ค่อนข้างจะหม่นหมองไปสักนิด”

“พวกเราเห็นกองทัพใหญ่จำนวน 600,000 นายเคลื่อนผ่านไปกับตา ทว่ามิเห็นทหารที่พิการกลับมาแม้แต่นายเดียว…”

หยูซิ๋งเจี่ยนแบสองมือออก “คนตั้ง 600,000 คน ! จุ๊ ๆ ๆ มิมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาแม้แต่ผู้เดียว”

หวางซุนอู๋หยาหัวเราะร่าขึ้นมา “หลังจากที่ทัพหน้าได้ส่งข่าวกลับมายังเมืองกวนหยุน ก็มิได้เกิดกระแสอันใดขึ้นมาเช่นกัน ต่อให้เป็นที่หอหลิวหยุน ณ หลิวหยุนถาย พวกเขาก็ยังคงเปิดกิจการดังเดิม”

“หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? นี่หมายความว่าทุกคนเชื่อมั่นในฝ่าบาท ทุกคนต่างก็เอ่ยเหมือนกันว่าราชวงศ์อู๋จะต้องชนะ เพราะเหตุใดน่ะหรือ ? เพราะมิว่าจะเป็นกองทัพบกหรือกองทัพเรือก็ล้วนมาจากพระหัตถ์ของฝ่าบาททั้งสิ้น”

นี่คือพลังที่แข็งแกร่งของฟู่เสี่ยวกวน ราษฎรในราชวงศ์อู๋กราบไหว้เขาราวกับตนเองเป็นคนหูหนวกตาบอดก็มิปาน

เพราะตั้งแต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นครองบัลลังก์ การเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ของราชวงศ์อู๋ก็เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกัน

เขาได้สร้างราชสำนักที่ใสสะอาดและมีประสิทธิภาพขึ้นมา เขาทำให้คุณภาพชีวิตของราษฎรดีขึ้นอย่างแท้จริง… มิขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มอีก มิขาดแคลนเสบียงอาหาร อีกทั้งวัตถุดิบในท้องตลาดก็มีอย่างอุดมสมบูรณ์ เงินในกระเป๋าของราษฎรก็มิขัดสนอีกต่อไป จักรพรรดิพระองค์นี้จะต้องอายุยืนยาวเป็นแน่ !

“บัดนี้สงครามก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเรากำลังจะเผชิญหน้ากับการรวมผืนปฐพีให้เป็นหนึ่งเดียว การเอาชนะทั้งสามแคว้นนั้นเป็นเรื่องง่าย ทว่าการที่ราชวงศ์อู๋มีดินแดนและประชากรเพิ่มขึ้นทันพลันเยี่ยงนี้… ก็มิทราบเช่นกันว่าพระองค์จะรวบรวมทั้งสามแคว้นเข้ามาไว้ด้วยกันภายในระยะเวลาอันสั้นได้เยี่ยงไร ข้ากำลังหมายถึงสภาพจิตใจน่ะ”

หลู่ซีฮุ่นยกยิ้มบาง ๆ “โดยพื้นฐานแล้วเรื่องนี้มิใช่ปัญหาสำหรับฝ่าบาทเลย พวกเจ้าสามารถดูได้จากชื่อเล่อชวนเป็นตัวอย่าง”

“ความหมายของพี่หลู่คือพระองค์จะสร้างเขตปกครองตนเองขึ้นมาอีก 3 แห่งเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้าก็มิแน่ใจเช่นกัน เอาเป็นว่ารอข่าวจากการประชุมใหญ่ราชสำนักในวันพรุ่งนี้เถิด ถึงเยี่ยงไรพระองค์ก็มิมีทางทำให้ราษฎรต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”