ตอนที่ 956 มิแปรเปลี่ยน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 956 มิแปรเปลี่ยน

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่สิบแปด เดือนสี่ การประชุมใหญ่ประจำราชสำนัก

เช้าวันนี้ หยุนซีเหยียนตื่นเช้ากว่าปกติที่ผ่านมา

เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วยืนจัดเครื่องแบบประจำตำแหน่งอยู่หน้ากระจก จากนั้นก็เดินมายังลานกว้างเพียงลำพัง เขาต้มชาหนึ่งกาแล้วนั่งดื่มท่ามกลางแสงไฟสลัวจากโคมไฟอย่างละมุนละม่อม

นี่คือเรือนสี่ประสานแบบสามวงที่เขาซื้อมา ทว่าด้านในมีเขาอาศัยอยู่เพียงผู้เดียว

แม้จะเงียบสงบและเยือกเย็น ทว่าเขากลับมิรู้สึกเช่นนั้น

เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น หยุนซีเหยียนจึงเดินไปเปิดประตู จากนั้นก็ต้อนรับจงสือจี้กับกงซุนเซ่อเข้ามาด้านใน

บัดนี้เพิ่งเป็นยามอิ๋นเท่านั้น มองดูแล้วเมื่อคืนนี้คงจะมีหลายคนที่นอนมิหลับ

ทั้งสามนั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะหิน กงซุนเซ่อยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าควรแต่งภรรยาได้แล้ว”

หยุนซีเหยียนรินชาพลางหัวเราะร่า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อย่ามัวแต่ว่าข้าสิ แล้วตัวเจ้าเล่า ? ”

“ข้ามิรีบหรอก เกรงว่าต่อจากนี้คงมิมีเวลาเกี้ยวสตรีใด ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานเลย ! ”

“นั่นสิ ! แต่อย่างมากสุดก็ยุ่งมิเกินหนึ่งปีครึ่งหรอก เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่แล้ว คาดว่าชีวิตจะดีและมั่นคงขึ้นมาเองนั่นแหละ…การประชุมใหญ่ประจำราชสำนักในวันนี้ ข้าคาดว่าฝ่าบาททรงมีแผนการคราใหญ่ เมื่อคืนข้านอนครุ่นคิดตลอดทั้งคืนก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องของแคว้นอี๋และแคว้นฝาน”

หลังจากชะงักชั่วครู่ หยุนซีเหยียนก็เอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า “ก่อนหน้านี้ในราชวงศ์หยูมีเรื่องราวมากมายที่ฝ่าบาทได้กระทำขึ้นมา เดิมทีชื่อเสียงของฝ่าบาทในราชวงศ์หยูก็โด่งดังไปทั่วอยู่แล้ว จึงคาดว่าราชวงศ์หยูจะมั่นคงก่อนแคว้นอื่น ๆ แต่มิรู้ว่าอีกสองแคว้นนั้น ฝ่าบาทจะทรงจัดการเมื่อใดและจะจัดการเยี่ยงไร”

จงสือจี้จิบชาหนึ่งอึก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “จะใช้นโยบายเฉกเช่นเดียวกับชื่อเล่อชวนหรือไม่ ? ”

หยุนซีเหยียนครุ่นคิดพลางส่ายหน้าไปมา “ฝ่าบาทตรัสว่าจะทำการแบ่งเขตพื้นที่ใหม่มิใช่หรือ ? ข้าคาดว่าฝ่าบาทจะนำสามแคว้นนี้มาเป็นมณฑลภายใต้การปกครองของราชวงศ์อู๋…หรือบางทีอาจจะทำการตัดแบ่งใหม่ทั้งหมด ดังนั้นการประชุมใหญ่ราชสำนักเช้านี้คงต้องใช้เวลานานเลยทีเดียว หลังจากดื่มชาถ้วยนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปทานมื้อเช้าที่ร้านซิ่งหลินจี้กันเถิด”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ที่เจ้าเอ่ยมาสมเหตุสมผลยิ่ง เนื่องจากประชุมใหญ่ราชสำนักมิได้จัดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว”

กงซุนเซ่อถอนหายใจยาวออกมา “ข้าเพิ่งออกมาจากว่อเฟิงเต้า ทว่าบัดนี้ว่อเฟิงเต้าก็กลับมาเป็นของฝ่าบาทอีกครา ข้าจึงขอกลับไปที่นั่น แต่ก็ถูกฝ่าบาทตำหนิเสียยกใหญ่… ตรัสว่าที่ว่อเฟิงเต้ามิมีเรื่องอันใดต้องทำแล้ว จะกลับไปเนื่องด้วยเหตุอันใด ? ข้ากลัวเสียเหลือเกินว่าฝ่าบาทจะทรงเตะข้าไปที่แคว้นอี๋หรือแคว้นฝาน เฮ้อ… ! ”

“จะถอนหายใจเพื่ออันใดกัน ! เจ้ามิรู้หรือว่ามีขุนนางมากมายเพียงใดอยากไปยังสองแคว้นนั้น ? เพราะหากถูกส่งไปที่นั่นอย่างน้อยก็ต้องได้เป็นเต้าถาย ! ได้เป็นขุนนางชั้นใหญ่โต ! ดีกว่าเป็นชื่อหลางแห่งกรมขุนนางในตอนนี้มิใช่หรือ ? ”

“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ฝ่าบาททรงมีพระชนมพรรษาราวคราวเดียวกับพวกเรา หากได้ออกไปประจำการนอกพื้นที่สักพักแล้วกลับมา… ตำแหน่งเสนาบดีทั้งสามสำนักอย่าเพิ่งไปนึกคิดเลย ทว่าตำแหน่งเสนาบดีทั้งหกกรมก็มิน่าจะปลิวไปที่ใดมิใช่หรือ ? ”

กงซุนเซ่อชะงักงันขึ้นมาทันใด มีโอกาสเช่นนี้ด้วยหรือ ?

“เช่นนั้น…ถือเป็นเรื่องดีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นเรื่องดียิ่งกว่าอันใดทั้งสิ้น ! ขนาดข้ายังอยากไปเลย เพราะจะว่าไปแล้วหัวหน้ากรมการค้าแม้มีตำแหน่งขั้นสามชั้นโท ทว่าก็มิอาจขึ้นสูงไปกว่านี้ได้อีกแล้ว แตกต่างจากตำแหน่งเต้าถายที่แม้เป็นตำแหน่งขั้นสามชั้นโทเช่นกัน ทว่ายังสามารถปีนขึ้นสูงได้อีก ! ”

กงซุนเซ่อหัวเราะออกมาเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ฮ่า ๆ ๆ ไปกันเถิด มื้อเช้านี้ข้าจะเลี้ยงพวกท่านเอง ! ”

“ได้เยี่ยงไรกัน ? หากถูกส่งไปเป็นเต้าถายจริง เจ้าต้องจัดงานเลี้ยงที่หอซื่อฟางและจองห้องที่หอหลิวหยุนด้วย ! ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดมังกรประจำตำแหน่งจักรพรรดิโดยมีชุนซิ่วคอยช่วยเหลือ

ของสิ่งนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ เนื่องจากวันนี้มีเรื่องค่อนข้างใหญ่และสำคัญ เขาจึงปล่อยให้ชุนซิ่วแต่งองค์ให้เขาตามใจนาง

“ท่านพี่เพคะ”

“หือ ? ”

“…ขอพระองค์อย่าทรงกริ้วองค์จักรพรรดินีเลยนะเพคะ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน “ข้ามิได้โกรธเวิ่นหวินสักหน่อย มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เมื่อวานนี้ ตอนที่จักรพรรดินีเสด็จออกจากพระราชวัง… ดวงตาของนางบวมเป่ง นาง… นางคงได้รับแรงกดดันมากมายจริง ๆ ดังนั้นหลังจากที่สนมหลานและสนมเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงตัดสินใจเดินทางกลับพร้อมนาง สนมจางเอ่ยว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงมีราชกิจยุ่งมากยิ่งนัก จึงมิมีเวลาสนพระทัยจักรพรรดินีสักเท่าใดนัก หากพระองค์มิได้โกรธนางก็ดีแล้วเพคะ”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาเบา ๆ ช่วงนี้เขายุ่งวุ่นวายมากจริง ๆ จึงมิได้นึกถึงปัญหานี้ เขาละเลยจิตใจของพวกนางไปเสียแล้ว

เขาจับมือของชุนซิ่วเอาไว้ จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาของนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ตัวข้าสามีของพวกเจ้าทั้งหลาย มิว่าเยี่ยงไรก็ยังเป็นสามีของพวกเจ้าดังเดิม มิมีวันเปลี่ยนแปลงไป มิว่าผืนปฐพีนี้จะกว้างใหญ่เพียงใด มิว่าข้าจะปีนป่ายขึ้นสูงมากเพียงใด ทว่าในหัวใจของข้า สิ่งเหล่านั้นหาได้มีค่าสำคัญไปกว่าพวกเจ้าไม่ ! ”

ชุนซิ่วตกตะลึงขึ้นมาทันใด นางจ้องมองไปยังใบหน้าฟู่เสี่ยวกวน บุรุษผู้นี้คือคนที่นางคอยปรนนิบัติรับใช้เขามาแต่เล็กจนโต

จิตใจของนางมีความกังวลยิ่ง ชายหนุ่มผู้นี้นับวันก็ยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาได้ขยายอาณาเขตกว้างขวางและได้สร้างอาณาจักรอันใหญ่โตขึ้นมา ซือหม่าเช่อเอ่ยว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนการทำธุรกิจ หากขนาดร้านค้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ ก็ย่อมมีเรื่องต้องจัดการมากมายขึ้น และแน่นอนว่าจะมีสตรีเข้ามาพัวพันกับเขามากขึ้นเช่นกัน

ซือหม่าเช่อเอ่ยว่านางเองก็กังวลใจมากยิ่งนัก กังวลว่าเขาจะถูกความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เหล่านี้บดบังเสียจนดวงตามืดบอด

จางเพ่ยเอ๋อร์เอ่ยว่านางเองก็กังวลเช่นกัน กังวลว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อกาลเวลาผ่านไปแล้ว เขาจะไปชื่นชอบสิ่งใหม่และลืมความรักครั้งเก่า

ทว่าสวี่ซินเหยียนและซูซูดูเหมือนจะมิหวั่นไหว ทว่าท่าทางนิ่งเงียบของพวกนางก็แฝงไปด้วยความกังวล

พวกนางเอ่ยว่าพระสวามีของพวกนางได้สร้างประวัติศาสตร์ที่มิเคยมีมาก่อนตลอดพันปีมานี้ การนำห้าแคว้นมารวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้กำมือของเขา หมายความว่าเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิเหนือจักรพรรดิทั้งปวง !

คำว่าจักรพรรดิเหนือจักรพรรดิทั้งปวงนี้ ได้สร้างความกดดันให้แก่ชุนซิ่วเป็นอย่างยิ่ง

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในใจของชุนซิ่วก็เห็นว่าพระสวามีของนางมิได้แตกต่างจากนายน้อยที่เมืองหลินเจียงเลย เพียงแค่มีพื้นที่ไร่นามากขึ้นเท่านั้น

ทว่าบัดนี้พื้นที่ของพระสวามีมากขึ้นจนน่าใจหาย…ในใจของชุนซิ่วจึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

เมื่อได้ยินพระสวามีตรัสเช่นนี้ นางจึงวางใจเล็กน้อยและรู้สึกมั่นคงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าของนางจึงเผยรอยยิ้มกว้างออกมา

“เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ พวกเราก็วางใจเพคะ พระองค์ทรงเป็นบุรุษ และบุรุษทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไปเถิดเพคะ… พวกเราจะจัดการวังหลังให้ดี”

ฟู่เสี่ยวกวนก้มลงหอมแก้มชุนซิ่วแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจงไปบอกพวกนางว่า… แม้ช่วงนี้ข้าจะงานยุ่งไปสักหน่อย และบัดนี้เมื่อลองตริตรองดูแล้วต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียว แต่ที่ข้าเคยสัญญาไว้กับพวกเจ้าว่าจะพาไปท่องโลกกว้าง ข้าจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน อย่าเพิ่งร้อนใจหรือเป็นกังวลไปเลย ! ”

“เพคะ ! ”

ชุนซิ่วจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนที่ค่อย ๆ เดินหายลับไปในความมืด ในใจของนางรู้สึกหวานหยดย้อยราวกับเพิ่งทานน้ำผึ้งเข้าไป เขายังคงเป็นนายน้อยแห่งเมืองหลินเจียงดังเดิม…รู้สึกดีมากยิ่งนัก

เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเจี่ยหนานซิงยังมิดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกตำหนักหยางซินคือหลิวจิ่น

“ทูลฝ่าบาท… สำรับอาหารเช้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้กระหม่อมยกไปที่ห้องทรงพระอักษรเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

“อืม…ช้าก่อน หลิวจิ่น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ช่างเถิด… เจ้าไปเตรียมสำรับอาหารเถิด”

หลิวจิ่นชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เดินขึ้นไปบนพระเกี้ยวแล้วตรงไปยังห้องทรงพระอักษรทันที ทว่าหลิวจิ่นมิอาจรู้ได้ว่าตนเองได้สูญเสียอำนาจมหาศาลไปชั่วพริบตา

เนื่องจากโจวถงถงปลิดชีพของตนเองไปแล้ว ฝ่ายตรวจการจึงไร้หัวหน้าและช่วงที่ผ่านมาหลิวจิ่นก็ได้แสดงผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ จนเป็นที่ชื่นชอบของฟู่เสี่ยวกวน เขาเกือบจะมอบหมายให้หลิวจิ่นเป็นหัวหน้าหอเทียนจีไปแล้วด้วยซ้ำ !

ทว่าหอเทียนจีและฝ่ายตรวจการต้องแยกออกจากกัน หน่วยงานหนึ่งใช้สำหรับการตรวจสอบในที่ลับ อีกหน่วยงานหนึ่งใช้สำหรับตรวจสอบในที่แจ้ง ทว่าทั้งสองหน่อยงานนี้ล้วนเป็นหน่วยงานสำคัญของราชวงศ์

ฟู่เสี่ยวกวนรับประทานอาหารเช้าที่ห้องทรงพระอักษร เขาจัดระเบียบตำราที่วางกองอยู่เบื้องหน้าอีกคราหนึ่ง จากนั้นก็นั่งพระเกี้ยวไปยังท้องพระโรงซวนเต๋อ

บัดนี้ในท้องพระโรงซวนเต๋อมีขุนนางมารอกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว พวกเขาทุกคนกำลังรอคอยการเดินทางมาของฟู่เสี่ยวกวนด้วยใจจดจ่อ…