ตอนที่ 957 ประเทศต้าเซี่ย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 957 ประเทศต้าเซี่ย

ในชั่วพริบตาที่ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงซวนเต๋อ เสียงสนทนาของเหล่าขุนนางก็เงียบลงทันใด

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ในแววตาของพวกเขามีความเลื่อมใสและศรัทธาเผยออกมา พวกเขาล้วนตั้งหน้าตั้งตาคอยอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังมีความรักใคร่บูชาราวกับเห็นผู้แสวงบุญก็มิปาน

นี่คือองค์จักรพรรดิของพวกตน !

พระองค์มีพระชนมายุเพียง 22 ชันษาเท่านั้น !

ร่องรอยหญ้าเตียนงูเลื้อยผ่าน ชีพจรหมอบราบนับพันลี้ ทำสงครามเพียงครั้งเดียวก็ได้กวาดล้างกองทัพ 600,000 นายของราชวงศ์หยู ได้กวาดล้างกองทัพ 300,000 นายของแคว้นฝาน ได้ยึดครองเมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋ อีกทั้งสงครามกับเมืองฉางจินในครานี้… ไม่ ! เรียกว่าสงครามคงมิได้เพราะยังมิทันได้รบก็สามารถยึดครองเมืองฉางจินแห่งแคว้นฝานได้แล้ว

ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ราชวงศ์อู๋ครองใต้หล้า !

นี่ถือเป็นคุณงามความดีระดับใดกัน ?

ประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมา มีจักรพรรดิพระองค์ใดที่มีความสามารถเยี่ยงนี้บ้าง ?

องค์จักรพรรดิของพวกเขาพระองค์นี้สามารถทำได้และใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเศษเท่านั้น

จะต้องใช้หมึกเข้มเท่าใดเพื่อจารึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ? !

มิมีผู้ใดทราบว่าแท้จริงแล้วผู้ที่กำหนดแผนการเหล่านี้ขึ้นมาก็คือจักรพรรดิเหวิน มีผู้ร่วมแผนการนี้สองคนคือโจวถงถงกับจี้หยุนกุย แผนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ใช้เวลายาวนานถึง 2 ปี !

ผู้คนที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องมีมากมายนับมิถ้วน

คงเป็นเพราะหลายฝ่ายได้วางรากฐานเอาไว้แล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ถึงได้มีผลลัพธ์คราใหญ่ปรากฏขึ้นภายใน 2 เดือน

ในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนถือเป็นเพียงผู้ดำเนินการเท่านั้น

เดิมทีเขาก็มิทราบว่าผู้ที่วางแผนอยู่เบื้องหลังเป็นจักรพรรดิเหวินเพราะคิดว่าเป็นจี้หยุนกุยมาโดยตลอด

ทว่าเขาก็ได้ดำเนินแผนการชุนเหลยมาจนเสร็จสมบูรณ์และได้บรรลุเป้าหมายของแผนการรบคราสุดท้ายนี้ สูญเสียผู้คนไปมิน้อย ทว่าสงครามย่อมต้องมีคนเสียสละชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

เขาได้ปล่อยวางความเศร้าทั้งหมดลง บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องชำแหลกแยกย่อยผลลัพธ์ของชัยชนะครานี้ออกมาให้มั่นคงและให้เกิดเสถียรภาพมากที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ ณ ใจกลางของท้องพระโรงซวนเต๋อ

เขาเงยหน้ามองไปยังเหล่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหารและเสนาบดีที่นั่งเรียงรายกันหน้าสลอน บัดนี้จัวอี้สิงอยู่แคว้นอี๋ จัวเปี๋ยหลีอยู่กองทัพชายแดนตะวันออกของหยูเวิ่นเทียน นอกเหนือจากนี้บุคคลที่เหลือก็อยู่กันครบทั้งหมด

เขาเริ่มเอ่ยปากและประโยคแรกที่เอ่ยขึ้นมาก็คือ

“อันดับแรก…เจิ้นขอแก้ไขชื่อเสียงให้แก่โจวถงถง ! ”

เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด โจวถงถงเยี่ยงนั้นหรือ ? มิใช่ว่าเขาทรยศฝ่าบาทหรอกหรือ ? หรือว่าเขากำลังแสดงอันใดอยู่กันแน่ ?

“เจิ้นต้องขอโทษโจวถงถงด้วย เป็นเจิ้นที่เข้าใจเขาผิดเอง ดังนั้น…จึงขอแต่งตั้งโจวถงถงเป็นถงกั๋วกง โดยมีวัดไท่เมี่ยวเป็นผู้ทำพิธีฝังร่างไว้ที่สุสานจักรพรรดิ ให้ฝังไว้ข้าง ๆ จักรพรรดิพระองค์ก่อน ! ”

เหล่าขุนนางส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันใด นี่คือเกียรติอันสูงส่งที่ใช้ชีวิตยาวนานแปดชั่วโคตรก็มิอาจคว้ามาได้ คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะประทานให้แก่โจวถงถง… แท้จริงแล้วโจวถงถงทำคุณงามความดีไว้ในสงครามครานี้มากมายเพียงใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครา มิได้เอ่ยถึงคุณงามความดีของโจวถงถง ทว่าเอ่ยประโยคที่ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต้องตกตะลึงขึ้นมาอีกครา

“สถานการณ์ใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นจำต้องโยนของเก่าทิ้งไป เจิ้นจึงตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนราชวงศ์อู๋ให้เป็นเซี่ยโดยมีนามว่าประเทศต้าเซี่ย ! ”

บัดซบ !

หยุนซีเหยียนแทบจะผุดลุกขึ้นมา นี่ฝ่าบาททรงแก้แม้กระทั่งนามของราชวงศ์เชียวหรือ ?

ราชวงศ์อู๋มิได้ล่มสลายแต่อย่างใด ราชวงศ์อู๋ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วจะเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ได้เยี่ยงไร ?

เหล่าขุนนางก็แตกฮือเช่นกันเพราะมันมิเหมาะสมต่อธรรมเนียมปฏิบัติทั้งยังมิใช่การก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ หรือราชวงศ์อู๋ที่อยู่มานานถึง 500 ปีจะหายไปทั้งอย่างนี้ ?

แต่ที่น่าแปลกใจคือมิมีเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ออกอาการต่อต้านแม้แต่ผู้เดียว เนื่องจากหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเหล่าขุนนางที่แตกฮือก็ได้สงบลงในมิช้า

การทำงานของฝ่าบาทลึกลับซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าสุดท้ายก็พิสูจน์ได้ว่าพระองค์เป็นฝ่ายถูกต้องเสมอ ส่วนจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนราชวงศ์อู๋ นอกจากคนจำนวนน้อยเหล่านั้นแล้วก็มิมีผู้ใดรู้ลึกลงไปเลย

กงซุนเซ่อเป็นหนึ่งในมิกี่คนที่เข้าใจ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน บัดนี้ไร้แคว้นฮวง แคว้นอี๋ แคว้นฝานและไร้ซึ่งราชวงศ์หยูแล้วเช่นกัน

ราชวงศ์อู๋ได้กวาดล้างพวกเขาไปหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นจิตใจของราษฎรในแคว้นเหล่านั้นจึงเห็นว่าราชวงศ์อู๋เป็นศัตรูร่วมกัน !

ต่อจากนั้นคือการปกครองแคว้นทั้งหมด หากผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามองผู้ปกครองเป็นศัตรูก็คงจะมิง่ายต่อการปกครองสักเท่าใดนัก หากทำได้มิดีก็จะเกิดกบฏขึ้นมาอีกครา จากนั้นก็จะเกิดสถานการณ์ที่เป็นภัยรอบด้านขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเปลี่ยนจากราชวงศ์อู๋เป็นประเทศต้าเซี่ย ประเทศต้าเซี่ยก็คือราชวงศ์อู๋ ทว่ามันจะทำให้ราษฎรของแคว้นที่ล่มสลายเหล่านั้น ยอมรับได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น

สุดท้ายแล้วประเทศต้าเซี่ยมิใช่ราชวงศ์อู๋อีกต่อไป ราชวงศ์อู๋ก็ได้ล่มสลายไปแล้วเช่นกัน จึงอนุมานได้ว่าภายในจิตใจของทุกคนเท่าเทียมกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น กงซุนเซ่อจึงปล่อยวาง รู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายดายราวกับพู่กันของเทพเซียนตวัดเขียน

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยต่ออีกว่า “สืบเนื่องจากการก่อตั้งประเทศต้าเซี่ย ดังนั้นปีหน้าถือเป็นรัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หนึ่งและการจัดวางหน่วยงานของประเทศต้าเซี่ยมีดังต่อไปนี้”

“เมืองกวนหยุนเป็นเมืองหลวงของประเทศต้าเซี่ย จินหลิงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นเมืองหลวงรองของประเทศต้าเซี่ย ด้านหน่วยงานในเมืองกวนหยุนมิมีการเปลี่ยนแปลงอันใด ให้จัดตั้งหกกรมที่เมืองจินหลิงโดยมีอำนาจเทียบเท่าหกกรมในเมืองกวนหยุน ทั้งนี้จะมีสามสำนักในเมืองกวนหยุนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด”

“ในส่วนของแผนการบริหาร หลิวจิ่น…นำแผนที่มา”

หลิวจิ่นนำขันที 2 คนถือแผนที่ขนาดใหญ่เดินเข้ามา จากนั้นก็แขวนไว้บนเสาที่อยู่ใจกลางของท้องพระโรงซวนเต๋อ

“ประเทศต้าเซี่ยจะจัดตั้งเขตปกครองตนเองและสิบเจ็ดมณฑลขึ้นมาใหม่ จะทำการแบ่งแยกมณฑลในอดีตใหม่ทั้งหมด โดยแบ่งตามแผนที่นี้…”

ฟู่เสี่ยวกวนได้อธิบายสิบเจ็ดมณฑลใหม่โดยละเอียด หนึ่งในนั้นคือแคว้นอี๋ถูกแบ่งเป็นจิงตงซีเต้า จิงตงตงเต้า เหอเป่ยตงเต้าและเหอเป่ยซีเต้า

ราชวงศ์หยูถูกแบ่งออกเป็นจิงซีเป่ยเต้า จิงซีหนานเต้า หวายหนานซีเต้า หวายหนานตงเต้าและเจียงหนานเต้า

แคว้นฝานถูกแบ่งเป็นต้าหลี่หนานเต้า ต้าหลี่เป่ยเต้า เยวี่ยซานหนานเต้าและเยวี่ยซานเป่ยเต้า

ราชวงศ์อู๋ถูกแบ่งเป็นกว่างหนานตงเต้า กว่างหนานซีเต้า โม่โจวเต้าและเป่ยเซียวเต้า

มณฑลที่มีการตั้งใหม่เหล่านี้จะเชื่อมต่อกับแต่ละอาณาบริเวณของราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋ในอดีต นี่คืออาณาเขตใหม่ทั้งหมด

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิเอ่ยถึงการย้ายเมืองหลวงในการประชุมครานี้เพราะยังมิถึงเวลา

จากนั้นเขาก็บรรยายถึงการจัดการรัฐของแต่ละมณฑล รวมไปถึงการจัดการเขตของแต่ละรัฐโดยละเอียด

เขาใช้เวลาอธิบายนานถึง 2 ชั่วยาม เหล่าขุนนางมิสามารถจำได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการคือให้มีภาพร่างอยู่ในสมองของพวกเขา แผนที่และแผนงานการบริหารใหม่ทั้งหมดนี้ จะให้สามสำนักถ่ายทอดออกไปยังหน่วยงานราชการของแต่ละเขต เยี่ยงนี้ก็จะสามารถคุ้นชินได้อย่างรวดเร็ว

“ขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งในแต่ละมณฑล แต่ละเขตและแต่ละรัฐมีดังต่อไปนี้

ฉินโม่เหวิน… คนผู้นี้ยามอยู่ในราชวงศ์หยูเคยดำรงตำแหน่งเต้าถาย ณ กวนซีเต้า ในวันนี้จงเข้าดำรงตำแหน่งเต้าถาย ณ จิงซีเป่ยเต้า

หนิงหยู่ชุน รับตำแหน่งเต้าถาย ณ จิงซีหนานเต้า

เยี่ยนซีเหวิน รับตำแหน่งเต้าถาย ณ เจียงหนานเต้า

จัวหลิวหวิน รับตำแหน่งเต้าถาย ณ หวายหนานซีเต้า

จงสือจี้ รับตำแหน่งเต้าถาย ณ หวายหนานตงเต้า

กงซุนเซ่อ รับตำแหน่งเต้าถาย ณ ต้าหลี่เป่ยเต้า…”

นี่คือหนังสือแต่งตั้งตำแหน่งที่ยาวมากยิ่งนัก นับตั้งแต่เต้าถายไล่ลงมาถึงจือเสี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาถึง 1 ชั่วยามในการประกาศและมีทั้งผู้ที่ยินดีและผู้ที่เศร้าสลด

การแต่งตั้งขุนนางใหม่ทั้งหมดย่อมหมายความว่ามีขุนนางจำนวนมากถูกปลดออกจากตำแหน่ง

สำหรับขุนนางที่ถูกปลดออก ฟู่เสี่ยวกวนได้สั่งให้พวกเขากลับเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานต่อต้นสังกัดและสั่งให้กรมขุนนางทำการพิจารณาใหม่อีกคราแล้วค่อยจัดแจงตามความเหมาะสม

เนื่องจากเขาในตอนนี้มิมีเวลาไปคัดเลือกทีละคนแล้ว เขาจึงทำได้เพียงใช้ขุนนางที่มีความสามารถคุ้นเคยกันดีไปก่อน สิ่งที่ต้องการคือทำให้มณฑลใหม่เหล่านี้เกิดเสถียรภาพภายในระยะเวลาอันสั้น

ลงดาบอย่างรวดเร็วเพื่อตัดเรื่องยุ่งยากย่อมหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดมิได้อยู่แล้ว

ในหนังสือแต่งตั้งตำแหน่งฉบับนี้มีตำแหน่งที่แปลกมากที่สุดอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ จ่งตู1 อำนาจของเขาอยู่เหนือกว่าเต้าถาย ทางด้านแคว้นฝานจะมีจ่งตูทำหน้าที่ปกครองทั้งสี่มณฑลใหม่ โดยตั้งจวนจ่งตูไว้ที่เมืองฉางจินและจ่งตูคนแรกได้แก่…ฝานเทียนหนิง !

ตั้งจวนจ่งตูปกครองทั้งห้ามณฑลใหม่ของอดีตราชวงศ์หยูไว้ในเมืองจินหลิง โดยจ่งตูคนแรกคือ…เยี่ยนซือเต้า

ตั้งจวนจ่งตูปกครองทั้งสี่มณฑลใหม่ของอดีตแคว้นอี๋ไว้ในเมืองไท่หลิน โดยจ่งตูคนแรกคือ…อดีตราชเลขาจัวอี้สิง

จ่งตูมีอำนาจบังคับบัญชาเต้าถายรวมไปถึงขุนนางทั้งหมดภายในมณฑล และในเวลาเดียวกันก็มีหน้าที่ประสานงานกับราชสำนักกลางที่เมืองกวนหยุน

ตรงจุดนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือการทับซ้อนทางอำนาจ ! เพราะเดิมทีนี่มิใช่เรื่องปกติ ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายอันใดออกไป

เพียงพริบตาเดียวยามอู่ก็ได้มาเยือน ฟู่เสี่ยวกวนสั่งพักการประชุม จากนั้นก็สั่งให้หลิวจิ่นนำคนจากห้องเครื่องยกสำรับอาหารกลางวันมาที่นี่

1จ่งตู คือ ผู้สำเร็จราชการ