ตอนที่ 958 รวมเป็นหนึ่ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 958 รวมเป็นหนึ่ง

หยุนซีเหยียนนั่งลงที่บันไดนอกท้องพระโรง บัดนี้เขากำลังนั่งอาบแดดพลางรับประทานอาหารกลางวันไปด้วย

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงพบจงสือจี้และกงซุนเซ่อเดินถือกล่องข้าวตรงเข้ามา เขาจึงส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อว่า “เฮ้อ…พวกเจ้าทั้งสองคนช่างโชคดีเสียจริง ดูข้าสิ ! เหตุใดฝ่าบาทถึงมิทอดพระเนตรมาทางข้าบ้างนะ ? ”

“เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? กรมการค้าสำคัญเพียงใดเจ้ายังมิรู้อีกหรือ ? ผู้ที่เข้าใจด้านการทำงานของกรมการค้าอย่างถ่องแท้ก็มีเพียงเจ้าและหลี่ฉายเท่านั้น บัดนี้หลี่ฉายถูกฝ่าบาทโยกย้ายไปเป็นหัวหน้ากรมการค้าที่เมืองจินหลิงแล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ท้ายที่สุดเขาก็วิ่งกลับไปที่เดิม เจ้าว่าเขาจะโมโหหรือไม่ ? ”

กงซุนเซ่อเอ่ยยังมิทันขาดคำก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “โมโหอันใดกัน ? เจ้านี่ ! ในตอนนั้นเจ้ายังทำงานภายใต้บังคับบัญชาของข้าอยู่เลย เพียงชั่วพริบตาเดียวเจ้าก็ทะยานไปสู่ท้องนภาแล้ว ข้าจะบอกกับเจ้าว่ากรมการค้าของเมืองหลวงรองจินหลิงก็ดูแลต้าหลี่เป่ยเต้าของเจ้าอยู่ จงระวังเอาไว้ให้ดี”

“ฮ่า ๆ ใต้เท้าหลี่ ข้าเป็นลูกน้องของท่านมาตั้งนาน ครานี้ข้าโชคดีจึงได้ขึ้นเป็นเต้าถาย ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะท่านได้ปลูกฝังและอบรมสั่งสอนข้ามามิใช่หรือ ? ต่อจากนี้หากกรมการค้ามีนโยบายใหม่ใดหรือมีโครงการใดน่าสนใจลงทุน… มิทราบว่าท่านจะให้โอกาสข้าบ้างหรือไม่ หากข้าทำได้ดี ท่านก็จะได้หน้าด้วยเช่นกัน”

“กะล่อนเสียจริงเจ้านี่…” หลี่ฉายทานข้าวไปสองคำ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา “ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทและเป็นเพราะพวกเจ้าสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน”

“ตอนนั้นในกรมการค้า มีเจ้า หวางซุนอู๋จี้ ฉงฟังหยวนและซังเหลียง เพียงชั่วพริบตาพวกเจ้าทั้งหลายก็ได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงจือโจวทั้งหมดแล้ว ส่วนพวกที่ติดตามฝ่าบาทไปยังว่อเฟิงเต้ามีเหอเชิงอัน ชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียนและฟางเหวินซิง บัดนี้พวกเขาก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงจือโจวแล้วเช่นกัน เยาวชนแห่งต้าเซี่ยทั้งหลายเอ๋ย สุริยาสีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดินแผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา… อนาคตก็เหมือนท้องทะเล หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ! ”

หลี่ฉายเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา เขานึกถึงเรื่องราวในพระราชวัง ณ เมืองจินหลิงเมื่อครานั้น เป็นเพราะเขาเข้าตาฟู่เสี่ยวกวนจึงถูกโยกย้ายจากกรมคลังมายังกรมการค้า

“พวกเจ้ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฝ่าบาท ใต้หล้านี้…นับแต่นี้สืบไปพวกเจ้าจะต้องสนับสนุนฝ่าบาท ให้พระองค์ปกครองใต้หล้าอย่างเจิดจรัส ! ”

……

……

นี่คือการประชุมใหญ่ประจำราชสำนักที่มิเคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากการประชุมใหญ่ในครานี้มิได้ประชุมตลอดทั้งวัน !

ทว่าได้ประชุมติดต่อกันนานถึงสามวันสามคืน !

การประชุมในครานี้มีเนื้อหามากมายเพียงใดกัน ?

เนื้อหายาวชนิดที่ว่าเลขาธิการที่ได้ทำการจดบันทึก จดเนื้อหาจนกระดาษกองสูงถึงหนึ่งไม้บรรทัดเลยทีเดียว หลังจากจัดเรียงและส่งไปยังสามสำนักแล้ว หนานกงอี้หยู่และคนอื่น ๆ ก็ได้พบว่าเนื้อหาในนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการได้

นอกเหนือจากนโยบายใหม่และการแต่งตั้งขุนนางใหม่ทั้งหมด ยังมีอีก 3 ประการที่สำคัญคือ

ประการแรก ได้มีการประกาศใช้ ‘รัฐธรรมนูญ’ ควบคู่ไปกับ ‘กฎหมายอาญา’ และ ‘กฎหมายลิขสิทธิ์’

ประการที่สอง รวบรวมสกุลเงินให้เป็นหนึ่งเดียว ตั๋วเงินเดิมทั้งหมดจะถูกยกเลิกในสิ้นปีนี้ จากนั้นให้รวมเป็นธนบัตรต้าเซี่ยที่ออกโดยธนาคารเพื่อราษฎรต้าเซี่ย โดยธนาคารซื่อทงจะเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารเพื่อราษฎรต้าเซี่ยอย่างเป็นทางการ

ประการที่สาม ปฏิรูปตัวอักษรโดยให้ตำราทุกเล่มใช้ตัวอักษรแบบเดียวกันทั้งหมด กำหนดให้รถม้าวิ่งบนถนนหลักเส้นเดียวกันตามลำดับมาก่อนและหลัง มิแบ่งแยกลำดับขั้นในการใช้ถนน และให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทุก ๆ ด้าน มิว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง วัฒนธรรมรวมไปถึงด้านของกิจกรรมในชุมชนและการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ

ส่วนที่เหลือก็แตกแยกยิบย่อยออกไปอีกมากมาย อาทิเช่น ความเชื่อทางศาสนา ราชสำนักกลางต้องเคารพความเชื่อของคนทุกกลุ่มชนเผ่า รวมไปถึงการทหาร การแพทย์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เกษตรกรรม การพาณิชย์และอุตสาหกรรม เป็นต้น

ผู้คนในเมืองกวนหยุนหลังจากได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็ได้ส่งต่อข้อความกันแบบปากต่อปากในวันนั้นทันที เพียงชั่วพริบตาเดียว เมืองกวนหยุนก็ครึกครื้นขึ้นมา

“ต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ราชวงศ์อู๋มิดีหรือเยี่ยงไรกัน ? เหตุใดถึงต้องเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ด้วยเล่า ? ”

“นี่เป็นการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท เจ้ามีสิทธิอันใดมาสงสัย ? ในเมื่อฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยว่าสมควรเปลี่ยนแปลง ก็แน่นอนแล้วว่าชื่อต้าเซี่ยย่อมดีกว่า มิแน่ว่าประเทศของเราอาจจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปีก็เป็นได้ ! ”

“แผนที่ใหม่นี้จะไปหาซื้อได้จากที่ใดเล่า ? ข้าอยากรู้ว่าเรือนของข้าถูกแบ่งให้อยู่ในมณฑลใด ? ”

“เกรงว่าคงยังมิพิมพ์ออกมาเร็ว ๆ นี้ เพราะการประชุมใหญ่ครานี้ยังมิเสร็จสิ้นเลยด้วยซ้ำ”

“วันนี้ได้มีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ 3 ฉบับ ได้ยินมาว่านับจากนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะค่อย ๆ ใช้กฎหมายในการปกครอง โดยใช้กฎหมายทั้งสามนี้เป็นหลักเกณฑ์ในอนาคต โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่ข้าได้ยินมาว่าให้ราษฎรทุกคนในต้าเซี่ยเป็นพลเมืองที่มีสิทธิ์ทัดเทียมกัน”

“…”

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนห้า เนื้อหาของการประชุมใหญ่ประจำราชสำนักในครานี้ก็ถูกพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือในที่สุด

ทำให้ร้านหนังสือขนาดใหญ่คับคั่งไปด้วยผู้คน

เดือนห้า วันที่สาม ยามราตรี ณ หอซื่อฟาง

“ต้าเซี่ย…ข้าชื่นชอบชื่อนี้มากยิ่งนัก” หวางซุนอู๋หยาเลิกคิ้วขึ้น ในมือของเขาถือหนังสือ ‘บันทึกการสถาปนาประเทศ’ เอาไว้พลางโบกไปมา “นับแต่นี้สืบไปการค้าก็มิจำเป็นต้องทำเฉพาะที่เขตชายแดนอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากการเก็บภาษีได้ปรับให้เท่ากันทุกแห่งแล้ว ทำให้การค้าขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น”

หยูซิ๋งเจี่ยนหัวเราะออกมาเสียงดัง “พวกเจ้าสนใจไปดูแคว้นฝานสักหน่อยหรือไม่ ? ”

โจ่งจี้ถังจ้องเขาตาเขม็ง “แคว้นฝานอันใดกันเล่า ที่นั่นคือมณฑลต้าหลี่และเยวี่ยซานทั้งสี่ต่างหากเล่า ! ”

“ใช่ ๆ ๆ ข้ายังมิคุ้นชินกับชื่อใหม่เท่าใดนัก…มีผู้ใดจะไปบ้าง ? ”

“ต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว อีกทั้งต้องรีบด้วยเพราะพ่อค้ายุคนี้สมองไวยิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งยังกล้าหาญมากยิ่งนัก ข้าเกรงว่าบัดนี้คงมีพ่อค้าบางกลุ่มเดินทางไปยังที่นั่นแล้ว” ซือหม่าเทาดื่มสุราเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เพียงแต่เรื่องของธนบัตรหากจะเปลี่ยนให้เป็นสกุลเงินต้าเซี่ยทั้งหมด ก็คาดว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานเลยทีเดียว”

เดิมทีอาณาจักรกว้างใหญ่แห่งนี้เคยแบ่งออกเป็นห้าแคว้น หมายความว่ามีเงินตราจำนวนห้าสกุลด้วยกัน รวมแล้วเป็นเงินหลายพันล้านตำลึง เพียงแค่พิมพ์ธนบัตรออกมาก็มิรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดแล้ว และยังต้องไปแลกเปลี่ยนที่ธนาคารอีก

“พวกเจ้ามิรู้หรอกว่าเรื่องนี้มีอยู่ 4 แห่งที่กำลังดำเนินการแล้ว แห่งแรกคือสำนักพิมพ์ทุกแห่งในเมืองกวนหยุนของพวกเราที่ได้เริ่มทำการพิมพ์ธนบัตรต้าเซี่ย ทั้งยังมีเมืองหลวงรองจินหลิง มณฑลต้าหลี่ทั้งสองของเมืองฉางจินและที่จิงตงซีเต้าของเมืองไท่หลิน คาดว่าพวกเขาจะได้รับพระราชโองการของฝ่าบาทแล้ว”

“ธนาคาร…เดิมทีเมืองหลวงรองจินหลิงก็มีธนาคารซื่อทงอยู่แล้วแห่งหนึ่ง ส่วนว่อเฟิงเต้าได้รวมมาเป็นจิงซีเป่ยเต้าจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองฉางอัน ที่นั่นก็มีธนาคารซื่อทงอยู่แห่งหนึ่งเช่นกัน ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการไปแล้วว่าให้ธนาคารทั้งสองแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารเพื่อราษฎรต้าเซี่ยสาขาจินหลิงและสาขาฉางอันตามลำดับ โดยสามารถดำเนินการพิมพ์ธนบัตรต้าเซี่ยได้”

“มีเพียงเมืองฉางจินเท่านั้นที่จำเป็นต้องมีการก่อตั้งธนาคารขึ้นมาใหม่ ทว่านี่มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เมื่อพวกเราเดินทางไปถึงเมืองฉางจิน ข้าคาดว่าพวกเขาคงจะเริ่มทำการแลกเปลี่ยนกันแล้ว”

“ตกลงตามนี้ วันพรุ่งนี้พวกเราออกเดินทางไปสังเกตการณ์สักหน่อยเถิด”

แน่นอนว่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายในเมืองกวนหยุนต่างก็รับรู้ข่าวนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากที่พวกเขามั่นใจแล้วว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องจริง พ่อค้าที่รวมตัวกันอยู่ในเมืองกวนหยุนก็ได้ส่งคนและม้าของตระกูลตนเองออกไปยังสถานที่ต่าง ๆ แน่นอนว่าพวกเขาหวังสร้างเขตการค้าของตนเองขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบมากยิ่งนักเพราะความกระตือรือร้นของพ่อค้าเหล่านี้จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของสินค้าและเงินตรา

ทว่าบัดนี้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

ณ ห้องทรงพระอักษร เบื้องหน้าของเขามีจดหมายจากนกพิราบสื่อสารส่งมาและเป็นรายงานพิเศษจากท้องทะเล

ไป๋ยู่เหลียนนำกองนาวิกโยธินจำนวน 40,000 นายขึ้นไปยังเรือรบระดับอู่เว้ย 6 ลำ และในวันที่ยี่สิบ เดือนสี่ ถูกโจมตีโดยเรือรบของศัตรูซึ่งมิทราบที่มาบริเวณมิไกลจากชายฝั่ง

ฝ่ายศัตรูมีเรือรบอยู่ราว 20 ลำ ทุกลำล้วนเป็นเรือรบสามเสากระโดงและมีขนาดเล็กกว่าเรือรบระดับอู่เว้ยเล็กน้อย พวกนั้นยังมีเรือขนเสบียงจำนวน 12 ลำตามมาอีกด้วย

ทหารทั้งสองกองทัพเฝ้าดูลาดเลากันอยู่สามวันสามคืนและได้ทำการเริ่มยิงใส่กันในเช้าตรู่วันที่ยี่สิบสาม เดือนสี่

จบ ! มิมีเนื้อหาแล้ว !

ให้ตายเถิด… สรุปว่าพวกเรารบชนะหรือไม่ ?