การโจมตีและการป้องกันแบบสามประสานของลั่วหาว จูเหยียนและหลูหลิง ทำให้บรรดากองทัพอสูรตกอยู่ในความวุ่นวายได้เพียงแค่พักหนึ่ง เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของพวกมันแต่ละตนนั้นอยู่ในระดับที่เหนือกว่าคนทั้งสามเป็นอย่างมาก
ทางด้านของหลิงยี่เทียนเองก็รู้ว่าการโจมตีสามประสานของลั่วหาว จูเหยียนและหลูหลิงคงถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นาน เขาจึงตะโกนบอกกับเหล่าทหารของเขา “ทุกคนจงเตรียมพร้อมรับการปะทะหลังจากการโจมตีสามประสานของลั่วหาว จูเหยียนและหลูหลิงเสร็จสิ้น!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง บรรดาทหารของหลิงยี่เทียนจึงเริ่มปรับรูปกระบวนทัพใช้ค่ายกลรบ
ในเวลาเดียวกัน โจวจื่อซินเดินเข้ามาหาหลิงยี่เทียน และพูดว่า “การโจมตีถัดไปเดี๋ยวข้าจะเป็นคนลงมือเอง”
หลิงยี่เทียนพูดตอบกลับด้วยสีหน้ากังวล “ท่านน้าซิน ท่านต้องระวังเอาไว้ให้มาก ๆ หากท่านฆ่ามากเกินไปตัวท่านจะมีปัญหาทันที”
โจวจื่อซินหัวเราะ “ก่อนหน้านี้พ่อของเจ้าเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตามาให้กับน้าเยอะพอสมควร ซึ่งน้าได้ใช้มันส่วนหนึ่งชำระล้างบาปออกจากร่างไปหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้น้าจึงสามารถลงมือได้อีกครั้ง แต่อย่าคาดหวังว่าน้าจะฆ่าพวกมันได้หมดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัดของมัน เอาเป็นว่าถ้าหากน้ารู้สึกว่าควรหยุดเมื่อไหร่น้าจะหยุดทันที มันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นตามมาแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นท่านน้าโปรดระมัดระวังตัวด้วย” หลิงยี่เทียนพูดขึ้น
โจวจื่อซินพยักหน้า จากนั้นนางเดินไปที่แถวหน้าสุดของเหล่าทหารพร้อมกับเรียกดอกบัวเพลิงพิพากษาออกมา และขึ้นไปยืนบนมันโดยมีร่มต้านสวรรค์อยู่ในมือ
เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งสังเกตเห็นจากในระยะไกล ๆ ว่ามีผู้หญิงคนกำลังเดินแหวกวงล้อมของทหารอาณาจักรจันทราออกมาหาพวกเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ตอนแรกก็อสูรกลืนสวรรค์ แล้วตอนนี้ก็ผู้หญิงอีกคนหนึ่งงั้นเหรอ? หรือว่านางคือไพ่ลับอีกคนหนึ่ง? แล้วความสามารถของนางคืออะไรกัน?
จากนั้นเมื่อโจวจื่อซินแหวกวงล้อมของเหล่าทหารอาณาจักรจันทราออกมาเข้าสู่สนามรบ บรรดาอสูรทั้งหลายก็ได้เห็นเต็มสองตาว่านางมีร่มต้านสวรรค์อยู่ในมือและที่สำคัญที่สุดคือที่ใต้เท้าของนางในเวลานี้ มีบัวเพลิงพิพากษารองรับอยู่ราวกับว่ามันเป็นพาหนะของนาง!
สมบัติล้ำค่าทั้งสองสิ่งนี้ทำให้เหล่าอสูรถึงกับใจเต้นระส่ำอยากพุ่งตัวไปหาโจวจื่อซินเพื่อชิงพวกมันมาครอบครองจนลืมความกลัวต่อเกาหยูไปหมดแล้ว แม้แต่บรรดาอสูรระดับสูงที่ถูกสั่งให้ดูการรบอยู่เฉย ๆ ก็แทบจะอดใจไม่ไหวอยากกระโจนเข้าไปหาโจวจื่อซินเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเองเมื่อเห็นบัวเพลิงพิพากษาของโจวจื่อซินเขาเองก็เก็บอาการไม่ไหวแสดงสีหน้าอยากครอบครองมันเช่นกัน เขารีบสั่งบรรดาแม่ทัพของเขาทันที “จับตัวนังผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับสมบัติของนางมาให้ข้า! ผู้ใดสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ข้าจะอนุญาตให้เข้าร่วมกับเผ่าคุนเป๋งของข้าและจะตบรางวัลถ่ายทอดเคล็ดวิชาของเผ่าของข้าให้!”
อันที่จริงโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า โจวจื่อซินกล้าที่จะเปิดเผยว่านางครอบครองบัวเพลิงพิพากษาที่ยังไม่โตเต็มวัยแบบนี้ได้ยังไง แต่ในเมื่อนางกล้าเปิดเผยมันออกมาแบบนี้ เขาก็กล้าที่จะชิงมันมาเช่นกัน
บรรดาอสูรเมื่อได้รับคำสั่ง พวกมันก็แหวกวงล้อมการโจมตีสามประสานของลั่วหาว จูเหยียนและหลูหลิงทันที จากนั้นก็พุ่งตัวไปหาโจวจื่อซินโดยไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกัน โจวจื่อซินเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นนางเรียกดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตออกมา และนำเลือดหยดหนึ่งหยดลงไปบนดอกบัวปีศาจกระหายโลหิต
เพื่อทำให้แน่ใจว่าดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตจะแสดงอำนาจของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ โจวจื่อซินถึงขนาดไปขอหยดเลือดมาจากเทียนตงเพื่อสำแดงอำนาจของมัน
ทันทีที่ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตได้รับหยดเลือดที่ได้มาจากเทียนตง ดอกบัวหลากสีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ กายของโจวจื่อซินแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณรอบ ๆ ทันที
บรรดาอสูรที่เห็นภาพเช่นนี้ต่างหวาดผวาจนมีสีหน้าซีดเผือด แม้แต่โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็ยังตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “นี่พวกเจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับพวกเราทั้งหมดหรือยังไง!?”
แม้แต่บรรดาอสูรระดับอาวุโสก็ตะโกนถามแบบเดียวกันนี้ไปยังฝั่งของหลิงยี่เทียน เนื่องจากพวกมันรู้ดีว่าดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเอามาใช้เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้
หากเทียบกับอสูรกลืนสวรรค์นั้น ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตสามารถสร้างหายนะที่ใหญ่โตได้มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด เพราะอสูรกลืนสวรรค์นั้นมันยังมีขีดจำกัดที่มันกินได้ แต่สำหรับดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตมันไม่มีขีดจำกัดการกินใด ๆ แถมยิ่งมันกินเยอะมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแกร่งและเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนี้กองทัพของเหล่าอสูรมีนับล้านตน หากดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตดูดกินอสูรล้านตนนี้เสร็จเมื่อไหร่ มันจะกลายเป็นปีศาจที่สามารถสร้างหายนะได้อย่างใหญ่หลวงกับโลกในทันที
แต่แน่นอนว่าถ้าหากอสูรระดับอาวุโสที่พวกเขามีอยู่ทั้งหมดสามารถลงมือได้ พวกเขาก็สามารถยับยั้งการแพร่ขยายของดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก
แต่น่าเสียดายที่ก่อนจะรบกัน พวกเขาได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่ให้เหล่าตัวตนที่มีความแข็งแกร่งสูงกว่าขอบเขตราชันเข้ามายุ่งเกี่ยว
หลิงยี่เทียนพูดกับโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง “เจ้าคิดว่าข้าจะโง่ตายไปกับพวกเจ้างั้นเหรอ? เจ้าลืมไปแล้วเหรอไงว่า เกาหยูของข้าไม่กินพวกพ้องเดียวกัน ดังนั้นดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตจะโจมตีพวกข้าได้ยังไง จริงไหม?”
ในเวลานี้ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตที่มีอำนาจอยู่ในระดับเหนือล้ำปรากฏขึ้นเต็มสนามรบไปหมด และพวกแรกที่ตายไวที่สุดก็คือบรรดาอสูรที่อยู่ในระดับสวรรค์สามัญ จากนั้นก็ไล่ไปยังหลุดพ้นสามัญและเหนือล้ำ มีเพียงบรรดาอสูรระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่พอจะต้านทานเหล่าดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตได้
ในเวลาเพียงไม่นาน อสูรกว่า 10,000 ตนก็ถูกฆ่าตายโดยดอกบัวปีศาจกระหายโลหิต ซึ่งมันยิ่งทำให้ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตโจมตีอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น
แต่แล้วในระหว่างที่ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตกำลังโจงตีอย่างบ้าคลั่ง จู่ ๆ ท้องฟ้าก็มืดลง ซึ่งคล้ายกับเป็นสัญญาณว่าทัณฑ์สวรรค์กำลังจะก่อตัว
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเย้ยหยัน “เป็นไงล่ะ? ตอนนี้พวกเจ้าอาณาจักรจันทราทำให้สวรรค์พิโรธแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องโดนสวรรค์ลงโทษจนไม่มีใครเหลือรอด!”
หลิงยี่เทียนมองไปที่โจวจื่อซินด้วยสายตากังวล เขากลัวว่าโจวจื่อซินจะหยุดโจมตีไม่ทันจนเกิดปัญหาใหญ่
อันที่จริงโดยที่ไม่มีใครจำเป็นต้องบอก โจวจื่อซินก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่นางจะต้องหยุดการโจมตีลงเพราะสัญญาณที่นางเห็นมันชัดเจนเป็นอย่างมาก
ในขณะนี้บาปที่นางก่อมันถึงขีดจำกัดแล้วที่นางจำเป็นต้องหยุด
“กลับมา!” โจวจื่อซินตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด จากนั้นบรรดาดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตที่เบ่งบานอยู่เต็มสนามรบก็ค่อย ๆ เหี่ยวเฉาและสลายหายไป ส่วนพลังที่ดอกบัวแต่ละดอกดูดมาจากเหล่าอสูรที่ตายไปก็ไหลเวียนเข้ามาหาร่างของโจวจื่อซินอย่างบ้าคลั่ง
แต่ถึงแม้ว่าบรรดาดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตจะหายไปแล้ว แต่พวกอสูรที่เหลือรอดชีวิตอยู่กลับยังคงรู้สึกไม่หายหวาดผวา
ทางด้านของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งหรี่ตามองไปที่โจวจื่อซิน จากนั้นเขาส่งโทรจิตไปบอกกับบรรดาอสูรระดับอาวุโสของแต่ละเผ่าทันที “พวกเราต้องจับตัวนังผู้หญิงนั่น และอสูรกลืนสวรรค์มาให้ได้!”
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังส่งโทรจิตไปหาอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิด้วยเช่นกัน “ผู้อาวุโส โปรดคอยพยายามหาจังหวะเหมาะด้วย พวกเราต้องจับตัวอสูรกลืนสวรรค์และผู้หญิงนั่นที่สามารถควบคุมดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตมาให้ได้”
ในเวลานี้พวกอสูรระดับสูงต่างก็พากันคิดหาวิธีจับตัวโจวจื่อซินและเกาหยูกันแทบหัวระเบิด เนื่องจากความสามารถของคนทั้งคู่ต่างสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับอนาคตของพวกมัน
หากสันเขาหมื่นอสูรของพวกมันมีคนที่มีความสามารถแบบนี้ ความฝันที่พวกมันจะเป็นขุมกำลังอันดับ 1 ในยุคนี้ก็อยู่แค่เอื้อม
แต่สิ่งที่พวกมันและโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยังคงคาใจอยู่ก็คือ อาณาจักรจันทราอันเล็กจ้อยนี้มีตัวตนที่มหัศจรรย์แบบทั้ง 2 คนนี้พร้อม ๆ กันได้ยังไง? และดอกบัวเพลิงพิพากษานั่นอาณาจักรแบบนี้ไปหามันมาจากไหน? ทำไมอาณาจักรเล็ก ๆ แบบนี้มันถึงได้มีของวิเศษมากมายได้ขนาดนี้?
แต่น่าเสียที่พวกเขาวางแผนกันนานเกินไป จนในตอนนี้โจวจื่อซินได้กลับไปอยู่แนวหลังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่ในตอนนี้พวกเขาจะชิงตัวนางมา
“ท่านน้าซินไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลิงยี่เทียนถามขึ้นพลางมองไปที่ท้องฟ้าที่ยังคงมืดหม่นอยู่
เหลียงเฟ่ยเอ๋อและมี่ไลต่างก็เดินเข้ามาหา และพูดกับนางด้วยสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน “เร็วเข้า เจ้ารีบเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตามาชำระล้างบาปของเจ้าเร็ว ๆ เถอะ ไม่งั้นเจ้าไม่รอดจากทัณฑ์สวรรค์แน่นอน!”
โจวจื่อซินส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้สายฟ้าทัณฑ์จะฟาดใส่ข้า ข้าก็ไม่ตายแน่นอน เพราะดอกบัวเพลิงพิพากษาจะปกป้องข้าได้แน่!”
ถึงแม้ว่าโจวจื่อซินจะพูดแบบนั้น แต่นางก็ยังคงหยิบน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตาออกมาชำระบาปออกจากร่างตามที่คนอื่นบอกอยู่ดี ซึ่งทันทีที่นางชำระล้างบาปออกจากร่างกายนางจนหมด ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มก็ค่อย ๆ กลับมาสว่างสดใสเหมือนเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนทางฝั่งของสันเขาหมื่นอสูร เมื่อพวกมันได้เห็นน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตา พวกมันก็มีเหตุผลเพิ่มมากขึ้นในการชิงตัวโจวจื่อซินมาให้ได้!