หลังจากผ่านประสบการณ์อันน่าหวาดผวามา 2 รอบติด ความห้าวหาญของบรรดาอสูรจากสันเขาหมื่นอสูรก็มีไม่มากเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว
ในตอนนี้พวกมันเพิ่งได้รู้ว่าบนโลกนี้มันยังมีบางตัวตนที่กินได้โหดเหี้ยมมากกว่าพวกมันแถมกินได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ พวกมันไม่มั่นใจอีกแล้วว่าจะสามารถจัดการกับอาณาจักรจันทราได้จริง ๆ ในครั้งนี้
ซึ่งในทางกลับกันขวัญและกำลังใจของผู้คนจากอาณาจักรจันทราในตอนนี้แน่นอนว่ากำลังพุ่งขึ้นสูงจนเสียดฟ้า และกำลังรอการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดมาอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ถึงแม้ขวัญและกำลังใจของบรรดาอสูรจะตกต่ำลงอย่างเป็นอย่างมาก แต่ด้วยภายใต้การสั่งการของบรรดาแม่ทัพอสูรของพวกมัน ในที่สุดพวกมันก็สามารถทำลายการโจมตีสามประสานของลั่วหาว จูเหยียนและหลูหลิงได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ทั้งสามคนต้องถอยกลับมา ซึ่งหลูหลิงเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด เนื่องจากเขาพลาดท่าถูกอสูรอสรพิษตนหนึ่งเล่นงานในระหว่างที่กำลังถอย
หลูหลิงบินถอยกลับมาด้วยความยากลำบากจนถึงด้านหน้าค่ายกลรบของกองทัพใหญ่อาณาจักรจันทรา จากนั้นเขาก็ร่วงลงไปกับพื้นและหมดสติไป
อสรพิษที่โจมตีหลูหลิงได้สำเร็จนั้นรีบกลับไปอยู่ด้านข้างโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพร้อมกับหัวเราะชอบใจ “ฮ่าฮ่า เป็นยังไงล่ะ กล้าใช้พิษต่อหน้าพวกข้าเผ่าอสรพิษงั้นเหรอ? รนหาที่ตายชัด ๆ!”
หลิงยี่เทียน เมื่อเห็นเช่นนี้เขารีบสั่งให้บรรดาทหารออกไปนำตัวหลูหลิงกลับมาแนวหลังทันที แต่เฉินถิงฟางกลับรีบพูดขึ้นแทรกว่า “เดี๋ยวก่อนฝ่าบาท! หลูหลิงได้ถูกพิษของอสรพิษอมตะเข้าแล้ว เขาไม่มีทางรอดแน่นอน เนื่องจากพิษนี้มันไม่มีวิธีทางใดที่จะถอนได้เลยและที่สำคัญใครก็ตามที่โดนพิษของมันเข้าไปคนผู้นั้นจะกลายเป็นพาหะหลังจากที่ตายทันที ดังนั้นข้าเกรงว่าหากนำตัวเขากลับมามันจะกลายเป็นผลเสียต่อกองทัพของเรา!”
หลิงยี่เทียนพูดขึ้นต่อโดยไม่สนใจความคิดเห็นใด “พาตัวเขากลับมา! พิษของอสรพิษอมตะงั้นเหรอ? หึหึ หลูหลิงเป็นถึงนักศึกษารุ่นแรกที่พ่อของข้าปั้นมากับมือเชียวนะ!”
ถึงแม้ว่าหลิงยี่เทียนจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับพิษของอสรพิษอมตะว่ามันร้ายแรงแค่ไหน แต่สิ่งที่เขารู้แน่นอนก็คือพ่อของเขาไม่เคยดูคนผิด ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าหลูหลิงจะไม่ตายง่าย ๆ ด้วยพิษนี้แน่นอน
ดังนั้นเขาจึงรีบสั่งคนของเขาให้รีบช่วยพาหลูหลิงกลับเข้ามาที่แนวหลัง
จากนั้นไม่นานต่อมา กองทัพของเหล่าอสูรนับล้านก็รุกมาถึงแนวหน้าทัพใหญ่ของหลิงยี่เทียน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงว่านจุนก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที
กองทัพมังกร 100,000 คนรวมร่างกันกลายเป็นมังกรยักษ์ทันที ซึ่งผลจากการบ่มเพาะอย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ความแข็งแกร่งของมังกรยักษ์ได้ขึ้นมาอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว
แต่ว่ามังกรยักษ์นี้ค่อนข้างจะมีอะไรที่แปลกบางอย่าง ซึ่งมันก็คือกลิ่นอายที่แผ่ออกมา จากนั้นเป็นกลิ่นอายที่น่าสยดสยองและชั่วร้ายทำให้มันดูเหมือนว่าเป็นมังกรปีศาจ
อันที่จริงนี่คือผลจากการที่บรรดาทหารของกองทัพมังกรทุกคนได้กินเลือดและเนื้อของบรรดาอสูรไปเป็นจำนวนมาก
ที่ด้านในร่างมังกรยักษ์ในตอนนี้ หลิงว่านจุนกำลังถือตราประทับหยกจักรพรรดิอยู่ในมือ เขาดึงปราณมังกรจักรพรรดิที่อยู่ข้างในตราประทับหยกจักรพรรดิออกมาส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเขาดึงปราณมังกรจักรพรรดิออกมาแล้ว เขาไม่ได้นำมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเขาเอง แต่เขากลับหลอมรวมมันเข้ากับร่างของมังกรยักษ์แทนส่งผลให้ร่างของมังกรยักษ์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ในตอนแรกที่มังกรยักษ์ตัวนี้ปรากฏขึ้น มันเป็นเพราะผลจากการเปิดใช้งานค่ายกลรบ แต่ในตอนนี้เมื่อมันได้รับปราณมังกรจักรพรรดิ มังกรยักษ์ตัวนี้ก็กลายเป็นเหมือนกับมังกรตัวจริงที่มีเลือดและเนื้อ บรรดาทหารกองทัพมังกรทั้ง 100,000 นายได้กลายเป็นเหมือนมวลกล้ามเนื้อและเลือดของมัน ที่สำคัญไม่เพียงแค่มังกรยักษ์ตัวนี้จะมีพละกำลังที่มากขึ้นราวกับว่ามันเป็นมังกรตัวจริงแล้ว มันยังสามารถใช้อำนาจของกฎแห่งมังกรที่แท้จริงได้อีกต่างหาก
เมื่อเห็นว่ามังกรยักษ์ได้หลอมรวมกับปราณมังกรจักรพรรดิจนเสร็จแล้ว หลิงว่านจุนก็หยิบธงรบโลหิตจักรพรรดิขึ้นมาและโบกมันส่งพลังแห่งกฎต่าง ๆ หลอมรวมเข้ากับร่างของมังกรยักษ์อีกหลายรอบจนสุดท้ายความแข็งแกร่งของมังกรยักษ์ก็พุ่งขึ้นไปจนหยุดอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์ขั้นสูงสุด!
หลิงว่านจุนยิ้มอย่างพึงพอใจกับกองทัพของเขา จากนั้นเมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมเขาจึงตะโกนออกคำสั่ง “กองทัพมังกรโจมตี!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง มังกรยักษ์พุ่งผงาดบินขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อน จากนั้นมันดิ่งลงมาตะลุยผ่านกองทัพอสูรทันที ส่งผลให้ส่วนหนึ่งของกองทัพสันเขาหมื่นอสูรถูกทำลายจนย่อยยับ
แต่ว่าในเวลาเพียงไม่นาน มังกรยักษ์ก็ถูกล้อมไว้โดยอสูรระดับสวรรค์สมบูรณ์ถึง 3 ตน
เมื่อเห็นว่ามังกรยักษ์ถูกหยุดเอาไว้ หลิงฉุยฟงจึงนำกองทัพของเขาทั้ง 3,000 นาย เข้าร่วมการต่อสู้ตามมา
ความแข็งแกร่งของกองทัพหลิงฉุยฟงในตอนนี้เมื่อใช้ค่ายกลรบรวมร่างกันจนกลายเป็นสัตว์ประหลาด ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเมื่อรวมกับรูปแบบเคลื่อนทัพทั้งสามรูปแบบ ท่องเมฆา ปฐพีอำพราง พเนจรทั่วสมุทร พวกเขาจึงสามารถที่จะลอบสังหารบรรดาอสูรได้อย่างมากมาย
แต่ไม่นานหลังจากสังหารเหล่าอสูรไปได้สักพัก กองทัพของหลิงฉุยฟงก็ถูกล้อมเช่นกัน
กองทัพของอสูรมันมีมากเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแต่ด้วยจำนวนที่ต่างกันมากมันก็ทำให้พวกเขารบไม่ได้อย่างใจนึกเช่นกัน
ทางด้านของหลิงยี่เทียน เมื่อเห็นว่าทั้งกองทัพมังกรและสัตว์ประหลาดของหลิงฉุยฟงไม่สามารถบุกตะลุยต่อได้ เขาก็เริ่มส่งกองทหารของเขาเองเข้าไปเสริมในสนามรบเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นว่าทางด้านของหลิงยี่เทียนเริ่มจะหมดมุข อสูรระดับจักรพรรดิตนหนึ่งก็เห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสเหมาะที่สุดที่จะลงมือ ดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งตัวไปหาโจวจื่อซินและเกาหยูทันที
“ไอ้หมาลอบกัด!” เย่จางเฟิงตะโกนขึ้น จากนั้นเขารีบเอาตัวเข้ามาขวางทันทีเช่นกัน
แต่ในเวลาเดียวกัน บรรดาอสูรระดับสูงตนอื่น ๆ ก็บินพุ่งเข้ามาร่วมวง
เมื่ออสูรขอบเขตจักรพรรดิตนหนึ่งเริ่มฉีกข้อตกลงและลงมือ จากนั้นการรบระหว่างตัวตนขอบเขตราชันและจักรพรรดิจึงบังเกิดขึ้น
ในขณะที่การรบอันสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์กำลังดำเนินไป โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็จ้องไปที่หลิงยี่เทียนด้วยแววตาเป็นประกายราวกับว่าเขากำลังมองเหยื่อ
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าในตอนนี้เขาควรจะใช้โอกาสนี้สังหารหลิงยี่เทียนและชิงตัวโจวจื่อซินรวมไปถึงเกาหยู ด้วยความเร็วที่ไม่มีเทียบได้ของเผ่าคุนเป๋งของเขาดีรึเปล่า?
ส่วนทางด้านของหลิงยี่เทียนก็กำลังครุ่นคิดเช่นกันว่า ในตอนนี้เขาควรจะใช้ผลึกดวงใจสวรรค์ของเขาดีไหมเพื่อจัดการจบเรื่องทั้งหมด?
แต่ถ้าหากเขาใช้มัน มันก็จะเป็นการประกาศให้โลกรู้อีกว่าเขามีมันและมันจะดึงดูดหายนะต่าง ๆ มาหาเขา ซึ่งในตอนนี้เขารู้ดีว่าเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับคนทั้งโลก
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังลังเลว่าจะเอายังไงกันดี เพราะถ้าหากพวกเขาไม่จบศึกวันนี้โดยไวผลลัพธ์สุดท้ายมันจะเป็นความสูญเสียหนักของพวกเขาทั้งคู่ไม่ว่าใครจะชนะก็ตาม
ราวกับว่านางมองปัญหาที่อยู่ในใจของหลิงยี่เทียนออกทั้งหมด มี่ไลพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”