ในพริบตาที่มองเห็นวัวชรานี้ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายสักหน่อยพร้อมกับเบิกตากว้างเพราะแท้จริงแล้วพลังปราณซึ่งวัวชรานี้แผ่ออกมาช่างน่าตกตะลึงอย่างมาก
ต่อให้เป็นตัวผู้อาวุโสระดับจักรพิภพแห่งวังเต๋าไพศาลเองก็ไม่อาจเทียบกับมันได้ หากจะให้เทียบกันจริงๆ บางทีพลังฝึกปรืออาจไม่ต่างจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกมากนัก
ทว่ายามที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ อีกฝ่ายไม่ได้เผยกลิ่นอายยิ่งใหญ่ปานนี้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่สะดวกเปรียบเทียบ ยามนี้มองไปวัวชราเบื้องหน้าไม่สามัญจริงๆ แม้อีกฝ่ายมองๆ ไปแล้วเหมือนเป็นอสูร แต่พลังเพลิงทั้งร่างนั้นอีกทั้งผนึกอักขระที่ส่องแสงเป็นระยะ ทำให้หวังเป่าเล่อที่ได้เห็นคราแรกนี้รู้สึกเหมือนว่ามีพลังแห่งกฎจำนวนมากไหลวนอยู่รอบกายของมัน เป็นกฎจำนวนนับไม่ถ้วน
หากเป็นเพียงแค่นี้ก็ยังไม่เท่าไร ทว่าในจังหวะที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวและมองไปยังอีกฝ่ายนั้น วัวชราตนนี้ก็พยักหน้าคราหนึ่ง ใช้ดวงตาสีแดงชาดของมันจับจ้องมาบนร่างหวังเป่าเล่อ
และในพริบตาที่ประสานสายตากันนั้น ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันบังเกิดเสียงกระหน่ำราวสายฟ้าฟาด ความรู้สึกนี้เสียดแทงนัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาจนปวดแสบ สภาวะจิตสะเทือนหนัก เขานึกในใจว่าไม่ถูกสิ วัวชราตนนี้คล้ายว่าจะไม่พอใจตนอยู่ ไม่เช่นนั้นทำไมในยามที่ตนปรากฏตัวถึงได้ทำท่าคุกคามกันเช่นนี้…ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อเพียงชั่วครู่ แต่เขารีบปรับท่าทีแสดงความเคารพ ประสานหมัดโค้งลงต่ำคราหนึ่ง
“ผู้เยาว์หวังเป่าเล่อ น้อมพบผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเยี่ยมยุทธ์ไม่ธรรมดา เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ผู้เยาว์เช่นข้ายากจะพบ ให้ผู้ใหญ่เช่นท่านต้องลำบากฝ่าฟันมาไม่รู้กี่แสนปีแสงเพื่อมารับข้า ผู้เยาว์ทั้งหวั่นไหวทั้งซาบซึ้งและตระหนักในพระคุณยิ่งนัก!”
หลังจากเอ่ยวาจานี้ออกไป แววตาของวัวชรามีการเปลี่ยนแปลงบ้าง มันมองหวังเป่าเล่อเหมือนพิเคราะห์ขึ้นๆ ลงๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยปากนิ่งๆ
“นายน้อยสิบหกมิต้องเกรงใจ ใต้เท้ามีคำสั่ง บ่าวชราย่อมต้องปฏิบัติตาม ท่านมาขึ้นหลังข้าเถอะ ผู้ชราจะพาท่าน…กลับดาราจักรไฟ!”
ระหว่างที่กล่าว วัวชราก็พ่นจมูกคราหนึ่ง ก่อให้เกิดพายุรุนแรงสองขุม สาดกระจายไปทั่วแปดทิศในเวลาเดียวกันก็แหวกทะเลเพลิงเบื้องหน้าให้เปิดออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นเส้นทางสายหนึ่ง
หวังเป่าเล่อในใจลังเลยิ่งแต่อาศัยจังหวะที่ประสานมือก้มโค้งอีกครานั้น ชั่งน้ำหนักดูอีกครั้งด้วยความรวดเร็วก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติ เขาขยับร่างมุ่งไปยังเส้นทางที่ทะเลเพลิงนั้นถูกแหวกออกเพื่อเข้าไปหาวัวชรา
และยิ่งเขาเข้าใกล้นั้น พลังกดดันอันไร้ลักษณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายยิ่งรุนแรง จนถึงเวลาสุดท้าย หวังเป่าเล่อก็ร่างกายสั่นเทา บนศรีษะของเขามีเหงื่อผุดพราย ถึงกับต้องเคลื่อนพลังของดาวเคราะห์เต๋าเพื่อยับยั้งแรงกดดันจากอีกฝ่าย เขากระโจนคราหนึ่งก็ลุถึงแผ่นหลังของวัวชรา!
เมื่อหย่อนขาลงแล้ว เขาก็ได้ยันวัวชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“นั่งให้ดีเล่า!” พูดแล้ว วัวชราก็แหงนหน้าส่งเสียงคราหนึ่ง พลันยกกีบหน้าสองข้างขึ้นแล้วกระโจนไปยังหมู่ดาราเบื้องหน้าอย่างรุนแรง พริบตานั้นพลังอำนาจสะเทือนฟ้าก็สะท้อนก้อง ทะเลเพลิงรอบด้านพลันโหมขึ้น พัดเข้ามาจากทั้งแปดทิศก่อนจะโอบร่างวัวชราเอาไว้ข้างใน
และเพียงชั่วกะพริบตาทะเลเพลิงก็หายไป ไม่ปรากฎร่องรอยของวัวชราและหวังเป่าเล่อบนหลังของอีกฝ่ายอีก!
และในจังหวะถัดมา ณ สถานที่ห่างไกลเหลือแสนจากระบบสุริยะ บนดวงดาวซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก กลุ่มเพลิงพลันสว่างโรจน์ เผยให้เห็นเงาร่างของวัวชรา หลังจากมันสะบัดหัวเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายต่อ แต่ยกกีบเท้าทั้งสี่ขึ้นก่อนจะวิ่งตะบึงข้ามหมู่ดารา
ความเร็วของการควบตะบึงนี้สูงส่งยิ่งจนก่อให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วแปดทิศ และทำให้เหล่าอารยธรรมโดยรอบนั้นต้องตื่นตกใจ ทุกผู้คนล้วนหัวใจสั่นเทา ส่วนหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่บนหลังวัวชรานั้นยิ่งกว่าตื่นตะลึงใจสั่นระรัว
ด้านหนึ่งก็ตกตะลึงเพราะความเร็ว ส่วนอีกด้าน…เขารู้สึกว่าวัวชราที่ตนควบขี่อยู่นี้ เป็นวัวคลั่งตนหนึ่งแท้ๆ คล้ายจะเป็นพวกมุทะลุ ราวกับว่าอีกฝ่ายทำได้แต่พุ่งไปข้างหน้าเท่านั้นไม่เคยไถลออกนอกหนทาง…และต่อให้เบื้องหน้าเป็นดารานิรันดร์ มันก็คงเลือกที่จะพุ่งเข้าชน
จริงๆ แล้ว…ก็ถูกต้องตามความคิดนี้นั่นแหละ หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อประจักษ์แก่สายตาว่าวัวบ้าตนนี้ชนดารานิรันดร์เจ็ดดวงจนพังราบ ในระหว่างที่พุ่งชนนนั้นวัวชราจะหอบหายใจเข้าคราหนึ่งแล้วดูดเอาพลังวิญญาณของดารานิรันดร์นั้นทั้งหมดไว้ในปากมันอีกด้วย
ภาพนี้ทำให้หนังศีรษะของหวังเป่าเล่อชาดิก แม้ว่าการอยู่บนหลังของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับกระทบรุนแรงนัก แต่ว่า…ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ต้องโคจรพลังฝึกปรือจนสูงสุดระหว่างนั้นเช่นกัน แถมยังต้องกำขนบนหลังของวัวชราเอาไว้ให้แน่นสุดๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็…เขากลัวว่าตัวเขาเองจะถูกสลัดร่วงลงไปได้
ดังนั้นเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดราบรื่นไปถึงดาราจักรไฟได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองต้องหาหนทางมาเพิ่มอัตราการรอดชีวิต ฉะนั้นแล้ว…ตอนที่วัวชรากำลังพุ่งทะลายดารานิรันดร์ดวงที่สาม จังหวะที่มันกำลังกู่ร้องพออกพอใจนั้น หวังเป่าเล่อก็รีบเอ่ยปากเสียงดังทันที
“ท่านปู่วัวน่าเกรงขามนัก!!”
วัวชราได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อนี้แล้วก็ผงะไปเล็กน้อย แต่มันไม่ได้สนใจเท่าไหร่ยังคงควบตะบึงไปเบื้องหน้าต่อ ในเวลาไม่นานก็ทำลายดารานิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า ส่วนหวังเป่าเล่อทางด้านนี้ก็ยังพูดไม่หยุด
“ท่านปู่วัวสง่ามาก!!”
“ท่านปู่วัวกล้าหาญยิ่ง!!”
“ท่านปู่วัวไร้เทียมทาน!!”
ก็เป็นเช่นนี้ ในจังหวะที่มันกระแทกดารานิรันดร์ดวงที่สามสิบกว่าจนพินาศ ได้ยินประโยคประจบของหวังเป่าเล่อไปสิบกว่าครั้ง วัวชราก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย มันฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี้รู้จักพูดเสียจริง ประจบได้ไม่เลว หากว่าเจ้าสามารถเอ่ยประโยคที่ทำให้วัวชราเช่นข้าอารมณ์ดีอีกล่ะก็ เช่นนั้นวัวชราจะให้โอกาสเจ้าได้ถามหนึ่งสิ่ง!”
“ท่านปู่วัว ข้านี้จะไปกล้าประจบท่านได้เช่นไร สิ่งมีชีวิตประเภทม้านี้สามารถเทียบกับท่านได้อย่างนั้นเหรอ ในชีวิตของข้าหวังเป่าเล่อนี้ไม่เคยเอ่ยชมผู้ใดมาก่อน ทุกประโยคที่ข้าเอ่ยนี้ย่อมมาจากใจจริงแท้ล้วนๆ ดังนั้นคำขอของท่านนี้ ตัวข้าค่อนข้างลำบากใจจริงๆ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ตบๆ บนหลังวัวชรา พลางเอ่ยปากเสียงเบา
“ท่านปู่วัว ผู้ชราเช่นท่านเคยได้กลิ่นอะไรประหลาดๆ หรือไม่?”
“ไม่มี กลิ่นอะไรหรือ?” วัวชราชะงักก่อนจะขยับจมูกเล็กน้อย ทดลองดมดูรอบด้าน ก่อนจะตอบอย่างประหลาดใจ
“ช่างเป็นกลิ่นที่หอมหวนอะไรเช่นนี้!”
“หลังจากข้าเห็นท่านปู่วัวแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าในจักรวาลนี้เองก็ส่งกลิ่นหอมเหล่านี้มาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่ข้ามีต่อท่านปู่วัว” เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยออกไปแล้ว วัวชราถึงกับหยุดชะงัก มันพลันขนลุกทั่วร่างหนังไก่ผุดขึ้นมาเป็นตุ่มๆ
“ท่านปู่วัว..”
“พอแล้ว บ้านเจ้าสิ…เลิกพูดสักที ข้าหนังชาไปหมดแล้ว!!” วัวชรารีบร้องเสียงดัง หวังเป่าเล่อถึงเองหัวเราะฮ่าๆ คำโต บรรยากาศระหว่างเขาและวัวชรานี้ ก็แน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อยหลังคำพูดเหล่านี้
ต้องกล่าวสักหน่อยว่า ด้านการเจรจาและคบหาผู้คนของหวังเป่าเล่อเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว ในยามนี้หลังจากล้อเล่นกับวัวชราแล้วคราหนึ่ง วัวชราอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“เจ้าหนู คำพูดพวกนี้เจ้าไปเรียนมาจากที่ใดกัน?”
“ท่านปู่วัว นี่มิใช่ข้าเป่าเล่อพูดเพ้อเจ้อ ตั้งแต่สามขวบข้าก็เรียนรู้วิธีเจรจาพาทีต่างๆ แล้ว คอยฝึกปรือกับผู้คนมาตลอดจนถึงวันนี้ กล่าวได้ว่าไม่มีเรื่องใดที่ข้าเจรจาไม่ได้ ไม่มีสาวใดที่ข้าจีบไม่ได้ หากท่านปู่วัวสนใจข้าจะสอนท่าน รับรองว่าอีกหน่อยทั้งจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้นนี้ แม่วัวน้อยตัวใดที่ท่านสนใจล้วนไม่มีทางรอดมือท่านไปได้!”
วัวชราลังเลครู่หนึ่ง นี่ทำให้มันสนใจแท้จริง แต่เนื่องด้วยศักดิ์ศรีจึงไม่อาจถามได้ตรงๆ หวังเป่าเล่อราวกับมีตามองทะลุ หลังสัมผัสได้แล้วก็รีบถ่ายทอดวิชาความรักของเขาในทันที และก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างทางที่วัวชรามุ่งหน้าไป พวกเขาก็ยิ่งเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ
จนสุดท้ายแล้ว วัวชราพอใจยิ่งนัก หรืออาจกล่าวได้ว่ามีจิตใจฮึกเหิมยิ่ง…สรุปก็คือยินดีจะเสวนากับหวังเป่าเล่ออย่างมาก
“ผู้ชราเห็นเจ้าแล้วสบายตาดีนัก เจ้าหนูเล่อจื่อ หากว่ามีสิ่งใดอยากถามในดาราจักรแห่งไฟล่ะก็ ถามมาได้เลย”
ที่หวังเป่าเล่อรออยู่ก็คือประโยคนี้ เมื่อได้ยินแล้วแววตาเขาก็เผยประกายประหลาด รีบเอ่ยปาก
“ท่านปู่วัว ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านช่วยบอกข้าสักหน่อยได้ไหม อาจารย์ของข้าปรมาจารย์แห่งไฟ มีนิสัยเช่นไรกันแน่? มีของที่ชอบและเรื่องที่รังเกียจหรือไม่?”
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าในเมื่อตนเองในยามนี้ต้องไปดาราจักรแห่งไฟ เช่นนั้นตัวเองก็ควรเข้าใจปรมาจารย์แห่งไฟเอาไว้ให้มาก โดยเฉพาะอีกฝ่ายอยากรับตนเป็นศิษย์แน่แท้ แต่หากตนเองอยากให้อีกฝ่ายชอบมากขึ้น เช่นนั้นย่อมเป็นประโยชน์กว่ามาก
“ปรมาจารย์แห่งไฟหรือ…” วัวชราได้ยินคำนี้ของหวังเป่าเล่อแล้ว ส่วนลึกในดวงตานั้นมีประกายเจ้าเล่ห์วาบผ่านอย่างจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หลังจากกระแอมไปหลายที ก็ค่อยๆ เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“เจ้าหนูเล่อจื่อ ผู้ชรานี้ยังต้องวิจารณ์เจ้าสักหน่อย ความคิดของเจ้าจุดนี้ผู้ชราเข้าใจอย่างยิ่ง อยากบอกว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว!”
“ใต้เท้ามีจิตใจกว้างขวาง น้อมรับความคิดเห็นทุกคน พูดจากระทำการล้วนรักอิสระ บรรดาศิษย์ในจักรพิภพนี้ทั้งหมดใต้อาณัติของเขาล้วนสามารถพูดจาได้ตามใจ คิดสิ่งใดกล่าวสิ่งนั้น” กล่าวถึงจุดนี้ วัวชราก็ถอนหายใจคราหนึ่ง
“ดังนั้นแล้วในภายหลัง หากว่าเจ้าไม่พอใจอะไรใต้เท้าล่ะก็ อย่าได้คิดปิดบัง คิดอะไรก็พูดไปแบบนั้นเลย เอาให้ตรงไปตรงมาที่สุด เพราะว่าใต้เท้าเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย ความใจกว้างของใต้เท้านั้นเกรงว่าจะสามารถรับคำพูดได้นับหมื่นพันคำ มากยิ่งกว่าพื้นที่ในจักรวาลนี้เสียอีก!”
“แต่เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่ง ห้ามแสร้งกระทำเด็ดขาด เพราะว่าสิ่งที่ใต้เท้าเกลียดที่สุด แล้วยิ่งเป็นคำพูดพวกประจบสอพลอ คำพูดลวงๆ คำพูดไม่จริงใจทั้งหลาย”
“สรุปก็คือ เจ้าก็แค่คิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้นก็พอแล้ว ท่านใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นปรมาจารย์ผู้ตื่นรู้อันยากจะหาได้ในพิภพแห่งนี้!”
……………………