เมืองหนานชวนและเมืองซีชวน ทั้งสองเมือง… สำหรับแคว้นตงเฉินแล้ว แท้จริงจะบอกว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ หากกล่าวถึงความสำคัญ ก็มีความสำคัญมากต่อสถานการณ์ทางตอนใต้ของแคว้นตงเฉิน
ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว หากตงหลิงหวงต้องการกำราบศึกภายใน สิ่งที่ต้องทำประการแรก คือกระชับความสัมพันธ์กับแคว้นหนานหลีเสียก่อน หากต้องการรักษาความสัมพันธ์นี้ให้มั่นคง นางจำเป็นต้องเสียสละเมืองบางส่วน
ตงหลิงหวงพูดจบ มู่หรงฉีก็ไม่พูดสิ่งใด ทว่ายังมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอด เขาเล่นแหวนหยกที่นิ้วมืออย่างผ่อนคลาย
ตงหลิงหวงไม่แน่ใจว่ามู่หรงฉีกำลังคิดสิ่งใด ทว่านางไม่ได้เร่งรัดและรอคำตอบอย่างอดทน
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าแม่ทัพแคว้นตงเฉินที่อยู่ด้านหลังตงหลิงหวงเริ่มกระสับกระส่าย มู่หรงฉีจึงเอ่ยปากอย่างสบายอารมณ์
“สองเมืองเช่นนั้นหรือ? ข้าไม่เคยสนใจเรื่องแบ่งดินแดน จากสถานการณ์ของทั้งสองแคว้นในตอนนี้ แคว้นตงเฉินทั้งหมดกำลังจะตกอยู่ในมือของข้า เหตุใดข้าจึงต้องเสียสิ่งใหญ่เพื่อเลือกสิ่งเล็กเช่นเมืองสองเมืองด้วย? ”
ใบหน้าที่หยิ่งทะนงและจองหองเล็กน้อยของมู่หรงฉี เป็นใบหน้าที่น่าโมโหนัก ตงหลิงหวงกัดฟันกรอดและตำหนิมู่หรงฉีอยู่ในใจหลายครั้ง
ให้ตายเถิด มู่หรงฉี หากรัชทายาทอย่างข้าไม่ช่วยเจ้าและปล่อยเจ้าไป เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดจาโอ้อวดเช่นนี้อยู่อีกหรือ? ยังจะมีคุณสมบัติให้พูดเช่นนี้อีกหรือ?
ยังกล้าพูดว่าตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าอีกหรือ?
ยังกล้าพูดว่าเสียสิ่งใหญ่เพื่อเลือกสิ่งเล็กอีกหรือ?
อย่าได้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือของรัชทายาทอย่างข้าอีก หากวันหนึ่ง เจ้าตกมาอยู่ในเงื้อมมือของรัชทายาทอย่างข้า ข้าจะถลกหนังของเจ้าออก และหักกระดูกของเจ้าเป็นชิ้นๆ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจตงหลิงหวง ทว่าใบหน้าของนางกลับสงบนิ่งและไม่แสดงออกอันใด อย่างไรก็ตาม ราวกับมู่หรงฉีจะเข้าใจจิตใจของตงหลิงหวงอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงทอดยาวต่อไป
“ดูเหมือนว่ารัชทายาทตงหลิงต้องการถลกหนังของข้ากระมัง จากนั้นค่อยหักกระดูกข้าเป็นชิ้นๆ ! เป็นอย่างไร… หลายวันที่ผ่านมา ตอนที่อยู่ด้วยกัน รัชทายาทยังถลกหนังข้าไม่หนำใจอีกหรือ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงก็รักษาท่าทางสงบนิ่งไว้ไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาดำขลับและสดใสพลันเบิกโพลง พวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม้แต่ต้นคอยังเป็นสีแดง
ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจว่าคำพูดของมู่หรงฉีหมายความว่าอย่างไร ทว่าตงหลิงหวงซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง กลับเข้าใจอย่างชัดเจน
นางรู้สึกสันหลังเย็นวาบชั่วขณะ รู้สึกเพียงว่าสายตาจำนวนมากมายที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังกำลังจับจ้องมาที่ตัวนาง ทำให้นางที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังยืนอยู่บนแผ่นเหล็กร้อน
นางสาปแช่งอยู่ในใจอย่างรุนแรง ‘มู่หรงฉี คนต่ำช้า! คนป่าเถื่อน! คนป่าเถื่อน! คนเลวทราม! ’
แท้จริงแล้ว นอกจากตงหลิงหวงที่เข้าใจคำพูดของมู่หรงฉี ยังมีซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และอวิ๋นจิ่น
เยี่ยโยวเหยาไม่เคยสนใจเรื่องเช่นนี้ แม้จะฟังเข้าใจก็เหมือนไม่เข้าใจนั่นเอง
สำหรับ อวิ๋นจิ่น… เขาไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้เช่นกัน แม้จะฟังเข้าใจก็ทำเป็นไม่เข้าใจ
ส่วนซูจิ่นซี… ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ทว่าลำคอของนางกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับตงหลิงหวง
นางกำหมัดพลางป้องปากกระแอมสองสามครั้งด้วยท่าทีอึดอัด และส่งสัญญาณให้มู่หรงฉีสงวนท่าที อย่างไรเสีย ยังมีคนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์!
เสด็จพี่! หยอกเย้าเรื่องอย่างว่าต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ จะดีหรือ?
อย่างไรก็ตาม คนอย่างฉีอ๋องไม่ใส่ใจผู้อื่นแม้แต่น้อย! เขาทำราวกับไม่ได้ยินคำเตือนของซูจิ่นซี และยังส่งสายตามองแม่ทัพฮัวที่อยู่ด้านหลังตงหลิงหวง
“วันนี้อากาศก็ไม่ร้อน! เหตุใดข้าถึงเห็นว่ารัชทายาทตงหลิงร้อนเล่า? เหอะ เหอะ… ลำคอแดงหมดแล้ว แม่ทัพฮัวเซิ่ง ทำไมเจ้าไม่กางร่มให้องค์รัชทายาทเล่า”
มารดามันสิ มู่หรงฉี!!!
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงก็ไม่สามารถระงับความขุ่นเคืองในดวงตาของนางได้อีกต่อไป นางจ้องใบหน้าของมู่หรงฉีด้วยความดุดัน
ซูจิ่นซีไม่เคยคิดเลยว่า พันธุกรรมเรื่องความเจ้าชู้ของพี่ชายนางจะเข้มข้นถึงเพียงนี้ ทั้งยังแสดงท่าทางจริงจังอย่างไร้ยางอาย
ทว่าแม่ทัพฮัวเซิ่งเป็นคนตรงไปตรงมา! เขาไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยมในคำพูด ยิ่งไม่ใช่คนที่มองคนทะลุปรุโปร่งเหมือนซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และอวิ๋นจิ่น ทำให้เขาไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของมู่หรงฉีที่มีต่อตงหลิงหวง เขารีบตอบรับคำและกางร่มให้ตงหลิงหวง
ภายในใจของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!!!
นางทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นและหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้
หากเรื่องเลยเถิดมาถึงจุดนี้ ก็ให้มันจบลงเถิด น่าเสียดาย ในโลกนี้ นางไม่หวาดกลัวศัตรูที่เก่งกาจดั่งหมาป่า แต่กลัวสหายร่วมทัพที่โง่เง่าเหมือนหมู เหมือนฮัวเซิ่งผู้นี้… นางไม่สามารถถามหาอันใดได้จากความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของสหายร่วมทัพที่เหมือนหมู
ขณะที่ตงหลิงหวงเงยหน้าขึ้นและหลับตาอย่างช่วยไม่ได้ ฮัวเซิ่งจึงเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้ม จากนั้นจึงเช็ดหน้าผากเย็นเฉียบของเขา และถามตงหลิงหวงด้วยท่าทีสงสัย “องค์รัชทายาท วันนี้มีเมฆมาก ไม่มีดวงอาทิตย์! ดูทิศทางลมแล้วหิมะคงใกล้จะตก อากาศหนาวเช่นนี้ พระองค์ทรงร้อนได้อย่างไร?! ”
โอ้…
ตงหลิงหวงอยากสลายร่างไปเสียตอนนี้!
นางกัดฟันเสียงดังกรอด ฮัวเซิ่งเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาอาจพูดอันใดผิดไป ทว่าเขาไม่เข้าใจว่าเขาพูดผิดที่ใด จึงแสดงสีหน้าสงสัยอย่างมาก
ตงหลิงหวงกัดฟันแน่นเป็นเวลานาน ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางพยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าให้ดีที่สุด พยายามสะกดอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ภายในใจ และพยายามระงับความต้องการฉีกร่างแม่ทัพฮัวเซิ่ง นางกำกระบี่ในมือแน่น
“ข้าจะร้อนได้อย่างไรก็ตามแต่ข้าต้องการ เจ้าไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องด้วย”
เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทมีพระพักตร์เรียบเฉย ทว่าฮัวเซิ่งกลับรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ภายใต้สีหน้าที่แสดงถึง ‘ความเมตตา’ เขาพลันสะดุ้งสุดตัว และรีบตอบซ้ำๆ “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะทรงกระทำเช่นไร กระหม่อมก็ไม่มีสิทธิ์ถามให้มากความ ไม่มีสิทธิ์ถามให้มากความพ่ะย่ะค่ะ”
ตงหลิงหวงจ้องหน้าแม่ทัพฮัวเซิ่ง สหายร่วมทัพที่เหมือนหมูผู้นี้
“ถือร่มให้ข้าดีๆ เล่า! ”
จากนั้น นางก็มองไปที่มู่หรงฉี พยายามระงับความร้อนบนใบหน้าของนาง และดึงหัวข้อหารือสำคัญที่ผิดเพี้ยนไปไกลให้กลับมา
“ดูเหมือนฉีอ๋องจะไม่สนใจทั้งสองเมืองที่แคว้นเรามอบให้ ไม่ทราบว่าฉีอ๋องมีเงื่อนไขอย่างไร เพื่อยุติสงครามครั้งนี้ชั่วคราว? ”
มู่หรงฉีไม่ปิดบังแววตา เขามองตงหลิงหวงด้วยความสนใจ และยังคงเล่นแหวนหยกที่นิ้วมือด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“เรื่องนี้… ขอข้าครุ่นคิดสักครู่” หลังจากพูดจบ เขาก็กุมหน้าผากครุ่นคิดอย่างหนัก
ไม่รู้ว่ามู่หรงฉีมีเงื่อนไขอย่างไร เขาคงไม่เสนอเงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผล หรือทำให้แคว้นตงเฉินต้องลำบากใจกระมัง ครู่หนึ่ง เหล่าแม่ทัพนายกองแคว้นตงเฉินต่างรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย อย่างไรเสีย ตอนนี้สถานการณ์ภายในและภายนอกแคว้นตงเฉินไม่สู้ดีนัก ทว่าพวกเขาไม่ได้แสดงความกังวลใจออกมาให้เห็น
เมื่อเทียบกับเหล่าแม่ทัพนายกองแล้ว อารมณ์ของตงหลิงหวงไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไร เรื่องนี้ทำให้นางสังหรณ์ใจไม่ดีนัก