GGS:บทที่ 1101 อเมริกาไม่เชื่อ…..

หวังจุ่นถึงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันทีเมื่อได้คิดถึงฉากเหตุการณ์ต่างๆที่พึ่งจะได้ผ่านมา ไม่ว่าคิดยังไงเข้าก็รู้สึกแปลกพิกล ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก แถมรายละเอียดเชิงลึกเขากลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาหาคำตอบแต่อย่างใด เขาได้พาตัวเองอารักขาเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศให้กลับออกไปจากที่นี่โดยสวัสดิภาพก่อนเป็นอย่างแรก
ไม่นาน รัสเซียก็ได้รับข่าวจากตัวแทนของประเทศ
“อยู่ในขั้นการศึกษา ยังไม่สามารถผลิตปฏิสสารได้เหรอ นายแน่ใจรึเปล่า”
“แน่ใจครับ เทคโนโลยีของพวกนั้นไม่ได้มีอะไรที่ล้ำหน้าพวกเราเลยสักอย่างเดียว เต็มที่พวกนั้นก็ทำได้แค่ผลิตสารประกอบของปฏิสสารไดเท่านั้นเอง เรียกได้ว่ามองยังไงแล้วก็ยังไปไม่ถึงไหน แล้วโครงการของจีนจะไปผลิตปฏิสสารได้ยังไงกัน”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงจะน่าแปลกไปหน่อยนะ หากว่าพวกเรายึดถือจากหลักฐานของอเมริกาที่เอาออกมาพูดล่ะก็ หากว่าสถาบันวิจัยแห่งนั้นไม่ได้ผลิตปฏิสสารได้ล่ะก็ ทำไมที่นั่นถึงต้องการทั้งวัตถุดิบ เครื่องมือ และกำลังไฟจนาดนั้นกันล่ะ”
“ตามความเห็นของผมนะครับ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง ซูจิ้งนั้นเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยนั่นอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรวยอย่างมาก การที่จะทุ่มเงินลงไปขนาดนั้นแล้วเสียไปเปล่าๆก็ไม่ได้มีผลอะไรในชีวิตเขาเลยแม้แต่น้อย
ส่วนอีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือเขานั้นใช้ที่นั่นเป็นสถานที่ฟอกเงิน แน่นอนว่าหากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็จะไม่แปลกที่เขาจะทุ่มเงินมากแล้วได้เงินน้อยกลับมา”
“….ทำไมฉันยังรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอยู่นะ”

ทั้งประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และนานาประเทศต่างก็ได้รับข้อมูลในทำนองเดียวกันจากทีมสืบสวนของตัวเอง ด้วยการที่ข้อมูลที่ได้เหมือนกันแบบนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีบางประเทศที่เชื่อ และมีบางประเทศที่ไม่เชื่อ
แน่นอนว่าหนึ่งในพวกที่ไม่เชื่อก็คืออเมริกา
“ไม่มีปฏิสสาร เป็นไปไม่ได้ พวกเราทุ่มเทกำลังคนตั้งมากมายจนสืบรู้มาได้ว่าพวกมันนั้นได้ปฏิสสารกันเรียบร้อยแล้ว
นี่แกดูอะไรพลาดไปรึเปล่า…อาจจะเป็นพวกมันพาแกเข้าไปยังห้องที่ไม่ได้ใช้ผลิตปฏิสสารจริงๆแต่พวกมันมีห้องลับอยู่ ยังไงซะพวกมันต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้อย่างแน่นอน หรือไม่ก็อาจจะมีการขนย้ายอุปกรณ์บางอย่างออกไประหว่างนี้ก็ได้”

“พวกเราตรวจสอบดูแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าพวกเขานั้นไม่ได้มีฐานลับใต้ดินอะไรพวกนั้น ไม่มีแม้แต่ร่องลายการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ต้องบอกว่าอุปกรณ์ของที่นั่นมีเกินความจำเป็นด้วยซ้ำไป”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะแปลกไปหน่อยแล้วล่ะ เป็นไปได้ว่าประเทศอื่นเองอาจจะรวมหัวกับจีนช่วยกันปกปิดร่องรอยไม่ให้พวกแกเห็นก็ได้ ไม่ว่ายังไงพวกแกก็ต้องกลับเข้าไปตรวจสอบดูอีกครั้ง”
“….พอมาคิดถึงท่าทีของจีนก่อนหน้านี้แล้วผมว่าเรื่องนี้พวกเราคงต้องคิดกันอีกทีนะ ถึงแม้ในครั้งนี้พวกเขาจะยอมให้เราเข้ามาตรวจสอบกันก็จริง แต่นี่เองก็ถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว หากว่าเรายังดื้อดึงต่อไปอีก…ผมว่าไม่เพียงจะยอมให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบเป็นครั้งสองเลย…”
“ต่อให้พวกมันไม่ยอมแล้วพวกมันจะทำอะไรได้”

ณ ประตูของสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศ หลังจากขบวนรถของตัวแทนนานาประเทศได้ขับรถจากออกไป หวังจ้าวที่ในตอนนี้เริ่มทนไม่ไหวกับข้อสงสัยของตนจึงได้ถามออกมาว่า “อาจิ้ง เกิดอะไรขึ้นกัน อย่าบอกนะว่านายเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ผลิตปฏิสสารไปแล้ว”
เฉิงหนานเองก็ถามออกมาในทำนองเดียวกันว่า “ไม่ใช่ว่าเราคุยกันไปก่อนหน้านี้ว่าเราจะไม่ย้ายอะไรออกไปไม่ใช่เหรอ เพราะหากว่าย้ายอะไรออกไปล่ะก็จะยิ่งเป็นที่ผิดสังเกต หากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ไม่มีทางที่คณะผู้ตรวจสอบจะปล่อยให้รอดพ้นสายตาไปได้อย่างแน่นอน”
“….เอาเป็นขอไม่อธิบายก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่ทำให้หวังจ้าวแล้วเฉิงหนานที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะมองหน้าซูจิ้งด้วยสายตาเย็นชาปนเซ็งๆก่อนที่จะพากันเดาะลิ้นออกมาแทบจะพร้อมกัน เพราะนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ซูจิ้งสามารถแก้ปัญหาได้โดยที่ไม่บอกอะไรพวกเขาเลย
“ก็นะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งรีบดีใจไปกันเลยดีกว่า พวกเราเองแค่หลบเลี่ยงในเรื่องนี้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมา
“แค่ชั่วคราวเหรอ ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อคณะสอบสวนเองต่างก็พอกันรับรู้ว่าพวกเรานั้นยังไม่ได้ผลิตปฏิสสารเลยนี่นาแล้วทำไมถึงบอกว่ายังไม่ปลอดภัยอีก” เฉิงหนานรีบถามออกมาในทันที
“ฉันว่าพวกนั้นไม่มีทางเชื่อง่ายๆหรอก เพราะยังไงซะพวกนั้นต่างก็รับรู้แล้วว่าเราได้ทุ่มเทเงินทองไปกับสถาบันวิจัยมากมายขนาดไหน

และการทุ่มเงินของของซูจิ้งนี้ยังไงก็ต้องดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน ต่อให้ครั้งนี้รอด แต่ยังไงซะพวกนั้นก็ยังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ดี” หวังจ้าวพูดออกมาอย่างคนมีประสบการณ์
“ถูกต้อง ในอนาคตพวกเรายังคงถูกตรวจสอบจากนานาประเทศอีกอย่างแน่นอน และพวกเราเองก็เหมือนกัน มันก็เหมือนกับการที่เราได้โดดเรียนในวันรายงานตัว แต่สุดท้ายก็ตั้งเข้าเรียนไปอีกนานกว่าสิบยี่สิบปี
และด้วยเหตุนี้ ฉันจะไปที่ปักกิ่งสักหน่อยนะยังไงก็ฝากพวกนายดูแลทางนี้ด้วย” ซูจิ้งพูดออกมา
“ห้ะ นายจะไปทำอะไรที่นั่นกัน” หวังจ้าวพูดออกมา
“ก็แค่ถึงเวลาเอาคืนของประเทศเราเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยแสยะยิ้ม ภาพนี้ทำให้ทั้งหวังจ้าวงและเฉิงหนานต่างก็ต้องขนลุกกันเลยทีเดียว

หลังจากแยกย้ายกันแล้ว หวังจ้าวและเฉิงหนานได้กลับไปยังสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลา ในขณะที่ซูจิ้งได้กลับไปยังบ้านของตนเองเพราะว่าเขานั้นต้องการที่จะเตรียมตัวก่อนที่จะไปยังเมืองหลวง
แต่ว่าเขานั้นมีความรู้สึกว่าของที่มีอยู่น่าจะยังไม่เพียงพอจึงคิดที่จะตรงไปยังจัดการขยะห้วงเวลาฯเผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติม ยังไงซะขยะห้วงเวลาฯกองนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์ ยังไงซะก็ต้องมีสมบัติที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอีกไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆเขานั้นน่าจะใช้เวลาในการค้นหาที่นานนัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ซูจิ้งจะได้ทำอะไรต่อไป เขาได้รับโทรศัพท์จากหวังจ้าวพร้อมกับข่าวร้ายที่ถึงกับทำให้ซูจิ้งต้องขมวดคิ้วในทันทีที่ได้ยิน

อเมริกานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นไม่เชื่อใจประเทศจีน และใช้อำนาจทางทหากกดดันให้จีนยอมรับคนของพวกนั้นเข้าไปตรวจสอบยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศของซูจิ้งอีกครั้ง พร้อมทั้งบังคับให้จีนส่งมอบความรู้ทางเทคโนโลยีปฏิสสารทุกอย่างที่จีนรู้ให้กับอเมริกาด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อใช้ในการปกป้องความมั่นคงของโลก แน่นอนว่าในคราวนี้รัฐบาลจีนได้ทำการปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในทันที
อย่างไรก็ตาม อเมริกาไม่คิดที่จะยอมแพ้ พร้อมทั้งประกาศกล้าวว่าอเมริกาจะจัดให้มีการระดมความคิดเห็นจากทั่วโลกเกี่ยวกับท่าทีของจีนและการกระทำของจีนที่ครอบงำสถาบันวิจัยฯของซูจิ้ง
พร้อมทั้งเพื่อเป็นการตัดแหล่งเงินทุนของสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ อเมริการได้ออกมาทำการกีดกันทางการค้ากับสินค้าที่มาจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในทุกรูปแบบ

กับเรื่องนี้ด้วยการที่กลุ่มทุนห้วงเวลาเองได้เริ่มขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้กับอเมริกา ต่อให้ได้รับผลกระทบไปบ้างแต่ก็ยังไม่เท่ากับการที่ประเทศอื่นๆเริ่มคล้อยตามอเมริกา
ถึงแม้ว่าอเมริกาเองจะไม่สามารถบังคับให้ประเทศอื่นทำแบบตัวเองได้ก็ตาม แต่ยังไงซะด้วยการที่เป็นประเทศมหาอำนาจ แน่นอนว่าต้องส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นไม่มากก็น้อย
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะคิดไว้แล้วว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯของเขาจะต้องโดนแรงกดดันแบบนี้เข้าสักวัน แต่เขาก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์นี้จะมีอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ในการกระทำที่ไร้สาระแบบนี้

บนโลกอินเตอร์เน็ตเองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปทั่วเช่นเดียวกัน
“จบแล้ว…คราวนี้กลุ่มทุนห้วงเวลาไปไม่รอดแล้วแน่ๆ”
“ไม่จริงหรอกน่า ต่อให้พวกเขาเสียตลาดอเมริกาไป ยังไงเราก็ยังมีประเทศอื่นเป็นคู่ค้าอยู่อีกไม่ใช่เหรอ”
“ถึงแม้จะดูเหมือนกับว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะเสียตลาดไปแค่ประเทศเดียวก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าตลาดในอเมริกาเองก็ใหญ่ไม่น้อยกว่าประเทศอื่นเลยนะ อีกอย่างหนึ่งต้องไม่ลืมว่าอเมริกาคือประเทศมหาอำนาจ แรงกดดันขนาดนี้ต่อให้ประเทศเราโดนตรงๆยังต้องคิดหนัก นับประสาอะไรกับบริษัทแค่บริษัทเดียว”
“ถูกต้อง นี่ยังไม่รวมถึงแรงกดดันของอเมริกาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นอีกนะ ต่อให้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเข้าไปเป็นหุ้นส่วนของกลุ่มทุนห้วงเวลา แต่ยังไงซะ บริษัทเหล่านั้นเองก็มีหุ้นส่วนส่วนใหญ่มาจากอเมริกาด้วยเช่นกัน บางบริษัทนี่ต่อให้บอกว่าเป็นของอเมริกาก็ไม่แปลกด้วยซ้ำ”
“คราวนี้ต่อให้กลุ่มทุนห้วงเวลาจะผ่านไปได้ แต่ยังไงซะพวกเขาต้องเสียเงินทุนของตัวเองไปอย่างมหาศาลเป็นแน่”

“ฉันก็คิดไว้แล้วว่าไอ้พวกมะกันนั่นไม่คิดจะวางมือ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำเรื่องเลวทรามได้ถึงขนาดนี้” หวังจ้าวที่โทรหาซูจิ้งอยู่ในขณะนี้ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยความเกลียดชังพลางกัดฟันของตัวเองอย่างโกรธแค้น

“ไอ้พวกนั้นมันถือดีว่าตัวเองเป็นตำรวจโลกอยู่แล้วน่า ยังไงซะจะช้าเร็วมันก็ต้องแสดงธาตุแท้ของพวกมันออกมาอยู่แล้ว เราเองควรจะเตรียมการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เอาไงต่อ” หวังจ้าวช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องถามออกมา เขานั้นมีความสามารถพอที่จะกวาดล้างผู้คนมากมายที่ต้องการก่อปัญหากับซูจิ้งได้ก็จริง แต่กลับตัวตนในระดับประเทศนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถ โดยเฉพาะกับประเทศที่ถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้
“ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรหรอก รอฉันไปเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ที่ซูจิ้งพูดออกมาแบบนี้ก็เพราะว่าเขารู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในตอนนี้ไม่สามารถต่อกรกับตัวตนที่อยู่ในระดับประเทศได้อยู่แล้ว
“เดี๋ยวนะ มีข่าวส่งมา” หวังจ้าวได้พูดออกมาก่อนที่จะหยุดเพื่ออ่านข่าวที่เขาพึ่งจะได้รับมา ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไร้สาระ ไอ้พวกเวรนั่นมัน…นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ”
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถามออกมา
“เรือขนส่งสินค้าของพวกเราถูกไอ้เวรมะกันกักเอาไว้ตอนที่กำลังแล่นผ่านช่องแคบมะละกา พวกมันบอกว่าที่ยึดเอาไว้เพราะว่าพวกนั้นคือปฏิสสาร โดยอ้างเหตุผลว่าเพิ่มป้องกันความสงบสุขของโลกใบนี้”
“….อะไรอยู่ในนั้น”
“มือถือกาลเวลากับรถยนต์กาลเวลา….พวกมันมีมูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านหยวน” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว และซูจิ้งได้ขมวดคิ้วในทันที