GGS:บทที่ 1102 ตอบโต้

 

“อาจิ้ง พวกเราจะทำยังไงดี” หวังจ้าวออกมาเพราะรู้ดีว่าตัวเองนั้นไร้พลังพอที่จะต่อกรกับอเมริกาได้ทังในเรื่องนโยบายกีดกันทางการค้าและการที่สินค้าของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯที่โดนกักเอาไว้

ถึงแม้เขาเองในฐานะคุณชายสามนั้นเปรียบได้ดั่งราชาแห่งเมืองปักกิ่ง ตั้งแต่เด็นจนโต เขานั้นไม่เคยที่จะต้องเกรงกลัวผู้ใด แต่เมื่อต้องเจอกับตัวตนระดับประเทศอย่างอเมริกานั้น ต่อให้เก่งในบ้านยังไงก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อออกไปนอกบ้านอยู่ดี

 

ซูจิ้งเองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามออกมาว่า “นายได้ทำประกันสินค้าเอาไว้ใช่รึเปล่า”

“ทำน่ะทำอยู่ แต่ฉันว่ามันก็เท่านั้นนะ อย่าบอกนะว่านายคิดว่าประกันจะยอมจ่ายเงินให้พวกเราเพราะเรื่องที่อเมริกากักสินค้าไว้อย่างนี้น่ะ” หวังจ้าวพูดออกมา

“ในเมื่อนายซื้อเอาไว้แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกน่า นายแค่จัดการเรื่องในกลุ่มทุนก็พอแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา เขานั้นไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดในสิ่งที่เขาจะกระทำอยู่แล้ว เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการบริหารกับหวังจ้าวอีกเล็กน้อยก่อนที่จะวางสายไป

“อเมริกาเหรอ พวกแกคิดว่าฉันจะโดนกินนิ่มได้จริงๆรึไง” ซูจิ้งพูดพึมพำกับตัวเองออกมา เขาใช้ความคิดของตัวเองพักหนี่งจึงได้พูดออกมาว่า “ฉิงหยุน…ค่าการใช้ประโยชน์..”

“ค่าการใช้ประโยชน์ในปัจจุบันมีค่าอยู่ที่ 171,025 หน่วยค่ะ” ฉิงหยุนตอบกลับในทันที

“ก่อนหน้านี้ ค่าการใช้ประโยชน์อยู่ที่ 162,009 หน่วยสินะ อืมมมม เพียงแค่สองวันมานี่ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มมาถึง 9 พันหน่วยเลยแหะ เหมือนว่าตอนนี้อัตราการเพิ่มจะมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร….

 

ดูเหมือนว่าเรื่องปฏิสสารที่ถูกเปิดเผยในครั้งนี้จะส่งให้นานาประเทศตอบสนองในทิศทางที่ดีทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มค่าการใช้ประโยชน์โดยตรงแต่กลับไปเพิ่มอัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์แทนงั้นเหรอเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ประหลาดใจ นี่ค่อนข้างจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้พอสมควรเลยทีเดียว

“นี่เป็นผลมาจากการที่ระบบได้จำลองแล้วว่าการเปิดเผยเรื่องปฏิสสารต่อสังคมในครั้งนี้ทำให้มนุษย์มีความคิดในการพัฒนาตนเองอย่างจริงจังและชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม นี่ถือได้ว่าเป็นผลดีที่ระบบคำนวนมาได้ค่ะ” ฉิงหยุนพูดออกมา

“แล้วหากว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดสงครามล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา

“เรื่องนั้น….แน่นอนว่าจะทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมากค่ะ” ฉิงหยุนตอบออกมา

“แน่นอนสินะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับและในตอนนี้ได้มีความคิดในการจัดการเรื่องปฏิสสารนี้มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการที่เรื่องนี้เป็นฉนวนเหตุแห่งสงครามนั้นจะทำให้เกิดผลด้านลบจนค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมากก็จริง

แต่ด้วยเรื่องปฏิสสารนี้เองก็ได้ทำให้อัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าระบบจะแบ่งการคำนวนค่าเหล่านี้ออกจากกันอย่างชัดเจน

หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือต่อให้เรื่องเลยเถิดจนค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าค่าการใช้ประโยชน์นี้จะลดลงอย่างถาวร แต่จะให้ดีที่สุดก็คงจะเป็นการที่เขาทำให้ทั้งค่าการใช้ประโยชน์และอัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์สูงขึ้นทั้งสองอย่าง

 

ในขณะที่ซูจิ้งกำลังคิดแผนการอยู่นั้น ตอนนั้นเองที่มือถือซูจิ้งได้ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวฉือหลินเขาก็ได้รับในทันที

“นายท่าน พบไอ้สามตัวนั่นแล้วครับ” หลัวฉือหลินพูดออกมา

“เยี่ยม อยู่ที่ไหน” ซูจิ้งได้มีสายตาเป็นประกายในทันที

“พวกมันอยู่ที่เมืองข้างๆ ดูเหมือนว่าพวกมันนั้นถือดีว่าพวกมันหลบเลี่ยงจากการตกเป็นเป้าสายตาได้เก่งจึงได้ละเลยการปลอมตัวทำให้พวกเราสามารถหามันเจอได้ง่ายขึ้น” หลัวฉือหลินพูดออกมา

“เฝ้าพวกมันไว้ ฉันกำลังไป” ที่ซูจิ้งพูดแบบนี้ออกมานั้นเป็นเพราะเขาค่อนข้างกังวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้พอสมควร ความจริงเขานั้นจะให้หลัวฉือหลินพาสายลับทั้งสามมาที่เขาก็ได้ แต่เขานั้นขี้เกียจจะรออีกต่อไปแล้วจึงเลือกที่จะไปด้วยตัวเอง

 

“ตอนแรกฉันก็ยังคิดอยู่ว่าไอ้พวกมะกันนั่นจะเล่นด้วยได้ยากพอดู แต่ในเมื่อเจอพวกเวรตะไลนั่นแล้วฉันก็คงไปขั้นตอนต่อไปได้เลยล่ะนะ” ซูจิ้งคิดไปพลางในขณะที่กำลังขี่หลังอินทรีย์ทองไปยังเมืองข้างๆ

ด้วยความสามารถของเสี่ยวจินนั้นไม่ได้ต่างไปจากเฮลิคอปเตอร์ที่สุดแสนจะรวดเร็วและสะดวกสบายในการบินเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหากพูดถึงความเร็วแล้วเสี่ยวจินนั้นยังเร็วเสียยิ่งกว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่นธรรมดาซะอีก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ซูจิ้งก็ได้ไปถึงเป้าหมายในที่สุด

ในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้รออยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ชายสองคนและหญิงหนึ่งคนได้นอนลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพแสนสาหัส นี่เองก็เป็นผลพวงมาจากท่าการโจมตีจากสแตนด์ของหลัวฉือหลินนั่นเอง

ชายสองคนและหญิงอีกหนึ่งคนนี้ก็คือสายลับที่จับโอฉิงหยุนและทำการทรมานเขาจนตายนั่นเอง

แม้จะอยู่ภายใต้การแกะรอยอย่างหนักของซูจิ้ง หลัวฉือหลิน ซูฉือ และสถานีตำรวจประจำจังหวัดนั้น การที่สามคนนี้อยู่รอดมาได้กว่าสองวันโดยไม่ถูกเจอตัวแบบนี้แสดงว่ามีฝีมือพอสมควรเลยทีเดียว แต่นี่ก็ต้องขอบคุณกระจกย้อนความที่ทำให้ซูจิ้งรู้ใบหน้าของชายสองคนนี้จึงทำให้เขานั้นจับทั้งสามคนได้ โดยที่ชายสองคนนี้ไม่รู้ตัวได้ซ้ำว่าตัวเองนั้นถูกเผยตัวมานานแล้ว หากว่าเป็นคนอื่นล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเจอตัวได้โดยง่าย

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตัวเองถาโถมไปยังจิตใต้สำนึกของสายลับทั้งสามในทันที เมื่อเสร็จสิ้น ทั้งสามถูกบังคับให้ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อทุกคนได้เห็นซูจิ้งแล้วต่างก็มีใบหน้าที่ถอดสีในทันที

ความจริงทั้งสามคนนี้ได้วางแผนไว้ว่าทันทีที่เสร็จเรื่อง ทั้งสามจะรีบกลับไปอเมริกาให้เร็วที่สุด แต่ทั้งสามไม่คิดว่าซูจิ้งจะรู้ตัวได้เร็วขนาดนี้ แถมยังออกหมายจับทั้งสามไปทุกที่ทำให้ทั้งสามไม่สามารถไปยังสนามบินได้จึงคิดว่าจะรอให้เรื่องซาก่อนแล้วค่อยกลับประเทศ แต่ก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะมาเจอตัวได้รวดเร็วแบบนี้

“พวกแกคงรู้จักชายคนนี้สินะ” ซูจิ้งนำรูปของโอฉิงหยุนออกมาให้สามคนดู

หญิงชาวอเมริกาและชายชาวยุโรปหนึ่งอเมริกาหนึ่งต่างก็เงียบไม่พูดอะไรในทันที ในฐานะที่ทั้งสามนั้นเป็นสายลับ แน่นอนว่าย่อมต้องเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถูกจับได้ และทั้งสามก็ถูกฝึกฝนเรื่องนี้ไว้แล้วอย่างดี

“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้นำรูปนี้ออกมาเพื่อจะใช้บังคับถามเพื่อที่จะเอาคำตอบอะไรจากพวกแก ฉันแค่ต้องการให้พวกแกได้รู้เอาไว้เฉยๆว่าทำไมฉันนั้นถึงจะไม่ยอมฆ่าพวกแกให้ตายไปซะพ้นๆก็เท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ในตอนนี้เขาได้ใช้พลังจิตควบคุมสามคนนี้โดยตรง

ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วจะเป็นการอยากที่จะทำให้สายลับสักคนคายสิ่งที่รู้ออกมา แต่กับความสามารถในการสะกดจิตของซูจิ้งแล้ว สามคนนี้ทำได้เพียงคายทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก

ผลก็คือสามคนนี้คือสายลับของอเมริกาที่ถูกส่งมาเพื่อสืบเรื่องราวของสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้ง และเป็นทั้งสามคนนี้เองที่รายงานเรื่องที่สถาบันวิจัยฯของซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารได้ไปยังอเมริกา และด้วยงานนี้ ในทันทีที่ทั้งสามกลับไปถึงอเมริกาได้ พวกเขาจะได้เงินก้อนโตพร้อมตำแหน่งระดับสูง

นอกจากนั้นด้วยการที่ทั้งสามเป็นสายลับมานานพอสมควรทำให้มีข้อมูลภายในขององค์กรสายลับของอเมริกาอยู่บ้าง และแน่นอนว่าซูจิ้งเองก็มีข้อมูลบางส่วนอยู่แล้วเหมือนกัน

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือต่อให้ข้อมูลการสนทนาของสายลับกับอเมริกาจะถูกลบไปแล้ว แต่ด้วยความสามารถของซูฉือและหลัวฉือหลินนั้น บอกได้เลยว่าไม่ยากเย็นอะไรเลยที่จะกู้คืนกลับมา

“แกสามคนจงทำตามที่ฉันบอกซะ…” ซูจิ้งได้ออกคำสั่งให้สามคนนี้ในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้นำกระจกย้อนความพร้อมทั้งกล้องถ่ายรูปออกมาเพื่อจัดการบางอย่าง

 

และด้วยเหตุนี้จะทำให้เขานั้นแก้ไขปัญหาในข้อแรกได้นั่นก็คือการที่จะต้องไปรับมือประชาคมโลก สำหรับประเทศอื่นนอกจากอเมริกาแล้ว หากว่าพวกนั้นเลือกที่จะอยู่ข้างอเมริกาล่ะก็ แน่นอนว่าอเมริกาต้องจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรเพื่อจัดการกับกลุ่มทุนห้วงเวลาอย่างแน่นอน

แต่หากว่าประเทศพวกนั้นไม่ได้ยืนอยู่ข้างอเมริกาล่ะก็ประเทศเหล่านั้นย่อมยินดีที่จะดูอเมริกาตั้งลุกเป็นไฟแต่เพียงประเทศเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าธุรกิจของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯที่มีต่อประเทศเหล่านั้นสมควรที่จะเป็นไปได้ด้วยดี

 

แต่ยังไงซะเรื่องท่าทีของประชาคมโลกนั้นยังไงซะก็ต้องขึ้นอยู่กับสายลับสามคนนี้อย่างช่วยไม่ได้ ด้วยการที่สามคนนี้คือต้นเหตุเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสารนี้

ตราบใดที่หลักฐานที่เขามีนั้นรัดกุม คำพูดจากปากสามคนนี้ถือได้ว่ามีประโยชน์ในการจัดการเรื่องนี้อย่างมาก

หลังจากอัดวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้แล้ว ซูจิ้งก็ได้โทรหาผอ.ของสถาบันความมั่นคงแห่งรัฐในทันที

เขาได้ทำการนัดแนะอะไรกันบางอย่างแล้วดำเนินการตามแผนของเขาในทันที และเพื่อให้สายลับสามคนนี้ได้รับโอกาสจึงได้ให้ทั้งสามคนนี้กลับไปยังอเมริกา

นั่นก็เพราะว่าหากปล่อยให้สามคนนี้ไปจัดการเรื่องนี้ที่อเมริกาล่ะก็ นี่จะกลายเป็นประโยชน์กับกลุ่มทุนห้วงเวลาฯอย่างที่สุด

แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการผิดพลาดและสามคนหลบหนีออกจากแผนการของเขา ซูจิ้งไม่เพียงจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์สายลับทั้งสามคนนี้เท่านั้น ซูจิ้งยังเลือกที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยให้หลัวฉือหลินพาเขาเข้าไปที่นั่น โดยไม่จำเป็นต้องปลอมตัวแต่อย่างใด

และแน่นอนว่าเมื่อใช้ประโยชน์จากสายลับทั้งสามจนเสร็จสิ้น เมื่อนั้นพวกมันก็ควรจะตายได้แล้ว