ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 109 ความคิด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไปชั่วครู่ กล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดเย่ว์เอ๋อร์จึงถามเยี่ยงนี้” 

 

 

หลังจากถามเสร็จแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เสียใจทันที กัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “พี่ใหญ่ พี่อย่าคิดมาก ข้าแค่ถามเท่านั้น ไม่มีอะไร” 

 

 

“วันนี้เจ้าแปลกไป ไม่สบายหรือ” หวงฝู่สือเมิ่งพูดไปด้วย แล้วหันหลังเดินกลับไปยืนข้างๆ นาง ยื่นมือออกไปแตะบนหน้าผากนาง เย็นพอๆ กับตัวเอง 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หลบ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่ถามไปเยี่ยงนั้น พี่มีเรื่องไปหาท่านพ่อท่านแม่มิใช่หรือ พวกท่านอยู่ในห้องของพวกท่าน รีบไปเถิด” 

 

 

รู้สึกว่านางไม่เหมือนคนไม่สบาย หวงฝู่สือเมิ่งจึงวางใจลง แล้วกำชับนางว่า “เจ้าพักผ่อนก่อน หากไม่สบายตรงไหนก็บอกพวกข้า” 

 

 

“ได้ ได้ เจ้าจะบ่นเก่งเหมือนท่านย่าอยู่แล้ว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดล้อเล่นกับนาง 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหัวเราะออกมา ยื่นนิ้วออกมาแล้วกดลงบนหน้าผากนางหนึ่งที “เจ้าคนเนรคุณ ต่อไปดูว่าข้าจะสนใจเจ้าอีกหรือไม่” 

 

 

แม้ว่าปากจะเอ่ยเยี่ยงนี้ แต่มือกลับดึงผ้าห่มขึ้นมา คลุมบนตัวนางเสร็จแล้ว จึงจะหันหลังเดินออกไป 

 

 

เห็นนางเดินออกประตูไปแล้ว รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หายไปทันที ในหัวปรากฎภาพที่ท่าป๋าหั่นหลินช่วยชีวิตตัวเองเมื่อสองปีที่แล้วขึ้นมา สลัดภาพอย่างไรก็ไม่หายไป 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งไปที่ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากเรียกทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มแล้ว จึงกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านพูดอะไรกับเย่ว์เอ๋อร์หรือ หลังจากนางกลับไป สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองลูกสาวคนโตของตัวเอง ทั้งๆ ที่ต่างกับเย่ว์เอ๋อร์แค่เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่นิสัยและอารมณ์กลับแตกต่างกับราวฟ้ากับดิน เมิ่งเอ๋อร์เชื่อฟังตั้งแต่เด็ก ปฏิบัติกับผู้อื่น ก็นึกถึงส่วนรวมเป็นหลัก ดูแลน้องชายน้องสาวเป็นอย่างดี แต่เย่ว์เอ๋อร์กลับเป็นคนอารมณ์ร้อน โมโหง่าย มีเรื่องไม่พอใจอะไร ก็จะโมโหโกรธทันที นานๆ เข้า คนในจวนจึงมีความรู้สึกที่ผิดๆ อย่างหนึ่งคือ เอาใจเย่ว์เอ๋อร์เหมือนเด็กมาตลอด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามนาง เงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณให้นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้านั่งก่อน แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งนั่งลงแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองตานาง แล้วกล่าวว่า “วันนี้ไท่จื่อของรัฐหมิงมา ตั้งใจมาสู่ขอ แต่ถูกท่านปู่ของเจ้าปฏิเสธไปแล้ว” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์ใดๆ แล้วกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “รัฐหมิงไกลเกินไป เมิ่งเอ๋อร์ไม่เคยคิดที่จะไปไกลเยี่ยงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาเป็นไท่จื่อ ไม่ช้าไม่นานก็ต้องเป็นฮ่องเต้ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากไปแย่งชิงความรักจากสตรีมากมาย เมิ่งเอ๋อร์อยากอยู่ที่เมืองหลวง อยู่กับท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ ต่อไปหากแต่งออกเรือนไป ถูกรังแกจากครอบครัวสามี จะได้มีคนคอยหนุนข้า” 

 

 

“แม้ว่าเจ้าจะแต่งไปที่รัฐหมิง หากมีคนกล้าทำให้เจ้าเสียใจ พ่อแม่ก็จะหนุนเจ้าแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่เหมือนกัน หากถึงจุดนั้นจริงๆ ก็คงขาดสงครามไปไม่ได้ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากเห็นภาพนั้น ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าอยู่ข้างๆ ท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวงสบายใจกว่า” 

 

 

ทันทีที่พูดจบ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ กล่าวถามด้วยตาโตว่า “เย่ว์เอ๋อร์อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบังนาง “ท่าป๋าหั่นหลินมาสู่ขอ เจ้าก็รู้ ข้าถามเย่ว์เอ๋อร์แล้ว นางก็มีใจให้ท่าป๋าหั่นหลิน แต่ข้ากับท่านพ่อของเจ้าต่างคิดว่าที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์นั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ จึงบอกเป็นนัยไปหลายประโยค นางจึงรับไม่ได้เล็กน้อย” 

 

 

“ปีนั้นท่าป๋าหั่นหลินได้ช่วยชีวิตน้องเล็กไว้ น้องเล็กใจเต้นกับเขาก็ไม่แปลก หากนางมีใจเยี่ยงนี้ ท่านพ่อท่านแม่ก็ตามใจนางเถิด ต่อไปน้องเล็กจะได้ไม่เสียใจไปตลอดชีวิต” อย่างไงหวงฝู่สือเมิ่งก็ยังอายุน้อยอยู่ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จึงช่วยหวงฝู่เหย่าเย่ว์พูด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าถอนหายใจกี่ครั้งแล้ว “เมิ่งเอ๋อร์ หากเย่ว์เอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่และใจเย็นอย่างเจ้าสักครึ่งหนึ่ง แม่ก็จะตกลงเรื่องแต่งงานนี้ทันที ก็แต่กลัวว่านางแต่งออกเรือนไปไกล หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้พ่อกับแม่จะมีใจแต่ก็ไม่มีแรง” 

 

 

ได้ยินเสียงถอนหายใจของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นมาทันที แล้วเดินไปข้างหน้านาง นั่งข้างๆ นาง ค่อยๆ พิงบนตัวนาง ปลอบใจนางว่า “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจเลย น้องเล็กมิใช่ไม่มีสติ จัดการเรื่องต่างๆ ไม่ได้เหมือนอย่างที่เราเห็น แค่ปกติถูกพวกเราปกป้องไว้ รอให้นางแต่งงานไปแล้ว เวลาที่ต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง กำลังของนางไม่ได้แย่ไปกว่าท่านแม่และท่านย่าแน่นอน” 

 

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” 

 

 

 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ากลับมาที่โรงเตี๊ยม แล้วนอนคว่ำลงไปบนเตียง ในหัวปรากฎภาพสองปีก่อนที่เจอหวงฝู่สือเมิ่ง ความใจเย็นและมีสติตลอดเวลาของนาง ทุกท่าทาง ทุกครั้งที่เข้าใกล้ ยังตราตรึงอยู่ในหัวของเขาเสมอ ไม่เคยลืมเลือน เพื่อนาง สองปีนี้เขาฝึกฝนเรียนรู้ภาษารัฐอู่อย่างหนัก เพื่อเวลาที่ได้พบเจอนาง จะได้ไม่มีช่องว่างในการสนทนา เขายังใช้วิธีอดอาหารเพื่อปฏิเสธการสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีพระชายาเอก จึงทำให้เหล่าขุนนางของรัฐหมิงต่างคิดว่าร่างกายของเขามีปัญหา สายตาที่มองเขาจึงมีความเห็นใจซ่อนอยู่ 

 

 

เขาไม่ได้สนใจสิ่งพวกนี้ เขามุ่งมั่นขยันจัดการเรื่องในราชสำนักกับเสด็จพ่อ เพื่อวันหนึ่งที่ตัวเองต้องขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งนั้น จะได้ให้ชีวิตที่สงบกับนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเคยคิดไว้ว่า ขอแค่นางยินยอม ต่อไปเขาไม่มีวังหลังก็ได้ จะรักแค่นางผู้เดียว แต่วันนี้ สิ่งพวกนี้ได้สลายหายไป ท่านอ๋องฉีและซื่อจื่อไม่ยินยอม แม้แต่หน้านางเขาก็ไม่พบ จึงไม่ต้องพูดว่าจะได้คุยกับนาง 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นคือ จากการได้รู้จักพูดคุยกันทำให้เขารู้ว่า หวงฝู่สือเมิ่งเป็นคนที่เชื่อฟังและใจเย็น ขอแค่คนในจวนอ๋องฉีไม่ยินยอม นางจะไม่มีทางมาพบเขาเป็นการส่วนตัวแน่นอน และไม่มีทางกลับไปรัฐหมิงกับตนแน่นอน 

 

 

ความหวังในหลายปีนี้ได้สลายไปในทันที ในใจของเยียลี่ว์อาเป่าสิ้นหวังมาก จึงหมุดหัวเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยสมองที่ขาวโพลน 

 

 

 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินดื่มมากไปแล้วจริงๆ ใช้มือหยิกต้นขาของตัวเองตลอดเวลา เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่ ทันทีที่รู้สึกได้ว่าโจวอันโยนตัวเองให้ลูกน้องของตน จึงโล่งตัวแล้วเมาไปจริงๆ  

 

 

คนของลูกน้องเคยใช้ชีวิตในเมืองหลวง รู้ว่าโรงเตี๊ยมไหนดี จึงขี่รถม้ามาที่โรงเตี๊ยม แล้วเอาห้องพักที่ดีที่สุดสามห้องแล้วก็ห้องพักธรรมดาหลายห้อง แล้วให้เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบเอาน้ำแกงแก้เมามาทันที 

 

 

ทันทีที่ดื่มน้ำแกงแก้เมาเข้าไป ท่าป๋าหั่นหลินไม่เพียงไม่ตื่นขึ้นมา แต่กลับยิ่งเมามากขึ้น คลานอยู่ข้างเตียง แล้วอ้วกออกมาทันที 

 

 

มีกลิ่นสุราเหม็นหึ่งไปเต็มห้อง ลูกน้องปิดจมูก แล้วเรียกพนักงานมาทำความสะอาดทันที 

 

 

วุ่นวายอย่างนี้หลายครั้ง จนอ้วกสุราในท้องออกมาจนหมด ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะหยุดลง ลูกน้องก็โล่งอกทันที พนักงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหม็นจนเกือบสลบไปทันที 

 

 

ลูกน้องก็รู้สึกผิด จึงโยนตั๋วเงินให้พนักงานไปสองตำลึงแล้วกล่าวว่า “วันนี้รบกวนเจ้าแล้ว เงินนี้ให้เจ้า” 

 

 

ถือตั๋วเงินไว้ พนักงานก็ไม่มีคำบ่นอะไรอีก กล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ หากท่านมีเรื่องอะไรอีก สั่งมาได้เลยขอรับ” 

 

 

“รบกวนเอาน้ำกงแก้เมามาอีกหนึ่งถ้วย” 

 

 

“ได้ขอรับ” พนักงานรับคำสั่งอย่างดีใจ แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่างทันที ไม่นานก็ยกน้ำแกงแก้เมาหนึ่งถ้วยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ให้ข้าเถิด หากมีเรื่องอะไรอีกพวกข้าจะเรียกเจ้า” ลูกน้องรับมา แล้วไล่พนักงานออกไป 

 

 

พนักงานฟังเข้าใจ แล้วหันหลังลงไปชั้นล่างทันที 

 

 

ทันทีที่น้ำแกงแก้เมาถ้วยนี้เข้าไปในท้อง ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มสร่างเมาเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา มองรอบห้องทีที่แปลกตา แล้วกล่าวถามด้วยความสงสัย และคำพูดที่ไม่ชัดเจนว่า “ที่นี่คือที่ใด” 

 

 

“เจ้านาย ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านออกมาจากจวนอ๋องฉีแล้วขอรับ” 

 

 

“ออกมาแล้ว” ดูเหมือนว่าท่าป๋าหั่นหลินจะโล่งอกทันที พูดกับตัวเองว่า “ออกมาแล้ว ข้าจะได้นอนอย่างสบายใจจริงๆ ” 

 

 

พูดจบ ก็ค่อยๆ ปิดตาลงทันที 

 

 

ทันทีที่ลูกน้องหันหลังไป จะเดินออกจากห้อง ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วสั่งว่า “ข้าจะนอนหลับอย่างจริงจัง แม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา พวกเจ้าก็อย่ามารบกวนข้า รอให้ข้าตื่นขึ้นมา ค่อยไปหาฮ่องเต้รัฐอู่ที่วัง” 

 

 

ลูกน้องรับคำสั่ง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะเริ่มปิดตาลงอีกครั้ง ไม่นานก็มีเสียงกรนดังออกมา 

 

 

ลูกน้องเดินออกไป ค่อยๆ ปิดประตูห้อง แล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกห้อง 

 

 

สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดมาที่จวนอีก ท่านอ๋องฉีจึงคลายความกังวลใจที่มีในสองวันนี้ ดูเหมือนว่าเยียลี่ว์อาเป่าจะกลับไปแล้ว ส่วนท่าป๋าหั่นหลินนั้น หากกล้าโผล่มาที่จวนอีก เขาก็กล้าสั่งคนตีเขาออกไป 

 

 

เขาคิดเยี่ยงนี้ ท่าป๋าหั่นหลินก็คิดได้ว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ จึงไม่กล้ามาที่จวนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนตี นอนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งวัน หลังจากสร่างเมาแล้ว ก็ล้างหน้าล้างตัวให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งรถม้าเข้าไปพบหวงฝู่ซวิ่นในวังทันที 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นได้รับรายงาน ก็เรียกเขาให้ไปตำหนักหยางซิน 

 

 

หลังจากทำความเคารพแล้วนั่งลงแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็กล่าวถามตรงๆ ว่า “วันนั้นข้าลืมถามเจ้า ว่าเจ้ามีฮองเฮาหรือไม่” 

 

 

วันนั้นหวงฝู่ซวิ่นไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากสร่างเมาแล้ว คิดขึ้นได้ ก็ตกใจจนเหงื่อออก หากท่าป๋าหั่นหลินมีฮองเฮาแล้ว ยังมาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ คิดว่าท่านลุงไม่เพียงจะตีขาของท่าป๋าให้หัก ตำหนักหยางซินของตนก็ต้องถูกรื้อถอนแน่นอน ฉะนั้น ทันทีที่เจอหน้า จึงถามคำถามนี้ขึ้นมา 

 

 

ท่าป๋าลุกขึ้นตอบว่า “ฮ่องเต้รัฐอู่วางใจเถิด ท่าป๋าเพิ่งจะสืบทอดบัลลังก์ได้ไม่นาน มุ่งมั่นแต่เรื่องบริหารจัดการรัฐ ไม่เพียงแต่ไม่มีฮองเฮา แม้แต่วังหลังก็ว่างเปล่า หลังจากท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานไป ก็จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในวังหลังของข้า” 

 

 

สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ไม่เชื่อเล็กน้อย เขาก็เป็นฮ่องเต้ เขารู้ว่าต้องใช้วังหลังเพื่อรักษาความสมดุลของอำนาจของเหล่าขุนนาง ฉะนั้นแม้ว่าจะไม่ชอบใจ ผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็จะคัดเลือกลูกสาวของเหล่าขุนนางที่สำคัญเข้าวัง 

 

 

เหมือนจะเข้าใจความคิดของเขา ท่าป๋าหั่นหลินจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากฮ่องเต้รัฐอู่ไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบที่รัฐอิงได้” 

 

 

“ไม่ต้อง ข้าเชื่อเจ้าแน่นอน ถ้าเยี่ยงนั้น เรื่องที่เจ้าสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ ข้าตกลง แต่ฝั่งเสด็จอานั้น ข้าจะไม่ช่วยเจ้าพูด เจ้าจะต้องทำให้เสด็จอายินยอมด้วยตัวเอง” 

 

 

นี่คือตรงตามความต้องการของท่าป๋าหั่นหลินเลย ขอแค่เขาไม่ขัดขวาง เรื่องสู่ขอก็ง่ายขึ้นมาทันที จึงลุกขึ้น แล้วทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้รัฐอู่” 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “รอให้เจ้าสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์แล้ว ค่อยเอ่ยประโยคนี้เถิด”