ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตีออกมา ท่าป๋าหั่นหลินจึงไม่ได้ไปสู่ขอที่จวน แต่หลังจากนอนคิดอยู่บนเตียงที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาสองวันแล้ว ในที่สุดก็คิดได้หนึ่งวิธี รีบลุกขึ้นทันที แล้วสั่งให้ลูกน้องขี่ม้าเร็ว ส่งจดหมายหนึ่งฉบับกลับไปที่รัฐอิง ให้เสด็จแม่ของตน
ท่าป๋าหั่นหลินอายุสิบแปดปีแล้ว สืบทอดบัลลังก์ก็สามปีแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮา แม้แต่พระสนมก็ไม่มี ไทเฮาคิดว่าร่างกายของเขามีปัญหา จึงพูดเป็นนัยกับเขาหลายครั้งว่าหากไม่อยากให้หมอหลวงตรวจรักษา ก็ให้หาหมอเก่งในหมู่ประชาชนมารักษา หลังจากท่าป๋าหั่นหลินได้ยินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถูกกดดันจนจนใจ จึงต้องโกหกไปว่าตนนั้นถูกใจท่านหญิงเล็กของจวนอ๋องฉีในรัฐอู่ แต่ว่านางอายุยังน้อย ยังไม่ได้เข้าสู่วัยสาว ยังสู่ขอไม่ได้ ต้องรอให้นางโตก่อน
ไทเฮาก็เป็นคนรัฐอู่ ตอนนั้นได้ถูกฮ่องเต้องค์เดิมที่ออกมาเดินเที่ยวเล่นถูกใจเข้า จึงถูกนำตัวเข้ามาในวังหลัง และเป็นที่ชื่นชอบมานานหลายปี วันนี้ได้ยินว่าท่าป๋าถูกใจท่านหญิงเล็กของจวนอ๋องฉีในรัฐอู่ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเร่งอีกเลย ได้แต่นับวันรอหวงฝู่เย่าเย่ว์เติบโตทุกวัน ครั้งนี้ที่ท่าป๋าหั่นหลินไปรัฐอู่นางก็รู้ ตั้งแต่เขาเดินทางไป นางก็สั่งให้คนไปเฝ้าอยู่นอกประตูวังทุกวัน เพื่อดูว่าท่าป๋าหั่นหลินมีข่าวสารอะไรส่งมาหรือไม่
ทันทีที่ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลินกลับมาถึงเมืองหลวง ไทเฮาก็ได้รับข่าวทันที จึงรีบสั่งให้เขามาเข้าเฝ้าทันที
ไม่รอให้กล่าวถาม ลูกน้องหยิบจดหมายออกมาจากอกหนึ่งฉบับ แล้วยื่นให้นางด้วยความเคารพทันที
หลังจากไทเฮาดูจบ สีหน้าดีใจบนใบหน้าก็ปกปิดไม่อยู่ แม้แต่ขนคิ้วบนใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มออกมา จึงรีบสั่งคนให้เตรียมสิ่งของให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้คนส่งสิ่งของทั้งหมดไปที่เมืองหลวงรัฐอู่
รถม้าสิบกว่าคันเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย ด้านหลังมีเหล่าทหารจากรัฐอิงติดตามมาร้อยกว่าราย หลังจากหลินจ้งที่เฝ้าชายแดนเห็นเข้า ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ลงมาจากหอประตูเมืองด้วยตัวเอง มาถึงหน้าประตูเมือง ขัดขวางพวกเขาไว้
ลูกน้องก้าวออกมา แล้วรายงานว่าสิ่งของพวกนี้เป็นสิ่งของที่ท่าป๋าหั่นหลินจะนำไปสู่ขอที่จวนอ๋องฉี
หลังจากที่หลินจ้งฟังจบ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวถามว่า “สู่ขอผู้ใด”
“ท่านหญิงหวงฝู่เย่าเย่ว์ ฮ่องเต้รัฐอู่ได้ตกลงแล้ว เจ้านายของข้าจึงให้ข้ากลับไปเอาสิ่งของพวกนี้มา”
หลินจ้งยิ่งสงสัยในใจมากขึ้นไปอีก ไม่ให้ทหารตรวจสอบ ลงมือตรวจสิ่งของพวกนี้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว เป็นของกำนัลทั้งหมดจริงๆ จึงโบกมือ ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเขตชายแดน เมื่อเห็นว่ารถม้าไปไกลแล้ว ก็ยังคงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ จึงครุ่นคิดไปชั่วครู่ แล้วกลับมาที่จวน เขียนจดหมายให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เขียนความคิดของตัวเองลงไปในจดหมายตรงๆ ว่า เขาคิดว่าท่าป๋าหั่นหลินนั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ การแต่งงานครั้งนี้อยากให้เขาคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ ให้เขาคิดอย่างถี่ถ้วนก่อน หลังจากนั้นก็สั่งให้คนขี่ม้าไปส่งที่จวนอ๋องฉีให้เร็วที่สุด
ม้าที่คนส่งจดหมายขี่นั้นเป็นม้าเร็ว จึงมาถึงเมืองหลวง และจวนอ๋องฉีก่อน
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนได้รับจดหมายแล้ว ก็เปิดออก แล้วอ่านจนจบ ระงับอารมณ์ของตัวเอง เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าที่ท่าป๋าหันหลิ่นสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์นั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ แต่ก็หาหลักฐานไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนนี้แม้แต่หวงฝู่ซวิ่นก็สนับสนุนการแต่งงานในครั้งนี้ ตัวเยว์เอ๋อร์เองก็มีใจ ช่วงนี้โยวเอ๋อร์ก็ได้พูดคุยกับเสด็จพ่อเสด็จแม่หลายครั้ง ให้พวกเขาได้เตรียมใจไว้ หากเย่ว์เอ๋อร์ยืนยันว่าตกลง พวกเขาจะได้ไม่ขัดขวางมากเกินไป
ได้ยินว่าท่าป๋าหั่นหลินได้สั่งให้คนส่งสิ่งของมากมายจากรัฐของตัวเองมา ท่านอ๋องฉีก็โมโหเป็นอย่างมาก จะส่งคนไปขัดขวางทันที เขาคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วพวกข้าจะตกลงหรือ ฝันไปเถิด
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ “เสด็จพ่อ วันที่เย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว ความหมายของพี่ใหญ่นั้นชัดเจนมากแล้ว หากท่านส่งคนไปขัดขวาง นั้นเท่ากับว่าเราไม่ไว้หน้าเขา ไม่ได้จริงๆ แม้ว่าความสัมพันธ์จริงๆ ของเราจะเป็นเยี่ยงไร แต่หวงฝู่ซวิ่นก็คือฮ่องเต้ พวกเขาเป็นขุนนาง เกียรติที่ควรให้ก็ต้องให้ ห้ามให้เหล่าขุนนางและประชาชนทุกคนบอกว่าจวนอ๋องฉีของเราไม่ไว้หน้าฮ่องเต้ ถ้าเยี่ยงนั้นไม่ดีจริงๆ”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลานสาว ท่านอ๋องฉีจะฟังเข้าหูได้อย่างไร ยืนยันว่าจะส่งคนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราก็เรียกเย่ว์เอ๋อร์เข้ามาถามเถิด ฟังความคิดของนางเองจะดีกว่า”
ท่านอ๋องฉีทำอะไรไม่ได้ จึงเรียกหวงฝู่เย่าเย่ว์มา ถามความคิดของนางด้วยตัวเอง “เย่ว์เอ๋อร์ พวกข้าได้รับข่าวมาว่า ท่าป๋าหั่นหลินได้สั่งให้คนส่งสิ่งของจากรัฐอิงเพื่อมาสู่ขอที่เมืองหลวง ไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว ปู่อยากถามเจ้า ว่าเจ้ามีความคิดอย่างไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดริมฝีปาก มองท่านอ๋องฉี มองพระชายาฉี แล้วก็มองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว บนใบหน้าไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย ดึงปลายกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลงไปทันที “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ยกโทษให้เย่ว์เอ๋อร์ด้วยที่อกตัญญู เย่ว์เอ๋อร์อยากแต่งงานกับเขาเจ้าค่ะ”
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินนางเอ่ยเยี่ยงนี้ ท่านอ๋องฉีก็ยังคงรับไม่ได้ ลุกขึ้นมา แล้วตะคอกนางว่า “นี่เจ้า….” แต่หลังจากเอ่ยออกมาได้เท่านี้ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
พระชายาฉีก็ตาโตเล็กน้อย นางไม่คิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะมีใจให้ท่าป๋าหั่นหลินจริงๆ
รู้สึกถึงความโมโหของท่านอ๋องฉี หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงคุกเข่าหลังตรงแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ เย่ว์เอ๋อร์รู้ว่าทำให้ท่านผิดหวัง แต่สองปีก่อน ตอนที่ท่าป๋าหั่นหลินได้เสี่ยงชีวิตช่วยหลานไว้ ทำให้หลานไม่ตกเข้าไปในกองไฟ จนถูกเผาไปทั้งตัว ใจของหลานก็อยู่ที่เขาไปแล้ว หากเขาไม่มาสู่ขอ หลานก็จะไม่เอ่ยขึ้นมา ให้พวกท่านจัดเตรียมงานแต่ง แล้วแต่งออกเรือนไปอย่างไม่ปฏิเสธ ดูแลสามีและสั่งสอนลูกๆ อยู่ที่เมืองหลวงไปตลอดชีวิต อยู่ข้างๆ พวกท่าน แต่วันนี้เขามาแล้ว มาสู่ขอแล้ว หลานไม่อยากฝืนใจตัวเอง หลานหวังที่จะแต่งงานกับเขาเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่มีสมองหรือ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าที่เขาสู่ขอเจ้านั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่” สิบห้าปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องฉีใช้คำพูดที่ผิดหวังด่าว่าหวงฝู่เหย่าเยว์ ไม่เพียงเท่านี้ ยังทนแทบไม่ไหวอยากจะเปิดศีรษะของนางดู วาข้างในนั้นมีสมองหรือไม่ เด็กที่เขาใช้ความคิดและกำลังทุกอย่างอบรมสั่งสอนออกมาด้วยตัวเอง ไม่ควรโง่เขลาเยี่ยงนี้
หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปาก อยากจะเอ่ยอะไรออกมา เสียงโมโหของท่านอ๋องฉีก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ปีนั้นที่พวกเราอยู่บนสะพานที่เจียงหนาน หญิงสาวพวกนั้นที่มาจับตัวเจ้า แท้จริงแล้วใครเป็นคนส่งมา แล้วเพราะเหตุใดท่าป๋าจึงปรากฏตัวที่เจียงหนาน หรือว่าฮ่องเต้อย่างเขา ว่างจนมาเดินเที่ยวในรัฐอู่หรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดริมฝีปากแน่น กัดจนเลือดออกเป็นรอยฟันจึงจะปล่อย “ท่านปู่ ข้ารู้ว่าท่านสงสัยเขามาตลอด หลานก็สงสัยมาตลอด แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เขาช่วยชีวิตข้าคือเรื่องจริง ช่วยชีวิตครอบครัวเราสี่คนก็คือเรื่องจริง หากมิใช่เขา ตอนนี้พวกเราอาจเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมีความคิดแอบแฝงอยู่ แต่จากการที่เขาเสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราไว้ เขาบาดเจ็บโดนพิษ ก็ถือว่าชดเชยแล้ว”
ได้ยินนางเอ่ยเยี่ยงนี้ ท่านอ๋องฉีจึงกล่าวอย่างใจเย็นและช้าๆ ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ หากเจ้าอยากจะแต่งงานกับเขา เพราะเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่จำเป็น เพชรพลอยเงินทอง สิ่งของทุกอย่าง รวมถึงจวนนี้ หากเขาอยากได้ ปู่สามารถให้เขาทั้งหมดอย่างไม่เสียดายเลย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งชีวิต ประมาทไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้า…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกน้ำเสียงที่มั่นคงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ขัดขวางไว้ “ท่านปู่ ที่ข้าแต่งงานกับเขาไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตข้าไว้ แต่เป็นเพราะข้าชอบเขา ขอแค่ท่านตกลงเรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์กับเขา ไม่ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไร เยว์เอ๋อร์จะไม่เสียใจภายหลัง”
“เจ้า!”
ท่านอ๋องฉีโกรธจนพูดไม่ออกอีกครั้ง ล้มลงบนเก้าอี้
พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วกล่าวปลอบใจท่านอ๋องฉีว่า “หากใจของเย่ว์เอ๋อร์เป็นเยี่ยงนี้ พวกเราก็ตามใจนางเถิด พวกเราอาจคิดมากไปเองทั้งหมดก็เป็นได้”
ท่านอ๋องฉีไม่พูดจา ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ส่งสัญญาณให้เขาตามออกไป
เห็นทั้งสองเดินออกจากห้องไป พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด พวกข้าเข้าใจความคิดของเจ้าแล้ว”
เห็นท่านอ๋องฉีเดินออกไปด้วยสีหน้าขุ่นเคือง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยดี หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กล่าวออกมาหนึ่งคำว่า “ท่านย่า”
ยังไม่ทันเอ่ยประโยคที่เหลือออกมา ก็ถูกพระชายาฉีโบกมือห้ามไว้ “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว กลับไปพักที่ห้องเถิด อีกไม่กี่วัน ท่าป๋าหั่นหลินก็จะมาสู่ขอที่จวนแล้ว พวกข้าจะตกลงแน่นอน”
คำพูดที่หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะพูดติดอยู่ที่คอ รู้สึกได้ว่าท่าทีของพระชายาฉีนั้นไม่เหมือนเคย จึงเสียใจเป็นอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำ ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที
มองนางวิ่งพุ่งออกไป พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ การแต่งงานครั้งนี้ทำไมข้าจึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไผ่กั้นที่เอนไปมา ไม่พูดจา
หวงฝู่เย่าเย่ว์วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง นอนคว่ำหน้าลงไปบนเตียง ดึงผ้าห่มปิดตัวเองไว้อย่างเสียใจ ตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาเงียบๆ เช่นนี้
หวงฝู่สือเมิ่งกำลังเย็บปักถักร้อย ตกใจเป็นอย่างมากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์พุ่งเข้ามา ยังไม่ทันกล่าวว่านางที่ไม่ใจเย็นเหมือนผู้หญิง เห็นท่าทางทุกอย่างของนางแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที วางงานบนมือลง แล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที เดินมาข้างเตียงนางแล้วนั่งลง ยื่นมือออกมา ดึงผ้าห่มของนาง ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์เป็นอะไร ใครรังแกเจ้า บอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะไปแก้แค้นให้เจ้า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์จับผ้าห่มไว้แน่นไม่ปล่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังออกมาจากใต้ผ้าห่มว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพักก็พอ”
ฟังเสียงสะอึกสะอื้นของนาง หวงฝู่สือเมิ่งตกใจเป็นอย่างมาก พวกนางสองพี่น้องโตมากับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก ไม่เคยพบเจอเรื่องให้เครียด หรือเรื่องวุ่นวายใจเลย สำหรับพวกนางน้ำตาเป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นจากดวงตาของผู้อื่น ตัวพวกเขาเองนั้นไม่เคยร้องไห้เลย หวงฝู่สือเมิ่งจึงยิ่งไม่วางใจ จึงใช้แรงดึงผ้าห่มออก เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจว่า “บอกพี่ใหญ่ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้นางฟังด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
หวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ จึงวางใจลง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้คือเพราะเหตุนี้ เจ้าอย่าโทษท่านปู่ ท่านย่าพวกท่านเลย มิใช่ว่าพวกท่านไม่ตกลงเรื่องแต่งงานของเจ้า แต่แค่อาลัยอาวรณ์ที่เจ้าแต่งออกเรือนไปไกลเท่านั้นเอง”