บทที่ 1384 : ข้าจะฆ่าเจ้า
“น้าหญิงข้าลำบากใจที่จะพูดยิ่งนัก..”
หลิงหยุนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับออกห่างจากฉินตงเฉี่วย พร้อมกับทำเป็นพูดเสียงเบา “ข้ากรงว่าหากพูดออกไป ท่านจะตีข้าน่ะสิ!”
“นี่..ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นนั้น!”
ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วพร้อมกับเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม “หลิงหยุน.. เจ้าพูดมาเถิดนะ! เจ้าสามารถบอกกับข้าตรงๆได้ ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องความเจ็บปวดแล้วล่ะก็.. เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย จะมีความเจ็บปวดใดมากเท่ากับเมื่อครั้งที่ข้าทำลายวรยุทธตนเองอีกเล่า ครั้งนั้นข้ายังสามารถทนได้เลย..”
แต่หลิงหยุนกลับยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า“เอ่อ.. ไม่ใช่เรื่องความเจ็บปวด เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด” “แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่”
ฉินตงเฉวี่ยแผดเสียงออกมาด้วยความโมโห“เจ้าเด็กตัวแาบ หากเจ้ายังไม่รีบพูดมาแล้วล่ะก็ ข้าจะตีเจ้าจริงๆแน่!”
ระหว่างที่พูดฉินตงเฉวี่ยก็กำหมัดเตรียมชกเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า แม้ฉินตงเฉี่วยจะไม่มีวรยุทธ แต่กำปั้นของนางนั้นก็แข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากการฝึกดาราคุ้มกาย และสามารถชกหินก้อนใหญ่แตกได้ทีเดียว..
“ได้ๆข้าพูดแล้วน้าหญิง..”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาพร้อมกับโน้มตัวเข้าไปหาฉินตงเฉวี่ย และรีบกระซิบคำพูดข้างๆหูของนาง
“….”
ใบหน้างดงามของฉินตงเฉวี่ยเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นในทันทีไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ผิวขาวทั่วเรือนร่างของนางก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเช่นกัน นางร้องตะโกนออกมาด้วยความเขินอาย..
“เจ้าเด็กตัวแสบนี่เจ้าวอนหาที่ตายงั้นรึ”
ฉินตงเฉวี่ยไม่รอให้พูดจบด้วยซ้ำไปกำปั้นของนางชกตรงเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างแรง แต่หลิงหยุนก็สามารถกระโดดหลบได้ทัน และร้องตะโกนออกไปว่า
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้..”
แต่ฉินตงเฉวี่ยไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นนางกระโดดตามหลิงหยุนไป จากนั้นทั้งหมดทั้งเท้าก็กระหน่ำใส่ร่างของหลิงหยุนเต็มที่
ในขณะที่ไป๋เซียนเอ๋อเอาแต่นั่งกอดหมอนอิงมองดูหลิงหยุนโดนฉินตงเฉี่วยทำโทษด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เซียนเอ๋อนี่เจ้าไม่ห่วงข้าเลยงั้นรึ”
หลังจากที่จัดการกับหลิงหยุนจนหนำใจแล้วฉินตงเฉวี่ยก็กลับไปนั่งที่โซฟาเช่นเดิม แต่ท่าทางของนางยังคงเขินอายอยู่ไม่น้อย และแทบอยากจะหนีออกไปจากห้องรับแขกนี้โดยเร็ว
“เจ้าเด็กตัวแสบ..บอกข้ามาตามความจริง มีวิธีใดที่จะสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่”
ในที่สุดฉินตงเฉวี่ยก็กัดฟันถามหลิงหยุนออกไป..
“ไม่มี!”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่ให้ฟื้นฟูพลัง..”ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับทันที
“น้าหญิง..ด้วยความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้ ข้ามั่นใจว่าท่านจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!” หลิงหยุนสวนขึ้นทันทีเช่นกัน
“เจ้าฝันไปเถอะ!”ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนออกไปพร้อมกับคว้าหมอนมาปาใส่หลิงหยุน
“ข้าไม่ฟื้นฟูพลังแล้วนับจากนี้ไปก็เป็นคนธรรมเช่นนี้..”
ไม่มีทางที่ฉินตงเฉวี่ยจะยินยอมทำเช่นนั้นแน่..
“น้าหญิง..หากท่านตัดสินใจเช่นนั้นจริงๆข้าก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเชื่อฟังและทำตามที่ท่านต้องการ!”
หลิงหยุนค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เจ้า..เจ้าต้องบอกเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นให้ข้าฟังก่อน!”
ฉินตงเฉวี่ยถามถึงเหตุผลในการทำเช่นนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองจะไม่ถูกหลิงหยุนหลอก..
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งฉินตงเฉวี่ยก็พูดขึ้นว่า “จุดตันเถียนของพ่อเจ้าถูกทำลายให้เสียหายนานถึงสิบเก้าปี เจ้ายังใช้พลังวิเศษของเจ้ารักษาให้หายได้เลย แล้วเหตุใด.. ข้าจึงต้อง…!”
ฉินตงเฉวี่ยได้แต่หน้าแดงและไม่สามารถพูดประโยคนั้นออกมาได้ เวลานี้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวราวกับถ่านไฟร้อนๆ
หลิงหยุนทำสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง“น้าหญิง ข้ารักษาท่านครั้งนี้ไม่เพียงแค่ต้องการฟื้นฟูพลังให้ท่าน..”
“การฟื้นฟูจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณที่เสียหายนั้นหาใช่เรื่องยากเย็นอันใดไม่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้ามาก! แต่หากต้องการที่จะให้พลังของท่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ในทันทีนั้น ย่อมมีหนทางเดียวที่ข้าบอกเท่านั้น..”
“หลังจากที่ข้ารักษาจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณให้กับท่านจนหายดีแล้วต่อให้ท่านเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง หากโชคดี ก็เพียงแค่ได้พลังปราณซึ่งเกิดจากการฝึกวิชากระจอกๆของสำนักดาบสวรรค์กลับคืนมาเท่านั้น เช่นนี้แล้ว.. ที่ท่านยอมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัจากการทำลายวรยุทธตนเองนั้น เพื่อสิ่งใดกันเล่า ท่านทุ่มเทมากมายเช่นนั้น แต่กลับเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์..”
หลังจากได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนในที่สุดฉินตงเฉวี่ยก็กัดฟันพูดออกไปว่า “ข้าเข้าใจแล้ว.. เอาล่ะ เจ้าบอกเหตุผลข้ามา!”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับเริ่มอธิบาย.. “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับร่างกายของเท่าน..”
“น้าหญิงกายของท่านคือธาตุทองและธาตุไฟ ธาตุสองธาตุที่ทำลายกัน แต่กลับมาอยู่ร่วมกันเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากนักบนโลกใบนี้ ในวันข้างหน้าข้าจึงต้องการให้ท่านฝึกวิชามังกรทองคะนอง และวิชาหงส์เล่นไฟไปพร้อมๆกัน”
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการฝึกวิชาทั้งสองนี้ขั้นแรกคือต้องใช้พลังปราณกำจัดของเสียในร่างกายของท่านออกให้หมด จากนั้นจึงค่อยทำการชำระล้างไขกระดูกของท่าน หลังจากนั้นเมื่อท่านฝึกวิชาทั้งสองที่ข้าบอกไป ความก้าวหน้าก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมมากถึงสองเท่า ซึ่งจะสามารถก้าวหน้าได้เร็วกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปอย่างมาก..”
“ขั้นตอนนี้ยังไม่มีอะไรนัก..แต่ความลำบากจะอยู่ที่ขั้นตอนที่สอง!”
“ในขั้นตอนที่สองนี้ข้าจะทำการรักษาฟื้นฟูจุดตันเถียนและเส้นลมปราณให้กับท่าน จากนั้นจะช่วยท่านฝึกฝนวิชาทั้งสองนี้ และช่วยเปิดจุดซือไห่นำท่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ด้วย!”
“ในขั้นตอนนี้..ข้าจำเป็นต้องทำสองสิ่งในคราวเดียว นั่นก็คือปกป้องจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของท่าน และทำการเปิดจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วให้กับท่านไปพร้อมๆกันด้วย ในขณะเดียวกันก็ยังต้องทำเรื่องที่สำคัญอย่างมากไปด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือการถ่ายเทพลังของอสุนีบาตุธาตุทอง และธาตุไฟลงไปในร่างของท่านด้วย..”
“พลังของอสุนีบาตธาตุทองนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่พลังอสุนีบาตธาตุไฟต่างหากที่เป็นปัญหา.. เอ่อ.. คือเมื่อถึงเวลานั้น ร่างกายของท่านจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก และเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่อยู่จะถูกความร้อนเผาไหม้จนไม่หลงเหลือ…”
หลิงหยุนทำตาโตในขณะที่พูดต่อว่า“น้าหญิง.. เวลานี้ต่อให้ข้าแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ข้าก็ยังไม่ใช่เทพ ที่จะสามารถปกป้องเสื้อผ้าของท่าน ไม่ให้ถูกความร้อนเผาไหม้ได้ในขณะที่ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกันเช่นนั้น…”
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นผายออกพร้อมกับสรุปสั้นว่า“ข้าพูดจบแล้ว!”
ฉินตงเฉวี่ยเข้าใจเหตุผลได้ในทันทีแต่ใบหน้างดงามของนางก็ยังคงแดงก่ำด้วยความเขินอาย และเวลานี้ภายในจิตใจของเธอก็กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง
“ต้อง..ต้องเป็นเช่นนี้จริงๆงั้นรึ!”
ฉินตงเฉวี่ยร้องตะโกนถามออกมาด้วยความสับสนและไม่สามารถตัดสินใจได้..
“มันต้องเป็นเช่นนั้น!”
หลิงหยุนย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนฉินตงเฉวี่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“น้าหญิง..ระหว่างที่ถึงเวลานั้น ท่านจะต้องควบคุมจิตใจให้จดจ่อเป็นสมาธิอยู่กับการรักษาเท่านั้น หากท่านยังสับสนเช่นนี้ ข้ารับรองได้ว่าท่านต้องลมปราณแตกซ่าน และกลายเป็นมารแน่ๆ!” “หากท่านไม่เชื่อคำพูดของข้าท่านก็ถามเซียนเอ๋อดูได้เลย..”
หลิงหยุนดึงเอาไป๋เซียนเอ๋อเข้ามาร่วมเกลี้ยกล่อมด้วย..
“เซียนเอ๋อ..”
เสียงของฉินตงเฉวี่ยเบาราวกับเสียงยุงและหันไปมองไป๋เซียนเอ๋อด้วยแววตาอ้อนวอน..
“อืมมม…”
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวอยู่เช่นนั้นเพราะนางเองก็เป็นจิ้งจอกไฟ การฝึกวิชาที่เกี่ยวกับธาตุไฟ นางก็ต้องประสบกับสถานการณ์ลักษณะนี้เช่นกัน
แต่ฉินตงเฉวี่ยยังคงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก“เซียนเอ๋อ.. เมื่อครั้งที่อยู่ในงานชุมนุมชาวยุทธ ข้าก็เห็นเจ้าใช้ไฟในการต่อสู้ แต่เหตุใดไฟพวกนั้นไม่เผาผลาญเสื้อผ้าของเจ้าด้วยเล่า”
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับอธิบายแทนไป๋เซียนเอ๋อ“น้าหญิง.. นั่นคือการใช้วิชาที่มีไฟเป็นอาวุธ ไฟเหล่านั้นจึงจะไม่ทำร้ายผู้ใช้ เช่นเดียวกับยันต์เตโชของข้าอย่างไรเล่า ผู้ใช้จะไม่รู้สึกร้อน หรือถูกเปลวไฟเผาผลาญ..”
“เอ่อ…”ฉินตงเฉวี่ยได้แต่นิ่งอึ้งไป..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า“น้าหญิง.. เรื่องนี้ท่านค่อยๆตัดสินใจไปก็ได้ ข้ายังอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน อย่าได้กังวลใจไปนัก พวกเรายังมีเวลา..”
จากนั้น..บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด แม้แต่เข็มสักเล่มหล่นก็คงได้ยินอย่างชัดเจน!
เห็นได้ชัดว่าใบหน้างดงามของฉินตงเฉวี่ยนั้นมีท่าทีลังเลอึกอัก เขินอาย และไม่สามารถตัดสินใจได้ แต่แล้วจู่ๆ อาการเหล่านั้นก็มลายหายไปจากใบหน้า เหลือเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่น!
ท้ายที่สุด..ฉินตงเฉวี่ยก็ตอบกลับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง “เอาล่ะ.. ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ พวกเราเริ่มตอนนี้เลย!”
“เอ่อ…”
ครั้งนี้กลับเป็นหลิงหยุนที่หน้าแดงขึ้นมาแทนแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าในที่สุดฉินตงเฉวี่ยก็จะต้องตอบตกลง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่านางจะตัดสินใจได้รวดเร็วเช่นนี้!
“เซียนเอ๋อ..เจ้าออกไปข้างนอกก่อน ไปชายหาดดูทะเลก่อนก็ได้!”
และนี่คืออุปนิสัยของฉินตงเฉวี่ยหากนางตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดแล้ว นางก็ไม่เคยคิดที่จะถอยหลังกลับ แต่เมื่อคิดถึงภาพน่าอายที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ นางก็ไม่ต้องการให้บุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย..
แม้ว่าสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ฉินตงเฉวี่ยจะสนิทสนมกับไป๋เซียนเอ๋อมากเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่สะดวกใจที่จะให้ไป๋เซียนเอ๋อเห็นนางอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนั้น ถึงแม้นางจะรู้ดีว่าต่อให้ไป๋เซียนเอ๋อออกไปนอกบ้าน นางก็มีจิตหยั่งรู้ หากไป๋เซียนเอ๋อต้องการจะแอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย แต่อย่างน้อยการให้นางออกไปข้างนอก ก็ทำให้ฉินตงเฉวี่ยสบายใจขึ้นมาก..
“อืมม..”
ไป๋เซียนเอ๋อผ่านการอบรมมามากจึงมีอุปนิสัยที่เรียบร้อยและเชื่อฟังขึ้นมาก นางลุกขึ้นและเดินออกไปจากบ้านทันที..
“เซียนเอ๋อเจ้าไปไหนไกลไม่ได้..”
หลิงหยุนรีบร้องห้ามทันทีและอธิบายว่า “เซียนเอ๋อจะต้องอยู่บริเวณนี้เพื่อคอยอารักขา หากเกิดสิ่งใดผิดพลาดขึ้น นางจะสามารถช่วยเหลือได้ทันเวลา!”
“เอ่อ…”
ฉินตงเฉวี่ยได้แต่อ้าปากหวอและไม่อาจโต้เถียงหลิงหยุนได้
“หลิงหยุน..เจ้าเด็กตัวแสบ รอให้ข้าฟื้นฟูพลังได้เสียก่อน สิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือฆ่าเจ้าทิ้งซะ!”
ในที่สุด..ฉินตงเฉวี่ยก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่นางไม่อาจเลือกได้ จึงได้แต่ระบายอารมณ์ใส่หลิงหยุนแทน!
“น้าหญิง..ท่านกล้าฆ่าข้าจริงๆรึ!”
หลิงหยุนร้องถามพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง..