ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 163 รุ่งอรุณ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พ้นค่ำย่ำรุ่ง สำนวนนี้พูดกันอยู่บ่อยๆ มักหมายถึง ตราบใดที่ทนผ่านเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปได้ ย่อมได้เห็นรุ่งอรุณที่สว่างและสวยงาม เป็นภาษิตที่บอกว่ายังมีความหวังอยู่เสมอ แต่ทว่า ครั้งรุ่งอรุณมาถึงจริงๆ ก็หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตอนค่ำ

เวลาก็คือชีวิต เมื่อผ่านไปแล้ว ก็ไม่อาจเรียกกลับคืน ไม่มีความเกี่ยวพันระหว่างแสงสว่างของผู้อื่นกับความมืดมิดของตน

“ข้าเชื่อมาเสมอว่าข้าคือดวงตะวัน” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปทางแสงจางๆ ทางตะวันออก ตะวันยามอรุณยังไม่อาจลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า “ข้าต้องการส่องแสงให้โลกหล้า ใครขัดขวางข้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกแผดเผาจนตายใต้เพลิงของดวงตะวัน ไม่อาจหลบซ่อนได้”

ถ้อยคำและความคิดของนางยังคงเผด็จการเฉกเช่นในอดีต ทว่าตอนนี้นางมิได้ยืนอยู่บนแท่นกานลู่หรือริมถนนเสินเพื่อมองดูโลกของนาง ในตอนนี้ นางนอนอยู่ในอ้อมอกเฉินฉางเซิงเช่นผู้หญิงคนหนึ่ง อ่อนโยนไร้เรี่ยวแรง

เฉินฉางเซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกโศกเศร้าอย่างไม่อาจบรรยายได้ เขาถาม “จะฆ่าทุกคนได้อย่างไรกัน”

เมื่อวานในวังหลวง สวีโหย่วหรงก็พูดเช่นเดียวกันนี้ ในตอนนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบอย่างเรียบง่ายและหนักแน่นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ตอบแบบเดียวกันในครั้งนี้

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอันยาวนานไร้สิ้นสุดนี้ ได้พิสูจน์คำตอบของนางตอนนั้นแล้วว่าผิด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ตอบ “ใช่ เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าทุกคน”

คำพูดพวกนี้กล่าวอย่างแผ่วเบาไร้อารมณ์ แต่เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยิน เขาก็เต็มไปด้วยความปวดร้าว ความขุ่นข้องที่ไม่อาจทานทน

เขาต้องการจะพูดบางอย่างเพื่อปลอบโยนนางผู้กำลังจะตาย แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากป่ารอบถนนเสิน

เขาโอบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ตามองออกไป มือขวากำกระบี่เอาไว้อีกครั้ง สีหน้าเป็นกังวล ป่าที่ยอดเขาเทียนซูแน่นทึบ เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้หนาม ไร้ซึ่งหนทาง หลังจากฝนตกหนักก็กลายเป็นดินโคลนที่ยากจะเดิน เมื่อรวมกับข้อจำกัดของสุสานเทียนซู จะมีใครขึ้นมาที่นี่ได้

พุ่มไม้หัก โคลนสาดกระจาย อวี๋เหรินคลานออกมาจากป่า

ตลอดค่อนคืนนี้ เขาได้ปีนป่ายขึ้นสุสานเทียนซูอย่างยากลำบาก มือและเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดผสมกับน้ำและโคลน กลายเป็นภาพที่น่าอนาถ

ครั้นมาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู สิ่งแรกที่อวี๋เหรินเห็นก็คือหญิงงามในอ้อมอกเฉินฉางเซิง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาพบว่าหญิงผู้นี้อันตรายอย่างมาก เขาอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เขาส่งเสียงคำรามพุ่งตัวไป ต้องการจะดึงเฉินฉางเซิงออกมาไว้ด้านหลังตน

ทว่าเมื่อเขาเอื้อมมือมาถึงเฉินฉางเซิง เขาก็หยุด

เขารู้สึกว่าหญิงงามนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าซีดขาวและเปื้อนเลือดเช่นเดียวกับเขานั้นดูน่าสงสารอย่างยิ่ง

อวี๋เหรินมีทักษะการแพทย์สูงส่งและจิตใจที่เมตตา ในเมืองซีหนิงและสองปีที่เดินทางท่องโลก เขามักจะรักษาคนที่ยากจนเกินกว่าจะไปหาหมอรักษาได้ หลังจากยืนยันแล้วว่าศิษย์น้องไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็อยากรักษาผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อาจรักษาได้แล้ว

นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่

เมื่ออวี๋เหรินคลานออกมาจากพุ่มไม้ ร่างกายปกคลุมไปด้วยเลือด เฉินฉางเซิงก็ตกใจอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่จะอยู่ในสุสานเทียนซูตลอดเวลา จากนั้นเขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมากเพราะเขารู้ว่าศิษย์พี่ต้องได้ยินเสียงร้องของเขาและมาที่นี่เพื่อช่วยเขา หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผิดอย่างมาก เขารู้สึกผิดโดยไม่ทราบสาเหตุ

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่นักพรตน้อยพิการอ่อนแอ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บางทีเพราะความยินดี ตื่นเต้นหรืออารมณ์อื่นใดก็ไม่ทราบ

“นี่…คือศิษย์พี่ของเจ้า”

“ใช่” เฉินฉางเซิงหันไปหาอวี๋เหรินและกล่าว “ศิษย์พี่ นี่คือแม่ของศิษย์พี่”

อวี๋เหรินตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้างมองไปที่หญิงงามซึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดเฉินฉางเซิง เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร บางทีอาจเป็นเพราะเขาพูดไม่ได้อยู่แล้ว

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่เฉินฉางเซิงและถาม “แล้วเจ้าเป็นใครกัน”

“ข้าไม่รู้” เฉินฉางเซิงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “ข้าเคยคิดว่าข้าเป็นลูกชายท่าน แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถาม “เป็นลูกข้าน่าอับอายนักหรือ”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดจากนั้นก็ตอบ “หากข้าเป็นลูกท่าน ข้าคิดว่าคงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิอย่างมาก”

“คนหนึ่งหัวช้า คนหนึ่งโง่งม…”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่เฉินฉางเซิงจากนั้นก็อวี๋เหริน

สุดท้ายนางมองไปยังแสงสว่างไร้สิ้นสุดที่แผ่ข้ามท้องฟ้าราตรี “แต่สุดท้ายแล้ว เราก็มีลูกชายถึงสองคน”

ยามที่นางกล่าว อารมณ์ของนางสงบเยือกเย็นแต่ก็เปี่ยมไปด้วยการเย้ยหยัน สรุปแล้วซับซ้อนอย่างยิ่ง

กล่าวแล้วนางก็ไม่พูดอะไรอีก

หลังจากมองเฉินฉางเซิง อวี๋เหรินและท้องฟ้าพร่างดาว นางก็ไม่มองสิ่งใดอีก ไม่แม้แต่โลกใบนี้

นางหลับตาลง

……

……

เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ว่านางไม่หายใจแล้ว สัมผัสได้ว่าดวงจิตนางได้จากไปแล้ว เขาใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ราวกับว่าดวงจิตของเขาก็จากไปเช่นกัน

เวลาผ่านไป เขาก็หันหน้าไปมองอวี๋เหรินอย่างยากลำบาก “นาง…คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์…ศิษย์พี่…แม่ของท่าน”

เขาพูดตะกุกตะกัก ไม่เคยพูดอย่างยากลำบากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

ว่าแล้วเขาก็เริ่มร้องไห้

โอบกอดศพจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พลางสะอึกสะอื้น “ศิษย์พี่ ข้าขอโทษ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

อวี๋เหรินก็เริ่มร้องไห้เช่นกัน ทำท่าทางตอบกลับไปว่าขอโทษอย่างต่อเนื่อง

เฉินฉางเซิงร้องไห้ไม่หยุด พร่ำแต่คำว่า ‘ขอโทษ’

อวี๋เหรินก็ร้องไห้ ทำท่าทาง ‘ขอโทษ’

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล่าว ‘ขอโทษ’ ศิษย์พี่

อวี๋เหรินเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงกล่าว ‘ขอโทษ’ ศิษย์น้อง

หากวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ ย่อมมีเหตุผลที่จะกล่าวขอโทษอย่างโศกเศร้าเช่นนี้ ทว่าในตอนนี้เหตุผลนั้นไม่อาจเข้าใจได้อย่างชัดเจน

บางทีอาจเป็นเพราะโลกนี้ทำให้พวกเขาผิดหวังและไม่มีที่ใดให้พวกเขาหาเหตุผลได้

……

……

ฝนหยุดตกไปนานแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นห่าฝนโหมกระหน่ำหรือละอองฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับการตอบรับของโลก ก็ล้วนหยุดลงแล้ว

ดวงตะวันยังไม่ลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าเต็มที่ กระนั้นทะเลเมฆก็เริ่มส่องแสงแล้ว

ในไม่ช้ารุ่งอรุณก็โผล่ขึ้นทางทิศบูรพา

สังฆราชกลับคืนสู่พระราชวังหลีโดยไม่สะกดอาการบาดเจ็บ

อู๋ฉยงปี้แบกร่างสามีที่เกือบจะสิ้นลมออกไปจากจิงตู

ซางสิงโจวจากลั่วหยางมายังสุสานเทียนซู

ขุนนางมากมายในราชสำนักต้าโจว กองทัพอวี่หลินและทหารรักษาประตูเมือง ขุมกำลังนิกายหลวงล้วนมาที่สุสานเทียนซู

ทะเลบัวได้หายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีคลื่นฝูงชนห้อมล้อมสุสานเทียนซูเข้ามา

เทียนไห่เฉินอู๋นำผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อเขามายังต้นถนนเสิน สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความเศร้าโศกบนใบหน้า

สวีซื่อจีที่ไม่ปรากฏกายตลอดคืนก็มาแล้ว ใบหน้าเรียบเฉย คิดสิ่งใดก็ยากจะคาดเดาได้

ที่เรียกว่าความรักครอบครัวล้วนหลอกลวง ที่เรียกว่าจงรักภักดีก็หลอกลวงเช่นกัน

สวรรค์ต้องทำความเข้าใจไปทีละวัน แผ่นดินต้องทำความเข้าใจไปทีละวัน จะมีกี่รุ่งอรุณที่ผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ในโลกจะสามารถทนผ่านไปได้

ซางสิงโจวขึ้นสู่ยอดเขาสุสานเทียนซู

ฮั่นชิงหลีกทางให้

ซางสิงโจวก้าวขึ้นถนนเสิน ชุดนักพรตพลิ้วไหวตามสายลม ประหนึ่งละวางจากโลกียวิสัยไปแล้ว

เฉินฉางเซิงมองดูอาจารย์ค่อยๆ ขึ้นมาตามถนนเสิน สัมผัสได้ถึงเจตจำนงของเขา

เขาแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไว้บนหลัง ก่อนเริ่มเดินลงไปจากสุสานเทียนซู

ตลอดทาง อวี๋เหรินมองเขาและร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

มีทางเดินเดียวบนสุสานเทียนซู

ซางสิงโจวเดินตามถนนเสินขึ้นสู่ยอดเขา

เฉินฉางเซิงแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงมาจากยอดเขา

อาจารย์กับศิษย์พบกันที่กลางถนนเสิน

ซางสิงโจวไม่มองเขา

เขาก็ไม่มองซางสิงโจว

อาจารย์กับศิษย์เดินผ่านกันไปราวกับคนแปลกหน้า

เวลาเนิ่นนานผ่านไป เฉินฉางเซิงหายไปในป่าด้านล่างสุสานเทียนซู

ซางสิงโจวมาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู เขาลูบหัวอวี๋เหรินอย่างรักใคร่เอ็นดู จากนั้นก็คว้ามือข้างที่ดีอยู่ของอวี๋เหรินขึ้นมา

เขานำอวี๋เหรินไปยังปลายถนนเสิน

ณ จุดสูงสุดของโลก เขาชูมืออวี๋เหรินขึ้น

เหล่าอ๋องตระกูลเฉิน ตัวแทนพรรคและตระกูลใหญ่ ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วน นักบวชจากพระราชวังหลีและเหล่าทหารต่างก้มกราบลงกับพื้น เอ่ยซ้อง ‘ทรงพระเจริญ’

ดวงตะวันลอยสูงขึ้น ส่องแสงลงบนยอดเขาสุสานเทียนซู

แสงแดดยามเช้าส่องต้องแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

มันคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่สูงที่สุดในสุสานเทียนซู

ไม่มีอักษรบนพื้นผิว ไม่มีแม้แต่ลวดลายเส้นสายอันใด

อันที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดเลย

……