พ้นค่ำย่ำรุ่ง สำนวนนี้พูดกันอยู่บ่อยๆ มักหมายถึง ตราบใดที่ทนผ่านเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปได้ ย่อมได้เห็นรุ่งอรุณที่สว่างและสวยงาม เป็นภาษิตที่บอกว่ายังมีความหวังอยู่เสมอ แต่ทว่า ครั้งรุ่งอรุณมาถึงจริงๆ ก็หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตอนค่ำ
เวลาก็คือชีวิต เมื่อผ่านไปแล้ว ก็ไม่อาจเรียกกลับคืน ไม่มีความเกี่ยวพันระหว่างแสงสว่างของผู้อื่นกับความมืดมิดของตน
“ข้าเชื่อมาเสมอว่าข้าคือดวงตะวัน” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปทางแสงจางๆ ทางตะวันออก ตะวันยามอรุณยังไม่อาจลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า “ข้าต้องการส่องแสงให้โลกหล้า ใครขัดขวางข้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกแผดเผาจนตายใต้เพลิงของดวงตะวัน ไม่อาจหลบซ่อนได้”
ถ้อยคำและความคิดของนางยังคงเผด็จการเฉกเช่นในอดีต ทว่าตอนนี้นางมิได้ยืนอยู่บนแท่นกานลู่หรือริมถนนเสินเพื่อมองดูโลกของนาง ในตอนนี้ นางนอนอยู่ในอ้อมอกเฉินฉางเซิงเช่นผู้หญิงคนหนึ่ง อ่อนโยนไร้เรี่ยวแรง
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกโศกเศร้าอย่างไม่อาจบรรยายได้ เขาถาม “จะฆ่าทุกคนได้อย่างไรกัน”
เมื่อวานในวังหลวง สวีโหย่วหรงก็พูดเช่นเดียวกันนี้ ในตอนนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบอย่างเรียบง่ายและหนักแน่นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ตอบแบบเดียวกันในครั้งนี้
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอันยาวนานไร้สิ้นสุดนี้ ได้พิสูจน์คำตอบของนางตอนนั้นแล้วว่าผิด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ตอบ “ใช่ เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าทุกคน”
คำพูดพวกนี้กล่าวอย่างแผ่วเบาไร้อารมณ์ แต่เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยิน เขาก็เต็มไปด้วยความปวดร้าว ความขุ่นข้องที่ไม่อาจทานทน
เขาต้องการจะพูดบางอย่างเพื่อปลอบโยนนางผู้กำลังจะตาย แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากป่ารอบถนนเสิน
เขาโอบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ตามองออกไป มือขวากำกระบี่เอาไว้อีกครั้ง สีหน้าเป็นกังวล ป่าที่ยอดเขาเทียนซูแน่นทึบ เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้หนาม ไร้ซึ่งหนทาง หลังจากฝนตกหนักก็กลายเป็นดินโคลนที่ยากจะเดิน เมื่อรวมกับข้อจำกัดของสุสานเทียนซู จะมีใครขึ้นมาที่นี่ได้
พุ่มไม้หัก โคลนสาดกระจาย อวี๋เหรินคลานออกมาจากป่า
ตลอดค่อนคืนนี้ เขาได้ปีนป่ายขึ้นสุสานเทียนซูอย่างยากลำบาก มือและเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดผสมกับน้ำและโคลน กลายเป็นภาพที่น่าอนาถ
ครั้นมาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู สิ่งแรกที่อวี๋เหรินเห็นก็คือหญิงงามในอ้อมอกเฉินฉางเซิง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาพบว่าหญิงผู้นี้อันตรายอย่างมาก เขาอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เขาส่งเสียงคำรามพุ่งตัวไป ต้องการจะดึงเฉินฉางเซิงออกมาไว้ด้านหลังตน
ทว่าเมื่อเขาเอื้อมมือมาถึงเฉินฉางเซิง เขาก็หยุด
เขารู้สึกว่าหญิงงามนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าซีดขาวและเปื้อนเลือดเช่นเดียวกับเขานั้นดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
อวี๋เหรินมีทักษะการแพทย์สูงส่งและจิตใจที่เมตตา ในเมืองซีหนิงและสองปีที่เดินทางท่องโลก เขามักจะรักษาคนที่ยากจนเกินกว่าจะไปหาหมอรักษาได้ หลังจากยืนยันแล้วว่าศิษย์น้องไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็อยากรักษาผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อาจรักษาได้แล้ว
นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่ออวี๋เหรินคลานออกมาจากพุ่มไม้ ร่างกายปกคลุมไปด้วยเลือด เฉินฉางเซิงก็ตกใจอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่จะอยู่ในสุสานเทียนซูตลอดเวลา จากนั้นเขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมากเพราะเขารู้ว่าศิษย์พี่ต้องได้ยินเสียงร้องของเขาและมาที่นี่เพื่อช่วยเขา หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผิดอย่างมาก เขารู้สึกผิดโดยไม่ทราบสาเหตุ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่นักพรตน้อยพิการอ่อนแอ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บางทีเพราะความยินดี ตื่นเต้นหรืออารมณ์อื่นใดก็ไม่ทราบ
“นี่…คือศิษย์พี่ของเจ้า”
“ใช่” เฉินฉางเซิงหันไปหาอวี๋เหรินและกล่าว “ศิษย์พี่ นี่คือแม่ของศิษย์พี่”
อวี๋เหรินตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้างมองไปที่หญิงงามซึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดเฉินฉางเซิง เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร บางทีอาจเป็นเพราะเขาพูดไม่ได้อยู่แล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่เฉินฉางเซิงและถาม “แล้วเจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าไม่รู้” เฉินฉางเซิงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “ข้าเคยคิดว่าข้าเป็นลูกชายท่าน แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถาม “เป็นลูกข้าน่าอับอายนักหรือ”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดจากนั้นก็ตอบ “หากข้าเป็นลูกท่าน ข้าคิดว่าคงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิอย่างมาก”
“คนหนึ่งหัวช้า คนหนึ่งโง่งม…”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่เฉินฉางเซิงจากนั้นก็อวี๋เหริน
สุดท้ายนางมองไปยังแสงสว่างไร้สิ้นสุดที่แผ่ข้ามท้องฟ้าราตรี “แต่สุดท้ายแล้ว เราก็มีลูกชายถึงสองคน”
ยามที่นางกล่าว อารมณ์ของนางสงบเยือกเย็นแต่ก็เปี่ยมไปด้วยการเย้ยหยัน สรุปแล้วซับซ้อนอย่างยิ่ง
กล่าวแล้วนางก็ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากมองเฉินฉางเซิง อวี๋เหรินและท้องฟ้าพร่างดาว นางก็ไม่มองสิ่งใดอีก ไม่แม้แต่โลกใบนี้
นางหลับตาลง
……
……
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ว่านางไม่หายใจแล้ว สัมผัสได้ว่าดวงจิตนางได้จากไปแล้ว เขาใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ราวกับว่าดวงจิตของเขาก็จากไปเช่นกัน
เวลาผ่านไป เขาก็หันหน้าไปมองอวี๋เหรินอย่างยากลำบาก “นาง…คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์…ศิษย์พี่…แม่ของท่าน”
เขาพูดตะกุกตะกัก ไม่เคยพูดอย่างยากลำบากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ว่าแล้วเขาก็เริ่มร้องไห้
โอบกอดศพจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พลางสะอึกสะอื้น “ศิษย์พี่ ข้าขอโทษ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
อวี๋เหรินก็เริ่มร้องไห้เช่นกัน ทำท่าทางตอบกลับไปว่าขอโทษอย่างต่อเนื่อง
เฉินฉางเซิงร้องไห้ไม่หยุด พร่ำแต่คำว่า ‘ขอโทษ’
อวี๋เหรินก็ร้องไห้ ทำท่าทาง ‘ขอโทษ’
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล่าว ‘ขอโทษ’ ศิษย์พี่
อวี๋เหรินเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงกล่าว ‘ขอโทษ’ ศิษย์น้อง
หากวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ ย่อมมีเหตุผลที่จะกล่าวขอโทษอย่างโศกเศร้าเช่นนี้ ทว่าในตอนนี้เหตุผลนั้นไม่อาจเข้าใจได้อย่างชัดเจน
บางทีอาจเป็นเพราะโลกนี้ทำให้พวกเขาผิดหวังและไม่มีที่ใดให้พวกเขาหาเหตุผลได้
……
……
ฝนหยุดตกไปนานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นห่าฝนโหมกระหน่ำหรือละอองฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับการตอบรับของโลก ก็ล้วนหยุดลงแล้ว
ดวงตะวันยังไม่ลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าเต็มที่ กระนั้นทะเลเมฆก็เริ่มส่องแสงแล้ว
ในไม่ช้ารุ่งอรุณก็โผล่ขึ้นทางทิศบูรพา
สังฆราชกลับคืนสู่พระราชวังหลีโดยไม่สะกดอาการบาดเจ็บ
อู๋ฉยงปี้แบกร่างสามีที่เกือบจะสิ้นลมออกไปจากจิงตู
ซางสิงโจวจากลั่วหยางมายังสุสานเทียนซู
ขุนนางมากมายในราชสำนักต้าโจว กองทัพอวี่หลินและทหารรักษาประตูเมือง ขุมกำลังนิกายหลวงล้วนมาที่สุสานเทียนซู
ทะเลบัวได้หายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีคลื่นฝูงชนห้อมล้อมสุสานเทียนซูเข้ามา
เทียนไห่เฉินอู๋นำผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อเขามายังต้นถนนเสิน สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความเศร้าโศกบนใบหน้า
สวีซื่อจีที่ไม่ปรากฏกายตลอดคืนก็มาแล้ว ใบหน้าเรียบเฉย คิดสิ่งใดก็ยากจะคาดเดาได้
ที่เรียกว่าความรักครอบครัวล้วนหลอกลวง ที่เรียกว่าจงรักภักดีก็หลอกลวงเช่นกัน
สวรรค์ต้องทำความเข้าใจไปทีละวัน แผ่นดินต้องทำความเข้าใจไปทีละวัน จะมีกี่รุ่งอรุณที่ผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ในโลกจะสามารถทนผ่านไปได้
ซางสิงโจวขึ้นสู่ยอดเขาสุสานเทียนซู
ฮั่นชิงหลีกทางให้
ซางสิงโจวก้าวขึ้นถนนเสิน ชุดนักพรตพลิ้วไหวตามสายลม ประหนึ่งละวางจากโลกียวิสัยไปแล้ว
เฉินฉางเซิงมองดูอาจารย์ค่อยๆ ขึ้นมาตามถนนเสิน สัมผัสได้ถึงเจตจำนงของเขา
เขาแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไว้บนหลัง ก่อนเริ่มเดินลงไปจากสุสานเทียนซู
ตลอดทาง อวี๋เหรินมองเขาและร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
มีทางเดินเดียวบนสุสานเทียนซู
ซางสิงโจวเดินตามถนนเสินขึ้นสู่ยอดเขา
เฉินฉางเซิงแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงมาจากยอดเขา
อาจารย์กับศิษย์พบกันที่กลางถนนเสิน
ซางสิงโจวไม่มองเขา
เขาก็ไม่มองซางสิงโจว
อาจารย์กับศิษย์เดินผ่านกันไปราวกับคนแปลกหน้า
เวลาเนิ่นนานผ่านไป เฉินฉางเซิงหายไปในป่าด้านล่างสุสานเทียนซู
ซางสิงโจวมาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู เขาลูบหัวอวี๋เหรินอย่างรักใคร่เอ็นดู จากนั้นก็คว้ามือข้างที่ดีอยู่ของอวี๋เหรินขึ้นมา
เขานำอวี๋เหรินไปยังปลายถนนเสิน
ณ จุดสูงสุดของโลก เขาชูมืออวี๋เหรินขึ้น
เหล่าอ๋องตระกูลเฉิน ตัวแทนพรรคและตระกูลใหญ่ ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วน นักบวชจากพระราชวังหลีและเหล่าทหารต่างก้มกราบลงกับพื้น เอ่ยซ้อง ‘ทรงพระเจริญ’
ดวงตะวันลอยสูงขึ้น ส่องแสงลงบนยอดเขาสุสานเทียนซู
แสงแดดยามเช้าส่องต้องแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
มันคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่สูงที่สุดในสุสานเทียนซู
ไม่มีอักษรบนพื้นผิว ไม่มีแม้แต่ลวดลายเส้นสายอันใด
อันที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดเลย
……