เฉินกวนซงมีอาวุโสอย่างมากในกองทัพต้าโจว มีทักษะล้ำเลิศในเรื่องความอดทน ได้รับความไว้วางใจอย่างลึกซึ้งจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ดูแลสำนักเด็ดดารามานานหลายปี ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนทำงานรับใช้ในกองทัพ ความแข็งแกร่งยากหยั่งถึง อีกเพียงครึ่งก้าวก็เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ในการก่อกบฏต้นฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เขามีบทบาทสำคัญอย่างมาก หากไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เขาต้องเป็นผู้นำกองทัพต้าโจวในอนาคต ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจร่วมกันกับซางสิงโจว อาจถึงขนาดกลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพต้าโจวในการต่อสู้กับเผ่ามารทางเหนือ
อย่างไรก็ตาม เมื่อชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้วเขากลับตาย
เขาตายอย่างน่าอนาถ ถูกเผาจนตายด้วยเพลิงแท้หงส์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ตายในทันที แต่ถูกเผาอยู่เป็นเวลานานก่อนจะหมดลมหายใจในที่สุด
ก่อนตาย เขาประสบกับความทุกข์ทรมานที่สุดของมนุษย์
เพราะนี่คือการล้างแค้นของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
ก่อนนางจะจากโลกนี้ไป นางได้ล้างแค้นให้กับตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้ล้างแค้นให้กับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ซื่อสัตย์ของนางที่ตายไป
เพียงโบกแขนเสื้อ นางก็เปลี่ยนซากศพขุนพลเทพเทียนฉุยให้กลายเป็นเปลวเพลิง มอบเกียรติให้เขาได้กลับสู่ทะเลดวงดาวพร้อมกับนาง
ครั้นแล้ว นางก็เดินทางหลายหมื่นลี้ บดบังท้องฟ้าพร่างดาวอีกครั้ง ก้าวลงสู่ลำธาร นางตบฝ่ามือลงบนนักบวช
แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาพร้อมกับฝ่ามือนาง แม้จะไม่หนักหน่วงแต่ก็สูงส่งอย่างหาใดเปรียบและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นักบวชพลิกฝ่ามือ ปะทะกับฝ่ามือนาง เสียงร้องดังออกมาจากภูเขาโดดเดี่ยวในหมอกหนาด้านหลังลำธาร ผสานรวมกับเสียงหวีดหวิวจากฝ่ามือของพวกเขา
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน นักบวชเข้าใจเจตนาของนางจึงถาม “ท่านไม่คิดที่จะทิ้งเมล็ดพันธุ์เอาไว้แม้สักเมล็ดหนึ่งเลยหรือ”
“เรามีผู้สืบทอดแล้ว” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ
นักบวชเชื่อว่านางพูดถึงสวีโหย่วหรง
อันที่จริงแล้วไม่ใช่นาง หรือไม่ใช่แค่นางคนเดียว
“ท่านช่างเป็นคนโดดเด่นอย่างแท้จริง”
นักบวชมองไปที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เลือดไหลออกมาจากดวงตา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความเคารพต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
จากนั้นร่างเขาก็พลันหายไป เปลี่ยนไปเป็นเศษแสงนับไม่ถ้วนหายไปในสุสานเมฆา
ไกลออกไปจนไม่อาจคิดคำนวณได้ ในโลกอีกใบหนึ่ง ในทะเลทรายที่ทรายส่องประกายราวกับหยกมีแท่นบูชาขนาดใหญ่
นักบวชนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา
ผู้ศรัทธานับหมื่นคุกเข่าในทะเลทรายรอบแท่นบูชา ยกมือขึ้นสู่สวรรค์ สีหน้าเสมือนคนมึนเมา คลุ้มคลั่ง วิกลจริต
ทันใดนั้น พลังจิตจากอีกดินแดนหนึ่งก็ปกคลุมโลกใบนี้และกดลงมาบนพื้นดิน
นักบวชลืมตาขึ้น นัยน์ตาดำขลับ เลือดสองสายไหลออกมาจากหางตา จากนั้นทั่วร่างก็เริ่มมีเลือดไหล
นักบวชสิบกว่าคนรอบแท่นบูชาระเบิด เหล่าผู้ศรัทธาร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วเริ่มคร่ำครวญหวนไห้
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตายไป ทะเลทรายถูกย้อมจนแดงฉาน
……
……
ในช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตนาง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้ทำตามที่หลายคนคิดไว้ เปลี่ยนพลังชีวิตเสี้ยวสุดท้ายเป็นพลังอันบ้าคลั่งสังหารคนที่นางไม่ชอบ
สังฆราชวางใบไม้ครามลง ทว่านางไม่โจมตี
ฮั่นชิงไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ทว่านางไม่โจมตี
จวนตระกูลเทียนไห่ยังคงเงียบงัน ทว่านางก็ไม่ได้โจมตี
ทวนของนางได้ทำลายหอหลิงเยียน สะบัดแขนเสื้อเผาเฉินกวงซงจนตาย จากนั้นก็เผาไหม้พลังชีวิตสุดท้ายเพื่อกำจัดนักบวชผู้นั้น
เพราะนักบวชผู้นั้นมาจากดินแดนเซิ่งกวง
หลังจากผ่านไปหลายปี ในยามที่คนในโลกนี้เริ่มติดต่อสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นบนดินแดนเซิ่งกวง ในที่สุดพวกเขาจึงเข้าใจความหมายของการที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กำจัดนักบวชจากดินแดนเซิ่งกวงในคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง และรู้ว่ามันได้ช่วยซื้อเวลาให้กับคนบนโลกนี้มากแค่ไหน
แน่ทีเดียว จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ใช่คนดีในสายตาของคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่เป็นผู้นำที่เที่ยงธรรมเลย
นางตัดสินใจเลือกเช่นนี้ในช่วงเวลาสุดท้ายเพราะช่วงหลายปีมานี้นางได้เตรียมที่จะทำภารกิจนี้โดยเฉพาะ
แม้ว่าโลกนี้จะทรยศนาง นางก็ยังเชื่อมั่นว่าโลกใบนี้เป็นของนาง
นี่คือโลกของเรา
เมื่อเป็นโลกของเรา เราย่อมปกป้องมัน
ใครก็ตามที่กล้ายื่นมือเข้ามาในโลกของเราก็ต้องถูกตัดมือ
นางคิดเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงทำเช่นนี้ และนางก็ทำจริงๆ
……
……
จบลงแล้ว
สิ้นสุดแล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับสู่ยอดเขาสุสานเทียนซู
หลังจากตรวจสอบโลกของนางเรียบร้อยแล้ว นางก็หันมามองข้างกายนางอย่างผ่อนคลายในที่สุด
เฉินฉางเซิงอยู่ข้างกายนาง
ช่วงเวลาที่ผ่านมา โลกนี้ลืมไปเลยว่าเฉินฉางเซิงอยู่ข้างนางโดยตลอด
บางทีอาจด้วยความเมตตาต่อผู้เดือดร้อน นางไม่เคยลืมว่าเขาอยู่ข้างกายนาง
นับจากตอนที่ขุนพลเทพฮั่นชิงได้ทรยศแทงทวนออกไป การสนทนาของพวกเขา ตลอดจนนางสำรวจโลกของนางเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหมดล้วนเกินในเวลาอันสั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างเฉินฉางเซิงยังเกร็งๆ อยู่บ้าง เขาจึงยังคงอยู่ในท่าเดิม
เข่าซ้ายงออยู่เล็กน้อย มือซ้ายกำฝักกระบี่ซ่อนคม และมือขวาถือกระบี่ไร้ราคี
ไม่มีใครสังเกตเห็นภาพนี้
ในตอนแรก ยามที่ทวนหิมาลัยเทวามาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู เขาก็ทำท่าเช่นนี้
ในตอนนั้น ร่างกาย เต๋าหรือดวงจิตของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ล้วนไม่อยู่ ไม่มีใครอยู่ที่นี่เพื่อช่วยปกป้องนาง
ทวนหิมาลัยเทวามาถึงแล้ว
เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เรียกว่าฝักฝ่าย หรือการที่เขากับนางไม่ใช่แม่ลูกกัน หรือปัญหาอื่นใด เขาคว้ากระบี่ตามสัญชาตญาณ ต้องการที่จะป้องกันทวนนี้จากนาง
เขายังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ร่างกายก็อ่อนแออย่างยิ่ง ทว่าเขามีกระบี่เลื่องชื่อหลายพันเล่มอยู่ในฝัก รวมทั้งกำไลลูกปัดหิน
แต่กระนั้น นี่คือทวนหิมาลัยเทวา
เป็นทวนศักดิ์สิทธิ์ของฮั่นชิง
ก่อนที่เขาจะมีเวลาตอบสนอง ทวนก็ได้แทงทะลุร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ราวกับสายฟ้า
เขาได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อาจทำสิ่งใดได้
กระบี่ของเขาไปไม่ถึง มีเพียงแค่ความตั้งใจ
“เจ้าต้องการจะช่วยเราเช่นนั้นหรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอะไร
“ด้วยตัวของเจ้าเองน่ะหรือ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เย้ย
จากนั้น ปีกหงส์ดำก็หายไปกับสายลม
ทันใดนั้นรอยยิ้มหยันบนใบหน้าก็จางหายไป นางก็ล้มลงไปด้านหลัง เฉินฉางเซิงพุ่งออกไปรับนางไว้แนบอก
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปบนท้องฟ้าพร่างดาวอันกว้างใหญ่ สีหน้าเหยเกปรากฏขึ้นบนใบหน้านางราวกับว่าแสงเจิดจ้าเกินไป
เขาโอบนางไว้ บดบังแสงดาวไว้ด้านหลัง
เฉกเช่นการพบกันครั้งแรกของพวกเขาเมื่อหลายปีก่อน
ในตอนนั้นที่ริมสระน้ำในวังหลวงยามที่กระรอกตัวนั้นวิ่งผ่าน เขาตระกองกอดนาง ใช้ร่างบังนางเอาไว้ ป้องกันกระถางดอกไม้ที่ไม่ได้ตกลงบนหลังของเขา
ฝนเริ่มตกลงมาจากท้องฟ้าราตรีอีกครั้ง เสียงเปาะแปะดังบนพื้นดิน
ดวงดาวสว่างไสวอยู่สูงขึ้นไป
บนขอบฟ้าไกล มีลำแสงจางๆ ทว่าบนยอดเขาสุสานเทียนซูมืดมิดหาใดเปรียบ
ค่ำคืนอันไม่รู้จบในที่สุดก็กำลังจะผ่านพ้นไป รุ่งอรุณกำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ถึงไอปราณที่ฐานสุสานเทียนซู รู้ว่าอาจารย์มาถึงแล้ว
“ข้าจะพาท่านไป” เขากล่าวกับนาง
“แล้วเจ้าจะพาเราไปที่ใด สวนโจวอย่างนั้นหรือ” นางเย้ยเขา
ตอนนั้นเองที่เฉินฉางเซิงตระหนักว่าเหนียงเหนียงรู้ทุกอย่างตลอดมา
“เราจะไม่ไปยังที่ผีสางไร้แสงตะวันนั่นแน่นอน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปทางบูรพาซึ่งแสงอรุณกำลังมาเยือน ปากกล่าวอย่างเรียบเฉย “ที่แห่งนี้ก็ดีอยู่”