ตอนที่ 541 เจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็จะจับเจ้าถอด....

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซ่งชิงอีก็ไม่คิดจะอดกลั้นเช่นนี้ต่อไป จึงระเบิดอารมณ์ออกไปแล้ว

 

 

นางได้รับความชื่นชมและเคารพนบนอบจากผู้คนในดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด แต่อยู่ๆก็มีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำโผล่ขึ้นมาดูถูกนางเช่นนี้ ซ่งชิงอีย่อมอยากจะสับคนผู้นั้นเป็นพันดาบ

 

 

“ที่เบื้องหน้าของเจ้านี้ คือสำนักเซียนอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจว ชาติหน้าหากยังอยากทำกำแหงอวดดี ก็จำไว้ว่าต้องไปหาลูกพลับนิ่ม!”

 

 

ซ่งชิงอีพูดพลาง ยกมุมปากโค้งขึ้น เผยสีหน้าตื่นเต้นแปลกใจออกมา “อ๋อ ข้าเกือบจะลืมไปแล้ว เดรัจฉานอย่างเจ้าย่อมไม่มีชาติหน้าอยู่แล้ว เพราะคืนนี้…..เจ้าจะต้องถูกเชือนเนื้อเลาะกระดูก วิญญาณแตกสลายอยู่ที่นี่!”

 

 

ใช่แล้ว แค่สังหารร่างเนื้อของเจ้าเดรัจฉานนั่นมันจะไปเพียงพอได้อย่างไร จะต้องทำลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณของมันให้จบสิ้นไปด้วย ให้มันตายอย่างไม่เหลืออะไรอีก!

 

 

ซ่งชิงอีพูดพล่ามอยู่ครึ่งวัน ตู๋กูซิงหลันกลับส่งเสียงตอบเพียงสองคำ “หนวกหู”

 

 

ตะโกนโหวกเหวกอยู่ตั้งนาน กลับไม่มีสาระสักอย่าง ทั้งยังรบกวนช่วงเวลาสำคัญของนาง

 

 

ทันทีที่นางพูดจบ ยันต์โลหิตสิบกว่าใบในมือก็ถูกเขวี้ยงออกไป

 

 

ยันต์โลหิตพุ่งออกมาแปลงเป็นร่างแบ่งภาคทั้งสิบของนาง ในอากาศพลันปรากฏตัวนางเพิ่มขึ้นอีกสิบคน

 

 

‘หนุ่มน้อย’ในชุดดำแต่ละคนหล่อเหลาสะโอดสะอง จากนั้นก็หายแวบไปปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน

 

 

 

 

“คาถาแบ่งภาคหรือ? เฮอะ….ก็แค่เงาจอมปลอมเท่านั้นแหละ” ศิษย์ของวังตันติ่งกงแทบจะไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตา

 

 

เพราะในดินแดนจิ่วโจว คาถาแบ่งภาคเช่นนี้ถือเป็นเพียงวิชาพื้นฐานเท่านั้น ทุกคนต่างเคยเห็นกันมาจนชินแล้ว

 

 

หากพูดให้ชัดเจนก็เป็นเพียงภาพมายา ที่ใช้หลอกตาผู้คนเท่านั้น ขอเพียงรวมสมาธิในใจขึ้นมา ก็จะไม่ถูกภาพมายาเหล่านี้หลอกลวงได้

 

 

ร่างแบ่งเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายตนเองได้เลย

 

 

ซ่งชิงอีหัวเราะเสียงเย็นชา เดิมทีนางยังคิดไปว่า เจ้าเดรัจฉานที่สามารถบุกรุกเข้ามาในวังตันติ่งกงอย่างไร้ซุ่มเสียง   ทั้งยังเหาะไปเหาะมาอยู่ตรงหน้านางอย่างลำพองจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง…..

 

 

มันโอ้อวดอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน แต่แล้วกลับทำได้แค่แบ่งร่างมายาออกมา?

 

 

ซ่งชิงอีรู้สึกว่าตนเองจะประเมินอีกฝ่ายสูงส่งเกินไปแล้ว

 

 

นางคือปรมาจารย์หลอมยาตันที่เก่งกาจที่สุดในจิ่วโจว แต่ว่าพลังจากการฝึกฝนของนางมิได้สูงส่งมากนัก

 

 

ก็เหมือนกับปลาและอุ้งตีนหมีที่ไม่อาจครอบครองได้ทั้งสองอย่าง…..วันที่สำเร็จเป็นปรมาจารย์ปรุงยา ก็เท่ากับได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าหนทางบำเพ็ญเพียรของนางไม่อาจก้าวหน้าได้ไกลสักเท่าไร….

 

 

ดังนั้นในด้านการใช้พลังด้วยอาคม นางจึงไม่สันทัดมากนัก

 

 

แต่ว่าเพียงแค่ฝืมือในการหลอมยาตันของนาง ก็เพียงพอที่จะทำให้นางมีที่ยืนหยัดอยู่ในดินแดนจิ่วโจวแล้ว

 

 

ฝูลั่วยืนอยู่ข้างๆอย่างกังวลใจ พอนางคิดถึงภาพเมื่อครู่ที่คนผู้นั้นทำลายลูกศรของท่านเจ้าจนกลายเป็นผุยผง ทั้งยังใช้เพียงกำลังข้อมือเขวี้ยงลูกศรกลับมา ก็รู้สึกได้เลยว่าคนผู้นี้…..จะต้องมิใช่ธรรมดา

 

 

“ท่านเจ้า…..พวกเราสมควรระมัดระวังให้มากจะดีกว่า” ฝูลั่วพยายามจะตักเตือนนาง

 

 

“ผู้อื่นมารังแกพวกเราถึงหน้าบ้านแล้ว ข้ายังจะต้องมานั่งหวาดกลัวอีกหรือ?” ซ่งชิงอีย่อมมิได้เห็นคำพูดของนางอยู่ในสายตา นางเคยชินกับการเป็นผู้สูงส่งมาโดยตลอด แต่ช่วงนี้กลับถูกเหยียดหยามอยู่เสมอไหนเลยจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปได้อีก?

 

 

นางแทบจะอยากจับตู๋กูซิงหลันมาถลกหนัง เลาะกระดูก เพื่อระบายความแค้นในหัวใจด้วยซ้ำ

 

 

แต่ทันทีที่นางพูดจบ ก็เห็นว่าศิษย์ที่โผเข้าไปกลุ่มแรก กลับลอยกระเด็นออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆมาก่อน

 

 

แน่นอน…….ร่างแบ่งภาคของตู๋กูซิงหลัน……ไม่ได้พกพาอาวุธใดๆทั้งสิ้น

 

 

มีเพียงแค่หมัดเปล่าๆเท่านั้น….มองไม่เห็นว่านางลงมืออย่างไร   แต่ศิษย์ของวังตันติ่งกงกลับถูกกวาดออกมาราวใบไม้ร่วงในฤดูสารท

 

 

แต่ละคนร่วงหล่นลงมา กระแทกพื้นหนักๆ

 

 

พื้นผิวของวังตันติ่งกง ปูด้วยหินอ่อนสีขาว ยามนี้หินเหล่านั้นถูกกระแทกจนแตกร้าว ดอกไม้และต้นไม้ในสวนถูกศิษย์ที่ลอยคว้างออกมากระแทกใส่จนหักโค่นไม่เหลือดี

 

 

           นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!

 

 

ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไปหมด!

 

 

พวกเขาต่างก็ตั้งสมาธิสงบจิตใจกันเอาไว้แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนประสานเป็นหนึ่งด้วยความเชื่อมั่นว่าร่างแบ่งภาคเหล่านั้นเป็นแค่เพียงภาพมายา แต่ก็ยังถูกต่อยจนกระเด็นออกมา?

 

 

           ยามที่ร่างแบ่งภาคเหล่านั้นต่อยตีผู้คน ทุกหมัดล้วนเข้าเป้า แม้แต่อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถสกัดกั้นหมัดของร่างแบ่งภาคเหล่านั้นได้!

 

 

           เมื่อโดนหมันลุ่นๆเข้าไป ทั้งเนื้อและกระดูกก็แหลกเละ!

 

 

 

 

 

           นี่มันตัวประหลาดจากที่ใดกันแน่?

 

 

           หรือจะเป็น…..เหมือนกับเจ้าสำนักหยินหยาง ที่อยู่ดีๆก็มียอดฝีมือโผล่ออกมา?

 

 

ช่วงนี้ดินแดนจิ่วโจวกลายเป็นอะไรไปแล้ว….ผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาแต่ละคนถึงกับล้ำหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ?

 

 

           ฝูงชนทั้งหมดพากันตกตะลึงจนโง่งมไปแล้ว

 

 

           แถมร่างหลักของตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ข้างกายคนผู้นั้นดังเดิม มือที่กุมชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้ก็มิได้คลายออก

 

 

“เห็นไหม ข้าบอกแล้ว….ว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้วนะ” นางทำปากยื่น ราวกับเด็กหญิงตัวน้อย “เจ้าก็ยอมรับมาเถอะได้ไหม?”

 

 

ยิ่งได้เข้าใกล้ตัวเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นอายจากร่างกายของเขา….เหมือนกับท่านอาจารย์และก็คล้ายกับจีเฉวียน

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นใคร กลับมาได้คนหนึ่งก็นับว่าดีแล้ว!

 

 

           อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา ตู๋กูซิงหลันจึงเอาแต่ดึงแขนเสื้อของเขาไปมา “ข้าสามารถปกป้องพวกเจ้าได้แล้วจริงๆนะ!”

 

 

           ว่าตามจริง ท่าทางเช่นนั้นไม่ว่าใครได้เห็นก็ล้วนอยากจะต่อยนางด้วยกันทั้งนั้น

 

 

           นี่มันชัดเจนเลยว่านางกำลังดูถูกซ่งชิงอีอย่างที่สุดมิใช่หรือ?

 

 

           ที่นี่คือที่ใด?

 

 

           สำนักเซียนอันดับหนึ่งของแดนจิ่วโจว!

 

 

           ที่ที่ทุกขุมอำนาจต่างก็ต้องให้ความเคารพนบนอบ!

 

 

           แต่ว่านางกำลังทำอะไร? ร่างแบ่งภาคของตนเองวิ่งออกไปต่อยตี ส่วยนางก็มาอี๋อ๋อกับบุรุษ!

 

 

ซ่งชิงอีเห็นแล้วก็อยากจะฆ่าคนนัก!

 

 

แต่ว่าบุรุษผู้นั้นก็เหมือนกับสีหน้าของเขา ใจแข็งเป็นหินผา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีทีท่าจะตอบรับใดๆทั้งสิ้น

 

 

เขาคล้ายว่ากำลังมองดูนาง แต่ก็เหมือนมองดูเหล่าคนที่ถูกกระแทกจนลอยออกไป

 

 

เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเขา ตู๋กูซิงหลันก็กระตุกแขนเสื้อของเขาอีก “เสี่ยวเฉวียนเฉวียน?”

 

 

อีกฝ่าย เงียบงัน …..

 

 

           ตู๋กูซิงหลันก็หน้ามึนต่อไป “อาจารย์”

 

 

อีกฝ่ายก็ยัง เงียบงัน เงียบอยู่อย่างนั้น…..

 

 

ตู๋กูซิงหลันชักจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว นางไม่ได้สนอกสนใจร่างแบ่งภาคของตนเองเลยด้วยซ้ำ นางยื่นมือไปที่เสื้อของเขา กระชากเสื้อของเขาออกมาท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย

 

 

ฝูงชนทั้งหมด “…..”

 

 

ในใจของพวกเต็มไปด้วยตัวอักษร ‘ชชชช’!  มันจะต้องดูถูกพวกเขาอะไรถึงขั้นนี้เชียว?

 

 

ในที่สุด บุรุษที่เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งผู้นั้นก็มีปฏิกริยาขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

เขาคว้าข้อมือของนางเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บกริยาแง่งอนของสาวน้อยกลับไป “เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ? ถอดเสื้อผ้าไง…”

 

 

การกระทำของนางยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? เขาถึงได้ยังต้องมาถามอีกรอบ

 

 

เขาแม้ตายก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังไม่ยอมให้นางถอดหน้ากาก เช่นนั้นนางก็ได้แต่จับเขาถอดเสื้อผ้าแล้ว ดูสิว่าตรงบั้นเอวของเขาจะมีสัญลักษณ์ดอกบัวดำลายทองดอกนั้นอยู่หรือไม่

 

 

ขอเพียงเจอสัญลักษณ์ดอกบัวนั่น เขาก็หนีนางไม่พ้นแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นคนที่ฉกฉวยทุกโอกาสโดยไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว อืม นางก็เป็นคนแบบนี้!

 

 

อีกฝ่าย “…….”

 

 

เขาเอาแต่เงียบงันอยู่อย่างนั้น มือที่คว้าข้อมือของนางเอาไว้ก็จับแน่นขึ้นอีกหลายส่วน

 

 

แต่ปลายนิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมและขาวผ่องราวหิมะของนางก็ยังล้วงลงไปในคอเสื้อของเขา ปลายนิ้วที่อบอุ่นนั้นลูบคลำไปตามไหปลาร้าของเขาไม่ยอมหยุด

 

 

ดวงตาดอกท้อเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง

 

 

ท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของทุกคน นางทำเหมือนกำลังลวนลามสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังสร้างคลื่นความชิงชังได้เป็นผลสำเร็จ

 

 

เจ้าเดรัจฉานนั่น มันช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว!