บทที่ 141 อารามแห่งพระแม่ (3)
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนจากไป และอวี้หลิวเซียงกลับมา
สายตาของนางที่มองมายังซูเฉินยังคงเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ
นางพูดอย่างเยือกเย็น “ฝ่าบาทออกคำสั่งแล้ว ตามข้ามา”
แต่ซูเฉินไม่ไป เขาพูดขึ้น “ข้าได้ยินว่านิกายแห่งพระแม่ครอบครองยาลับชนิดหนึ่งที่สามารถจัดการกับเกราะป้องกันหัวใจได้”
“เจ้าหมายถึงยาล้างใจสินะ ? ข้าสามารถไปนำมาให้เจ้าได้ตอนนี้เลย”
แต่ซูเฉินกลับส่ายหัว “ข้าไม่ได้หมายถึงยาล้างใจ ผลทางการแพทย์ของมันอ่อนเกินไป และมันยังทำให้จิตของผู้กินหย่อนยานโดยกลับมาเป็นเช่นเดิมไม่ได้อีก ข้ากำลังตามหาเมเปิ้ลหยกสกัด”
อวี้หลิวเซียงหันไปจ้องซูเฉินเขม็ง “นั่นเป็นสิ่งที่สามารถได้รับโดยผู้ที่มีผลงานอันดับ 1 เท่านั้น ผลงานของเจ้ายังเล็กน้อยเกินไปที่จะเหมาะสมกับรางวัลเช่นนั้น”
ซูเฉินตอบ “เท่าที่ข้ารู้ข้าสามารถพัฒนาระดับผลงานของข้าได้ด้วยของถวาย ข้าต้องถวายเท่าไรถึงจะยกระดับผลงานของข้าได้ล่ะ ?”
อวี้หลิวเซียงชำเลืองมองซูเฉิน “เจ้าเตรียมการมาอย่างถี่ถ้วนแล้วสิ ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าคิดเรื่องนี้มานานระหว่างทางมาที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องทะลวงเกราะป้องกันหัวใจนี่ให้ได้ เมื่อนั้นข้าจึงจะสามารถกำจัดความอัปยศของข้าและทำลายโซ่ตรวนที่ผูกมัดหัวใจของข้าไว้ได้”
เมื่ออวี้หลิวเซียงได้ยินดังนั้นนางก็อ่อนโยนลงเล็กน้อยในที่สุด ราวกับว่านางเข้าใจสิ่งที่ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ กำลังฝ่าฟัน นางพยักหน้า “ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเพิ่มระดับผลงานไปสู่อันดับ 1 งั้นมันจะต้องใช้หินพลังต้นกำเนิด 1 ล้านก้อน ถ้าเจ้า……”
ซูเฉินนำเอาแหวนต้นกำเนิดวงหนึ่งออกมา
แค่หินพลังต้นกำเนิด 1 ล้านก้อนไม่ใช่หรือ ? นั่นไม่มีความหมายอะไรต่อซูเฉิน
หากไม่ได้เป็นเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถถวายเครื่องเซ่นไหว้ได้ ซูเฉินคงจะไม่ได้พบกับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนตั้งแต่แรก
มันอันตรายเกินไป !
แม้ว่าบทสนทนาระหว่างเขากับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนจะดูเรียบง่ายและตรงไปตรงมา กระทั่งความไม่ใส่ใจเพียงวินาทีเดียวก็อาจทำให้เขาสูญเสียทุกอย่างได้
อย่างไรแล้วโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน เป็นไปได้ว่านางอาจมองการปลอมกายของซูเฉินออกก็ได้
สาเหตุหลักที่นางไม่สามารถมองการปลอมตัวของเขาออกเป็นเพราะนางไม่อาจตรวจสอบเผ่าปักษาทุกคนที่ขอเข้าพบนางได้ แต่หากนางเกิดสงสัยขึ้นมาแม้แต่น้อยก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบไปได้
การที่เขาเข้าพบกับเจ้านิกายนั้นเป็นการเสี่ยงโดยแท้จริง ด้วยความเกลียดชังของซูเฉินต่อการรับความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงแล้ว เขาคงจะไม่ทำเช่นนั้นเว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่ออวี้หลิวเซียงเห็นแหวนต้นกำเนิดของซูเฉิน นางก็ชะงักไปครู่หนึ่งทีเดียว และเมื่อนางมองเข้าไปข้างในนางก็ต้องตกตะลึง “เจ้า……”
“ข้าไม่ได้อยู่เฉย ๆ ในช่วงวันที่ผ่านมาหรอกนะ” ซูเฉินตอบ
“ดูเหมือนเจ้าจะทำงานหนักมาไม่น้อย” อวี้หลิวเซียงจ้องเขาเขม็งขณะที่นางนำเอาหินพลังต้นกำเนิด 1 ล้านก้อนออกมาก่อนจะมอบส่วนที่เหลือคืนให้แก่ซูเฉิน “รอข้าที่นี่”
“ผู้นำหัวหน้าบาทหลวง ท่านจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปในห้องเก็บของกับท่านได้หรือไม่ ? ที่ข้ากำลังขอคือข้าต้องการดูว่ามีสิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยเหลือได้อีกไหม ข้าพอจะมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย……” ซูเฉินหยุดพูดลงแค่นั้น แต่อวี้หลิวเซียงก็เข้าใจเจตนาของเขาดี หลังจากคิดอยู่ครู่นคงนางก็พยักหน้าและกล่าว “ก็ได้ มากับข้า”
การแลกเปลี่ยนเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรางวัลนั้นเป็นกระแสรายได้ขนาดใหญ่ของนิกายแห่งพระแม่ ไม่เช่นนั้นแล้วการกระทำนี้คงจะไม่ได้รับอนุญาต
ในเมื่อชุยอวี่คงเหินได้เก็บรักษาเงินมาจำนวนไม่น้อยและยินดีที่จะใช้มันทั้งหมดที่นี่ อวี้หลิวเซียงก็ไม่คิดที่จะหักห้ามเขา
นางนำทางซูเฉินตลอดทางไปยังห้องเก็บของ
ห้องเก็บของของนิกายแห่งพระแม่ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของอารามแห่งพระแม่
ศิษย์จำนวนหนึ่งที่ยืนอารักขาอยู่ล้วนโค้งคำนับแก่อวี้หลิวเซียงเมื่อพวกเขาเห็นนาง
ซูเฉินสามารถบอกได้ว่าแม้ว่าศิษย์เหล่านี้จะเป็นเพียงผู้อารักขา แต่พวกเขาก็ล้วนแข็งแกร่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารเป็นขั้นต่ำ
การมีอยู่ของผู้อารักขาด่านสู่พิสดารหมายความว่าไม่ว่าสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของนั้นต้องมีค่าไม่น้อยอย่างแน่นอน
ใช่แล้ว ซูเฉินได้ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมดมาไม่ใช่เพื่อถวายเครื่องเซ่นไหว้ให้แก่นิกายแห่งพระแม่ แต่เพื่อฉวยโอกาสจากความโกลาหลที่เขาได้ก่อขึ้น ณ เขาพันพิษเพื่อปล้นห้องนิรภัยของนิกายแห่งพระแม่ต่างหาก
เค่อเหลยซีต๋าเป็นเหยื่อล่อที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการมีอยู่ของเขา นิกายแห่งพระแม่จะต้องตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลังอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อย ผู้เชี่ยวชาญแทบทั้งหมดของพวกเขาก็จะต้องปรากฏตัวขึ้น
นั่นเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับซูเฉิน
เขายังสามารถพึ่งพาข้ออ้างนี้ในการตามหายาชนิดพิเศษเพื่อไปยังห้องเก็บของได้อีกด้วย
เมื่อพวกเขามาถึงยังห้องเก็บของ อวี้หลิวเซียงฟู่ก็เอ่ยขึ้น “โปรดรอข้าที่นี่สักครู่ ข้าจะเข้าไปก่อนและหยิบรายการสิ่งของในห้องเก็บของมาให้เจ้า เชิญสำรวจและเลือกเอาสิ่งใดก็ตามที่เจ้าอยากจะแลกเปลี่ยนโดยขึ้นอยู่กับผลงานของเจ้า ระหว่างนั้นข้าจะไปหยิบยามาให้เจ้า”
ขณะที่พูดนางก็ตรงไปยังประตู
ซูเฉินรู้ว่านี่คงจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเขา อวี้หลิวเซียงจะไม่มีทางพาเขาเข้าไปในห้องเก็บของเป็นแน่ ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงพูดขึ้น “โปรดรอสักครู่”
“หืม ?” อวี้หลิวเซียงตกตะลึง
ซูเฉินกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “มองในตาข้า”
อวี้หลิวเซียงมองไปยังเขาและพบเข้ากับประกายแปลกประหลาดในดวงตาของชายหนุ่ม หัวใจของนางสั่นไหวไปชั่วขณะก่อนที่นางจะตกเป็นเหยื่อของวิชาจิตของซูเฉิน
“ฮู่ว !” ซูเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะสามารถหลอกล่อปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานอย่างเค่อเหลยซีต๋าได้ และการรับมือกับอวี้หลิวเซียงนั้นควรจะง่ายดายกว่ามาก ทว่าเขาก็ไม่รู้เลยว่าอวี้หลิวเซียงมีวิชาพิเศษที่ต่อต้านวิชาภาพลวงโดยเฉพาะอยู่หรือไม่ นิกายแห่งพระแม่ถูกอารักขาโดยพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง การป้องกันต่อวิชาจิตตามธรรมชาติของสมาชิกของพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้นพวกเขายังอยู่ในอารามแห่งพระแม่ในตอนนี้อีกด้วย ซูเฉินจะไม่ประหลาดใจเลยหากเขาล้มเหลว เขาจึงเลือกจังหวะนี้ในการเคลื่อนไหว ถ้าหากเขาล้มเหลวจริง ๆ เขาก็ยังสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จด้วยการใช้กำลังและคว้าเอาสมบัติจำนวนมากก่อนจะหนีไป
แต่ดูเหมือนว่าโชคของเขาในตอนนี้จะดีทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวในทันที
แล้วซูเฉินก็ออกคำสั่ง “พาข้าเข้าไปในห้องเก็บของ”
อวี้หลิวเซียงพยักหน้าขณะที่นางพาซูเฉินเข้าไปในห้องเก็บของ
ด้วยการนำเข้าไปของอวี้หลิวเซียง ผู้อารักขาต่างไม่สามารถพูดอะไรได้และให้พวกเขาเข้าไปแต่โดยดี
ซูเฉินเริ่มปล้นห้องนั้นจนหมดเกลี้ยงตามธรรมชาติ
ห้องเก็บของนั้นมีสิ่งของดี ๆ อยู่มาก เช่น น้ำไร้ที่มา ทรายมหาสมุทร ผลพันภากร หอยจิตวิญญาณสวรรค์ ดอกสายธารคราม และอื่น ๆ วัตถุดิบแทบทั้งหมดนี้ล้วนนับว่าเป็นระดับหายาก และยังมีบางส่วนที่หายากไม่น้อยทีเดียว เครื่องมือต้นกำเนิดล้วนเป็นระดับ 4 ขึ้นไปในขณะที่ยาต่าง ๆ ล้วนเป็นระดับสูงทั้งสิ้น สิ่งของทุกชิ้นที่นี่สามารถตามหาที่อื่นได้ยากเย็นยิ่งนัก
ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นทั้งหมดที่เขาหาพบ
ซูเฉินไม่สามารถหาวัตถุดิบระดับตำนานหรือยาระดับปรมาจารย์ได้พบในห้องเก็บของนี้แม้แต่ชิ้นเดียว เขายังไม่สามารถพบเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 2 ได้อีกด้วย
นั้นสมเหตุสมผล ห้องเก็บของนี้เป็นสำหรับสิ่งของหายากเท่านั้น มันไม่ใช่ห้องเก็บของหลัก สิ่งของที่ดีจริง ๆ จึงไม่ถูกเก็บไว้ที่นี่
ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงส่งวิชาหนวดอากาศของเขาออกไป กวาดปล้นทั่วทั้งห้อง และถามอวี้หลิวเซียง “ห้องเก็บของหลักอยู่ที่ไหน ?”
อวี้หลิวเซียงตอบ “ข้าไม่รู้”
ไม่แปลกที่อวี้หลิวเซียงจะไม่รู้หากดูจากตำแหน่งของนาง
ซูเฉินไม่ได้ตั้งใจจะตามหามันตั้งแต่แรก เขาได้รับสมบัติจำนวนไม่น้อยมาแล้วและเขาก็ต้องการจะได้รับมากกว่าที่สามารถจ่ายได้เสมออยู่แล้ว เขาพึ่งจะสามารถเปลี่ยนสมบัติจากก่อนหน้านี้จำนวนมากให้กลายเป็นพละกำลังของตนได้ แต่แล้วเขาก็ได้ปล้นมือแห่งโชคชะตามาจนเกลี้ยง ตอนนี้ชายหนุ่มยังสามารถปล้นนิกายแห่งพระแม่ได้อีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาห้องเก็บของหลักได้พบ นั่นก็ไม่เป็นไรเลยสักนิด
แต่ขนนกศักดิ์สิทธิ์นั่นก็น่าเสียดาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นสิ่งของคุณภาพดีอย่างแน่นอน แม้ว่าซูเฉินจะยังไม่รู้ถึงวิธีการควบคุมมัน เขาก็ได้พัฒนาความเข้าใจของเขาในขนนกเหล่านั้น มันเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่เขาจะสามารถปลดผนึกความลับที่บรรจุอยู่ในขนนกเหล่านี้ภายในเวลาจำกัด ซูเฉินจึงถือความหวังไว้ไม่น้อยกับขนนกเหล่านี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูเฉินจึงพูดขึ้น “งั้นเจ้าก็คงไม่รู้ว่าขนนกศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหนถูกไหม ?”
ก่อนหน้านี้เขาได้โพล่งคำถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่อวี้หลิวเซียงกลับตอบออกมาอย่างไม่คาดคิด “มันอยู่ในโถงหลักของอาราม เก็บอยู่ในมือบนรูปปั้นของพระแม่ มันถูกบำรุงรักษาโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ฉายลงมายังมัน”
“หืม ?” ซูเฉินตะลึงงัน
งั้นการมีอยู่ของขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เป็นความรู้ทั่วไปสินะ
ซูเฉินมีความเข้าใจในขนนกศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก เขารู้ว่าทันทีที่ขนนกนั่นปรากฏขึ้นในโลกใบนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์จะค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้เยี่ยเสิ่นหยางจึงได้ปฏิเสธที่จะพูดมันออกมาจนถึงวินาทีสุดท้าย และยังเป็นเหตุผลที่ขนนกศักดิ์สิทธิ์ที่ซูเฉินครอบครองอยู่ในตอนนี้นั้นถูกปิดผนึกไว้ในผลึกอย่างแน่นหนา
แต่ขนนกศักดิ์สิทธิ์บนรูปปั้นนั้นต่างออกไปอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่ามันเชื่อมโยงโดยตรงต่อตัวพระแม่ และมันยังได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เพียงสามารถเผยออกมาได้อย่างอิสระ แต่มันยังสามารถกระทั่งดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์โดยตรงได้อีกด้วย !
อันที่จริง… ขนนกสวรรค์ใดก็ตามที่ได้สูญเสียพลังบางส่วนไปในโลกภายนอกนั้นสามารถถูกแทนที่บนรูปปั้นเพื่อได้รับการบำรุงรักษาและฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิ์ของมันได้
สำหรับขนนกที่ไม่ได้ถูกบำรุงรักษา พวกมันอาจถูกผนึกหรือสลายหายไปหลังจากที่ถูกใช้จนหมดสิ้น
หลังจากการเสียชีวิตของเยี่ยเสิ่นหยาง นิกายแห่งพระแม่ก็เหลือขนนกศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียง 2 เส้นเท่านั้น เส้นหนึ่งถูกใช้ในโลกภายนอก ส่วนอีกเส้นหนึ่งถูกจัดแสดงอยู่อย่างปลอดภัยโดยนิกายแห่งพระแม่
แต่อารามหลักของนิกายแห่งพระแม่นั้นถูกใช้สำหรับการถวายเครื่องเซ่นที่มีค่า ข้อห้ามที่ถูกกำหนดไว้จึงเข้มงวดเป็นอย่างมาก
กระทั่งอวี้หลิวเซียงก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังที่แห่งนั้นโดยไร้ซึ่งคำอนุญาตพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะแม้แต่พยายามเข้าไปใกล้มัน
แต่ตอนนี้เมื่อผู้เชี่ยวชาญส่วนมากของนิกายแห่งพระแม่ถูกล่อลวงออกไปโดยเค่อเหลยซีต๋า ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ซูเฉินจะไม่มีทางพึงพอใจหากเขาไม่ได้พยายามสักหน่อย
ดังนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ซูเฉินก็กล่าวอย่างแน่วแน่ “ไปที่โถงหลักกันเถอะ”
อย่างไรแล้วด้วยภูติลั่นแสง เขาก็สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะการป้องกันใดก็ตามที่ถูกกระตุ้นขึ้น แล้วเขาจะต้องกลัวอะไรล่ะ ?
“ได้เลย” อวี้หลิวเซียงตกอยู่ใต้การควบคุมของซูเฉินโดยสมบูรณ์ นางจึงเชื่อฟังเขาอย่างว่านอนสอนง่าย นางนำทางซูเฉินตรงไปยังโถงหลัก
ในตอนนี้สถานการณ์ในโถงหลักเป็นไปตามที่ซูเฉินคาดการณ์ไว้ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังคนใดอยู่ที่นั่นแม้แต่คนเดียว
แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แม้ว่านิกายแห่งพระแม่จะต้องรับมือกับเค่อเหลยซีต๋า พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งโถงหลักไปเสียทีเดียว ตรงกันข้าม ความแข็งแกร่งของการป้องกันในอารามหลักนั้นไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เมื่อซูเฉินแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ทัศนวิสัยของเขาต่อการพิจารณาความแข็งแกร่งก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ขั้นสูงสุดแล้ว และความเชี่ยวชาญนี้ได้ขยายไปยังธาตุลม ไฟ และสายฟ้า เช่นเดียวกันกับจิตของเขา เมื่อใช้งานร่างกายระดับสูงสุดและการบ่มเพาะระดับด่านสู่พิสดารของเขา ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ส่วนมากคงจะถูกกำราบอย่างสิ้นหวัง เขากระทั่งสามารถต่อสู้กับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และหากเขาใช้กฎแห่งพลังลมและสายฟ้า เขาสามารถกระทั่งกำราบปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 ส่วนใหญ่ได้ด้วยซ้ำไป
ดังนั้นแล้ว นอกจากว่าพวกเขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน ซูเฉินก็ไม่ได้มองพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย
นิกายแห่งพระแม่ไม่สามารถให้ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 คอยเฝ้ายามที่อารามหลักได้อย่างแน่นอน การมีอยู่ของผู้อารักขาเหล่านี้จึงแทบจะไม่เกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้ก่อความวุ่นวายขึ้นก็จะไม่มีปรามาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 ยืนเฝ้ายามอยู่ที่นี่
แต่กลยุทธ์การก่อความวุ่นวายของเขาก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ไม่อย่างนั้นผู้ที่แข็งแกร่งก็จะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว การที่พวกเขาไม่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้เป็นง่ายขึ้นมากมายที่ซูเฉินจะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจต้องการ
ผู้เฝ้ายามที่แข็งแกร่งที่สุดที่โถงหลักของอารามแห่งพระแม่ในตอนนี้คือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 และหัวหน้านักรบผู้ได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้นด้วยการบ่มเพาะวิชาลับบางอย่าง นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีนักรบอีก 30 คนและปรมาจารย์อาร์คาน่าอีก 30 คนยืนเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่
“ไม่แย่ ไม่แย่ ดูเหมือนว่าข้าจะลองดูได้แล้วละ” ซูเฉินพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ดวงตาของเขาเริ่มเปล่งประกายขณะที่สายตากวาดไปทั่วผู้อารักขาทุกคน
คราวนี้เขาต้องการที่จะควบคุมพวกเขาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน !
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย