บทที่ 142 ปล้นสะดม
เหล่าผู้อารักขาล้วนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉินและแสดงท่าทางสับสนออกมาขณะที่พวกเขาเป็นเช่นนั้น พวกเขาบางคนดูจะพยายามต่อสู้กับอิทธิพลจากซูเฉินอย่างหนักทีเดียว
ไม่ใช่ว่าจิตของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าอวี้หลิวเซียง แต่เป็นเพราะจิตของซูเฉินกำลังแบกรับความเครียดขนานหนักจากการพยายามเข้าควบคุมผู้อารักขาจำนวนกว่า 30 คนในคราวเดียวต่างหาก ชายหนุ่มเครียดถึงขนาดที่ว่ามันทำให้เขาลำบากยากเข็ญไม่น้อยในการรักษาการควบคุมพวกเขาโดยสมบูรณ์
ผู้เฝ้ายามทั้ง 30 คน โดยเฉพาะปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 และหัวหน้านักรบ ต่างก็ต่อสู้กลับอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อซูเฉินเห็นว่าคนจำนวนหนึ่งดูเหมือนใกล้ที่จะหลบหนีออกจากการควบคุมของเขาได้สำเร็จ เขาก็หน้าบูดบึ้งและพูด “ฆ่าพวกเขา !”
ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปยังผู้อารักขาเหล่านั้น
อวี้หลิวเซียงพุ่งตรงออกไปและเริ่มจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นางได้สังหารผู้อารักขาคนที่ 10 ซูเฉินจึงออกคำสั่งอีกครั้ง “พอ !”
อวี้หลิวเซียงหยุดลงทันที
ด้วยเป้าหมายที่ลดลงถึง 10 คน แรงกดดันบนจิตของซูเฉินก็ลดฮวบลง หลังจากที่เพิ่มพลังของเขาไปจนถึงขีดสุด เขาก็สามารถกดผู้อารักขาเผ่าปักษาที่เหลือให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาได้ในที่สุด
“ยืนเฝ้าอยู่ที่นี่และอย่าให้ใครอื่นเข้ามาข้างในเด็ดขาด” ซูเฉินออกคำสั่งขณะที่เขาตรงเข้าไปยังรูปปั้นพระแม่ข้างในโถงหลัก
รูปปั้นพระแม่นี้ไม่ได้สง่างามและยิ่งใหญ่เท่ากับรูปปั้นขนาดใหญ่ข้างนอก แต่มันถูกแกะสลักอย่างละเอียดลออยิ่งกว่าและมันยังคายรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกด้วย
ผู้ใดก็ตามที่ได้ดื่มด่ำรัศมีนี้จะได้สัมผัสการเพิ่มขึ้นของความไวต่อพลังต้นกำเนิด และพลังจิตของพวกเขาก็จะพัฒนาสูงขึ้นเช่นกัน
นี่ดูจะเป็นผลของดินแดนแปลกประหลาดบางอย่างซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการบ่มเพาะของคนคนหนึ่ง และเพราะที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่บ่มเพาะ ผู้คนจะต้องมอบถวายของเซ่นไหว้หากพวกเขาต้องการจะบ่มเพาะตนที่นี่ มันกลายเป็นแรงผลักดันสำหรับผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าและมันยังจะเพิ่มพูนความศรัทธาในตัวพระแม่อีกด้วย
ต้องบอกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นก็มีประโยชน์อยู่ด้วยเช่นกัน
แต่ประโยชน์เหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะล่อลวงซูเฉินได้ เขาไม่เพียงไม่เชื่อในพระเจ้าแต่เขากระทั่งต้องการที่จะดูหมิ่นเหยียดหยามพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มยืนตระหง่านอยู่ข้างหน้ารูปปั้นพระแม่และระบุตำแหน่งของขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว มันถูกใส่ไว้ระหว่างเครื่องแต่งกายของภาพหญิงสาวโดยเรืองแสงสีทองแปลกประหลาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือขนนกศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้การดูแลของรูปปั้นพระแม่ มันจึงไม่จำเป็นต้องถูกผนึกไว้ กลับกัน มันสามารถดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ตามที่มันต้องการขณะที่ปลดปล่อยพลังออกไปทั่วทุกทิศทาง
ซูเฉินกำลังจะก้าวเข้าไปและหยิบมันมาเมื่ออวี้หลิวเซียงเอ่ยขึ้น “เจ้าหยิบมันออกมาด้วยกำลังไม่ได้ เจ้าจะต้องแสดงความซื่อสัตย์ด้วยการบูชานางและถวายบทสวดที่เหมาะสมเสียก่อน”
“โค้งคำนับและบูชานางหรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง นี่คือวิธีเดียวที่เขาจะขอขนนกศักดิ์สิทธิ์มาจากพระแม่ได้หรือ ?
เขาไม่ได้ปฏิเสธคำเตือนนั้นในทันที เนื่องจากนี่คือพิธีที่มีมาเนิ่นนานแล้วมันก็จะต้องมีความจริงแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่เขายินดีที่จะตอบสนองความประสงค์เหล่านี้หรือ ?
อย่างไรเขาก็ไม่ได้เป็นสาวกหรือสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์อยู่แล้ว หากรูปปั้นนี้มีสติปัญญาแม้แต่น้อยก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้ว่าเขาจะโค้งคำนับและบูชามันจริง ๆ ก็ตาม
สำหรับเผ่าปักษาเหล่านี้……
พวกเขาอยู่ใต้การควบคุมของชายหนุ่ม ปัญหาที่ว่ารูปปั้นจะมองพวกเขาเป็นสาวกศิษย์ของนิกายแห่งพระแม่โดยแท้จริงไหมจึงเป็นเรื่องที่ยังต้องถกเถียงกัน
แต่ซูเฉินก็ยังพูดออกมาในท้ายที่สุด “เจ้าไปลองดูซิ”
อวี้หลิวเซียงก้าวออกมาข้างหน้า คุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้น และร่ายบทสวดออกมาตามความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินสังเกตเห็นว่าอวี้หลิวเซียงนั้นขาดความจริงใจไปโดยสิ้นเชิงเพราะนางยังอยู่ในการควบคุมของซูเฉินโดยสมบูรณ์ นางเพียงทำตามหน้าที่ตามที่ซูเฉินได้ออกคำสั่งมา
ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว การสวดนี้ควรจะนำขนนกออกมาได้ในทันที
แต่ไม่ว่าอวี้หลิวเซียงจะท่องบทสวดอย่างหนักและยาวนานเพียงไร ขนนกนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ซูเฉินส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องสวดแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดอะไรเลยสักนิด”
ขณะที่พูดเขาก็พลันก้าวออกไปข้างหน้าและเอื้อมออกไปหยิบเอาขนนกศักดิ์สิทธิ์ออกมาเฉย ๆ ทั้งอย่างนั้น
แต่ทันใดนั้นเอง ขนนกก็เริ่มส่องแสงออกมาอย่างเข้มข้น รูปปั้นหญิงสาวหันมามองยังซูเฉินขณะที่นางกรีดร้องออกมาด้วยเสียงประหลาด “เจ้าคนไร้มารยาท เจ้าบังอาจขโมยสิ่งของศักดิ์สิทธิ์หรือ ? เจ้าจะต้องถูกลงโทษสำหรับการกระทำที่ดูหมิ่นของเจ้า !”
เมื่อเสียงร้องนี้ดังก้องไปในห้อง ซูเฉินก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ปะทะเข้ากับจิตใจของเขาอย่างกะทันหันและทำให้เขาโซซัดโซเซ จิตใจของชายหนุ่มขณะนั้นเปี่ยมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลบล้างความคิดทั้งหมดที่เขาคิดมาตลอดจนกระทั่งวินาทีนี้ออกไปจากจิตใจของเขา
“อ๊าา !” ซูเฉินแผดเสียงดังลั่นขณะที่เขากุมศีรษะไว้
ในขณะเดียวกัน เหล่านักรบและปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉินก็ได้รับสติของพวกเขากลับคืนมา
ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำให้สับสนงุนงงตั้งแต่แรก แต่เพียงแค่ถูกควบคุมเท่านั้น ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่พวกเขาตื่นขึ้น เมื่อพวกเขาคิดได้ว่าพวกตนได้ถูกควบคุมและบังคับให้ทรยศต่อนิกาย พวกเขาก็ตะลึงงันและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ด้วยความเดือดพล่าน พวกเขาก็เริ่มจู่โจมซูเฉินในทันที
ในเวลาเดียวกัน ซูเฉินก็คำรามขณะที่รวบรวมพละกำลังภายในร่างกายอย่างดุเดือด
แต่เขาไม่ได้เล็งพลังนั้นไปยังผู้อารักขาข้างหลังแต่กลับเป็นรูปปั้น
การโจมตีที่ผสานไปด้วยพลังจิตทั้งหมดของเขาพุ่งตรงไปยังทิศทางของรูปปั้นหญิงสาว
การโจมตีทางจิตควรจะมีผลเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่กับสิ่งที่ไร้ชีวิต แต่การโจมตีจิตของซูเฉินกลับทำให้รูปปั้นพระแม่สั่นสะท้านก่อนที่รอยแตกร้าวจะปรากฏขึ้นบนผิวอันเรียบเนียนขอมัน
ซูเฉินพลันถอยฉากตัวเองออกมาจากแสงรัศมีขณะที่เขาตะโกนออกมาเสียงดังสนั่นและแน่วแน่ “เจ้าไม่ใช่พระเจ้า !”
หมัดที่ดุร้ายฟาดลงบนร่างของรูปปั้นซึ่งเริ่มที่จะรวดร้าวเร็วยิ่งขึ้นก่อนที่มันจะระเบิดออกในที่สุด
ในขณะเดียวกันสมบัติมากมายก็เทพรวดออกมาจากข้างในของรูปปั้น
“นี่คือ…” ซูเฉินตกตะลึง
คลังสมบัติหลักของนิกายแห่งพระแม่หรือ ?
งั้นมันก็ถูกซ่อนไว้ในรูปปั้นพระแม่สินะ
ซูเฉินหัวเราะเสียงดังสนั่นและส่งหนวดอากาศของเขาเลื้อยผ่านไปในอากาศ
“รูปปั้น !” ผู้อารักขาทั้งหมดล้วนตกตะลึง
รูปปั้นพระแม่ที่พวกเขาบูชามาตลอดหลายปีนี้ได้ถูกทำลายลงทั้งอย่างนั้นหรือ ? มันหายไปแล้ว ?
ในที่สุดเหล่านักรบก็ตอบสนอง “ปกป้องวัตถุศักดิ์สิทธิ์ !”
รูปปั้นอาจพังทลายลงแล้ว แต่สมบัติต่าง ๆ ยังคงอยู่ พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องมันอย่างสุดชีวิต !!
“ฆ่าเจ้าหัวขโมย !” ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 ตะโกนขึ้น
“ไม่ พวกเราต้องจับเป็นเขา!” อวี้หลิวเซียงเองก็ได้รับสติของนางกลับคืนมาระหว่างความโกลาหลนี้เช่นกัน
“ด้วยพวกเจ้าแค่นี้น่ะหรือ ? เจ้าควรจะกังวลเรื่องออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีลมหายใจเสียก่อนนะ” ซูเฉินคำรามอย่างเยือกเย็น
แสงจากวิชาอาร์คาน่าเริ่มพุ่งไปในอากาศ
แม้ว่าวิชาอาร์คาน่าของตระกูลชุยอวี่จะไม่ได้ทรงพลังมาก ทว่าพวกมันก็ใช้งานง่ายอย่างถึงที่สุด ซูเฉินได้ปลดปล่อยพวกมันออกไปด้วยพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ ผู้อารักขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกถึงร่างกายของตนที่หนักหน่วงขึ้นและพบว่าพวกเขาล้วนเคลื่อนไหวได้อย่างยากเย็นในทันที
นี่ไม่ใช่เพียงเพราะผลของสนามพลังกระแสแสง ซูเฉินยังใช้งานสุเมรุสูญอีกด้วย การผสมผสานกันระหว่าง 2 วิชานี้ทับซ้อนกันอย่างทวีคูณ ทำให้น้ำหนักของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งและทำให้พวกเขาแทบไม่สามารถขยับได้ในทันใด
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 ขวัญหนีดีฝ่อและปล่อยคลื่นแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อลบล้างวิชาอาร์คาน่าประเภทควบคุมที่ซูเฉินใช้
ในสถานการณ์ปกติแล้วสนามพลังกระแสแสงควรจะกระจัดกระจายออกไปอย่างง่ายดายทีเดียว
แต่โชคไม่ดีนักที่อีกฝ่ายคือซูเฉิน ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์อาบไปทั่วทั้งห้อง สนามพลังกระแสแสงของซูเฉินกลับอ่อนแอลงแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นและไม่ได้จางหายไปทั้งหมด
โชคดีที่อวี้หลิวเซียงก็อยู่ด้วยเช่นกัน ผู้นำหัวหน้าบาทหลวงขบฟันของนางแน่นพร้อมปลดปล่อยการโจมตีที่ป่าเถื่อนอย่าง ‘ฆาตจู่โจม’ ตรงไปยังซูเฉิน
วิชาอาร์คาน่าระดับ 8 นี้มีเปอร์เซ็นต์โอกาสไม่น้อยที่จะสังหารเป้าหมายได้ในทันที อัตราความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจของเป้าหมาย
ข้อเท็จจริงที่ว่าอวี้หลิวเซียงได้ปลดปล่อยวิชาที่อันตรายถึงชีวิตออกมาเร็วยิ่งนักหลังจากที่ยืนยันว่าพวกเขาจำเป็นต้องจับเขาทั้งเป็นนั้น… เป็นเพราะนางนึกขึ้นได้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกตนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้มาก นางจึงเปลี่ยนใจก่อนที่จะมีโอกาสได้แก้ไขคำพูดของนางก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ
โชคไม่ดีที่จิตใจของซูเฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าสิ่งใดก็ตามที่นางสามารถคาดเดาได้อยู่มากโข และวิชาฆาตจู่โจมก็ดูไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ผลพิเศษของมันเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไม่แม้แต่ปล่อยให้วิชาฆาตจู่โจมแตะต้องเขาสักนิด
เขาหลบหลีกการโจมตีนั้นในทันทีแล้วจึงปล่อยวิชาอาร์คาน่าออกมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาร่ายวิชาวายุแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นสายฟ้าลูกยักษ์ซัดออกไปยังทุกทิศทางในทันใด กระทั่งเหล่าเผ่าปักษาชั้นสูงก็ยังถูกเผาไหม้และได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที บางส่วนที่อ่อนแอกว่าต่างก็เสียชีวิตลงตรงนั้น
“ไอ้สารเลว… ตายเสีย !”
หัวหน้านักรบได้ต่อต้านผลของสนามพลังกระแสแสงแล้วจึงฟาดฟันลงไปยังซูเฉินด้วยดาบของเขา
เมื่อซูเฉินเห็นฟาดฟันดาบนี้ เขาก็มีความสุขในทันที
มันคือดาบศิราทองคำ
การโจมตีที่ทรงพลังของนักรบนั้นมีระดับสูงกว่าที่มันควรจะเป็น เห็นได้ชัดว่าหัวหน้านักรบคนนี้ได้ใช้ทรัพยากรไปกับการบ่มเพาะวิชาของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไม่แย่ นั่นเป็นทักษะที่เหมาะสมต่อดาบไร้แสงของข้า” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาเผยดาบไร้แสงออกมา
ดาบศิราทองคำต่อสู้กับดาบศิราทองคำ
ดาบศิราทองคำของหัวหน้านักรบแตกสลายลงราวกับโคลนที่แตกระแหงและถูกดูดซับเข้าไปโดยดาบของซูเฉินอย่างง่ายดาย
หัวหน้านักรบหวาดกลัวอย่างหนัก เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าช่องว่างระหว่างทักษะของพวกเขาจะกว้างใหญ่ถึงขนาดนี้ การดูดซับพลังงานของผู้อื่นในสนามรบนั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างการครอบครองดาบศิราทองคำแสนทรงพลัง เห็นได้ชัดว่าความหยั่งรู้ของซูเฉินนั้นลึกซึ้งอย่างน่าเหลือเชื่อ !!
อย่างไรนี่ก็คือซูเฉิน !!!
เขาอาจไม่รู้จักทักษะนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ตามจะสามารถเอาชนะเขาได้เมื่อมาถึงสิ่งที่เขารู้จักดีที่สุด
แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ เขาก็เป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ผู้เชี่ยวชาญ 4 ธาตุที่แตกต่างกัน ในแง่หนึ่ง วิชาอาร์คาน่าของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับพลังมนุษย์ของเขาอยู่มากมาย
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามนั้นคือความจริงเมื่อพูดถึงพื้นฐานของซูเฉิน หลายปีที่เขาใช้ไปกับการจมอยู่กับการวิจัยนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์
หลังจากที่พังทลายดาบต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามและดูดซับมันแล้ว พายุหมุนลูกหนึ่งพลันพลุ่งพล่านออกมาจากปีกของซูเฉินและเข้าห่มหุ้มทุกคนเข้าไปในสายลมกรรโชก
มีดลมที่คมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง
แม้ว่ามีดลมเหล่านี้จะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ปริมาณมหาศาลของมันก็มากพอที่จะถึงแก่ชีวิตได้
ที่น่าหวาดกลัวยิ่งไปกว่านั้นคือมีดเหล่านี้ถูกยิงออกมาจากกระแสลมหมุนวนขนาดยักษ์ซึ่งจะรวบหมู่ผู้อารักขาไว้และส่งพวกเขาลอยออกไปก่อนที่จะยิงมีดลมจำนวนมากเข้าใส่
หนึ่งในผู้อารักขาไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ทันเวลาและถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยมีดลมที่แหลมคมเหล่านั้น
“ไอ้บัดซบ !” อวี้หลิวเซียงคำราม
นางก้าวเดินออกไปอย่างสง่างาม ทั่วทั้งร่างของนางเริ่มเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา “นี่คือสถานที่ของพระแม่ เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ดูหมิ่นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ !?”
“นางเป็นแค่พระเจ้าของเผ่าปักษาอย่างเจ้า” ซูเฉินตอบอย่างเย็นชา สิ่งมีชีวิต 4 หน้าได้ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาแล้ว
ณ ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่ซูเฉินจะต้องปิดบังตัวตนของเขาอีกต่อไป เขาปลุกดาบศิราทองคำขึ้นมา ประสานพลังจากระดับพลังด่านสู่พิสดารของเขาเข้ากับวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 และปลดปล่อยคลื่นพลังสังหารออกมา
“อะไรกัน ? เจ้า… เป็นมนุษย์ ?” อวี้หลิวเซียงตะลึงงันต่อการเปิดเผยตัวตนนี้
ความเกลียดชังต่อชุยอวี่คงเหินของนางนั้นอยู่ในจุดสูงสุดอยู่แล้ว แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดของซูเฉิน นางจึงนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ใช่แล้ว งั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองลมหายใจกันอีกต่อไปแล้ว ถูกไหม ?” ซูเฉินหัวเราะ
ดาบศิราทองคำแหวกผ่านอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าและสังหารผู้อารักขาคนแล้วคนเล่า
อวี้หลิวเซียงรู้ตัวว่าการสู้รบครั้งนี้นั้นมีแนวโน้มที่จะแพ้มากกว่าด้วยตัวตนมนุษย์ที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม
นางอ้อนวอนเสียงดัง “ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ โปรดมอบพรให้แก่ข้า !”
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งตรงจากรูปปั้นที่แหลกสลายมายังอวี้หลิวเซียง
แต่วินาทีก่อนที่แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมาถึงอวี้หลิวเซียงนั่นเอง ซูเฉินก็เอื้อมออกไปและสกัดกั้นแสงนั้นโดยกำมันไว้ในมือของเขา
“เป็นไปได้ยังไง ?” อวี้หลิวเซียงตกตะลึงอีกครั้ง
“แสงศักดิ์สิทธิ์ ?” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าไม่รู้หรอกว่ามีพระเจ้าอยู่จริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วพลังนี้… ไม่ได้เป็นของพระเจ้า !”
ขณะที่พูดเขาก็กำมือแน่นยิ่งขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์พลันแตกสลายลงในมือของเขา
จากนั้นดาบศิราทองคำปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งและชำแหละสายธารโลหิตออกมา !!
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย