บทที่ 143 ราคาที่ยอมรับไม่ได้
ในขณะที่ซูเฉินกำลังง่วนอยู่กับการปล้นนิกายแห่งพระแม่ โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและสมาชิกระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายแห่งพระแม่ต่างก็บินตรงมายังที่ ๆ เค่อเหลยซีต๋าถูกจับได้
ในฐานะผู้ที่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆต้องการตัวมากที่สุด เค่อเหลยซีต๋าจึงเป็นเป้าหมายหลักสำหรับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน นางยินดีที่จะจ่ายแทบจะทุกราคาเพื่อปลิดชีพเขา แน่นอนว่าหากนางรู้ถึงราคาที่นางจะต้องจ่ายแล้ว นางอาจต้องพิจารณาท่าทีนั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น นั่นก็เป็นความคิดของนางในตอนนี้
เค่อเหลยซีต๋ากำลังรออยู่ที่ฐานของยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์
แน่นอนว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองไป แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ต่อหน้าโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน เค่อเหลยซีต๋าไม่สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายภาพของเขาได้ มันจึงเป็นธรรมดาที่จะถูกมองออกได้ในทันที
แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้อย่างง่ายดายนัก
ความเกลียดชังที่เขามีต่อซูเฉินนั้นฝังลึกถึงกระดูกดำ และยังคงทรมานเขาอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะรู้ดีว่าเขากำลังนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตรายขั้นสุดด้วยการยืนอยู่ที่นี่ เขาก็ยังจำเป็นต้องมา
แต่เพียงเพราะเขาโกรธเคืองเป็นอย่างมากก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่
ดังนั้นแล้วเขาจึงหยุดการไล่ตามลงที่ฐานภูเขา เขามั่นใจว่าซูเฉินกำลังพยายามใช่นิกายแห่งพระแม่ในการจัดการกับตัวเอง เขาจึงตัดสินใจที่จะนั่งรออยู่ที่นี่แทนที่จะดิ้นรนเคลื่อนไหวต่อไป
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและสมาชิกระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายแห่งพระแม่เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขามองเห็นเค่อเหลยซีต๋า หนึ่งในผู้นำหัวหน้าบาทหลวงตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น “แสงศักดิ์สิทธิ์เผยสัตย์ !”
ท่าทางที่แท้จริงของเค่อเหลยซีต๋าถูกเปิดเผยขึ้นในทันใดภายใต้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น
“เขานั่นเอง !” ผู้เชี่ยวชาญนิกายแห่งพระแม่ทุกคนล้วนสุขสำราญใจเมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าของเค่อเหลยซีต๋า
จังหวะที่พวกเขากำลังจะเข้าจู่โจมนั่นเอง เค่อเหลยซีต๋าก็พูดขึ้น “ข้าไม่ต่อต้านการต่อสู้หรอกนะ แต่ก่อนที่พวกเจ้าจะทำเช่นนั้น ช่วยฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดหน่อยได้หรือไม่ ?”
หนึ่งในหมู่บาทหลวงกล่าวเสียงดัง “มีอะไรให้พวกเราต้องฟังกัน ?”
แต่พวกเขาก็ไม่ได้โจมตีออกมาทันที
ชื่อเสียงของเค่อเหลยซีต๋าจากการเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานได้ล่วงหน้าเขาไปก่อนแล้ว ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทีเล่นทีจริงด้วยได้ นิกายแห่งพระแม่จะชนะอย่างแน่นอนหากพวกเขาตั้งใจที่จะสู้อย่างจริงจังหากดูจากระดับความแข็งแกร่งที่ฝ่ายพวกเขามีอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเค่อเหลยซีต๋าจะต้องพาพวกเขาบางส่วนจากไปด้วยเป็นแน่
และเค่อเหลยซีต๋าก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะแบบนี้มาก่อน การปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันของเขาที่ฐานยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์นั้นแปลกประหลาดเกินไป จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะตรงดิ่งมายังเหตุการณ์ด้วยความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด
แต่นอกจากความสงสัยของพวกเขาแล้ว พวกเขายังคงวางท่าทีดื้อรั้นต่อไป หากเจ้านิกายไม่อยู่พวกเขาก็คงจะโจมตีไปแล้ว
เค่อเหลยซีต๋ามองแค่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเท่านั้น “โยวเมิ่ง เจ้าและข้าไม่ได้มีตำแหน่งที่ธรรมดา แม้ว่าพวกเราจะจบลงที่การสู้รบกัน พวกเราก็ยังควรจะถกเถียงกันก่อนได้ถูกไหม ?”
คิ้วของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกระดกขึ้นทันที “เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่ ?”
เค่อเหลยซีต๋าตอบอย่างใจเย็น “ชุยอวี่คงเหินคงเป็นคนบอกเจ้าว่าข้าอยู่ที่ไหนใช่ไหม ?”
เผ่าปักษาทุกคนล้วนตกตะลึง โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป “เจ้ารู้จักเขา ?”
“เขาเป็นคนที่บอกเจ้าว่ามีเทพอสูรตื่นขึ้นที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยไหม ?”
ท่าทีของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหม่นหมองลง “เขายังบอกอีกด้วยว่าเจ้าเป็นคนที่ปลุกเทพอสูรขึ้นมา เค่อเหลยซีต๋า ไอ้สารเลว เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป ? เจ้าทำให้ทั่วทั้งอาณาจักรแห่งหมู่เมฆต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอย่างน่าอนาถ !”
“ข้าเป็นผู้ที่ปลุกเทพอสูรขึ้นมางั้นหรือ ?!” เค่อเหลยซีต๋าเงยหน้าขึ้นและคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยเสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง “ไอ้ชั่วนั่นพูดแบบนั้นหรือ ? แล้วเขาได้บอกเจ้าไหมว่าเทพอสูรตื่นขึ้นเมื่อไร มันกวาดล้างสำนักงานใหญ่ของมือแห่งโชคชะตาจนหมดสิ้น ทำให้ชีวิตนับไม่ถ้วนต้องสูญเสียไปโดยไม่จำเป็น ?”
“อะไรนะ ?” เหล่าบาทหลวงของนิกายแห่งพระแม่ต่างตกตะลึงด้วยคำพูดของเค่อเหลยซีต๋า
เหลือเพียงโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเท่านั้นที่ยังคงสงบเสงี่ยมอยู่ “พูดอีกอย่างคือนอกจากเจ้าแล้วมือแห่งโชคชะตาก็ถูกกวาดล้างไปด้วยหรือ ? เจ้ากำลังบอกว่าอย่างนั้นใช่ไหม ?”
เค่อเหลยซีต๋าก้าวถอยออกมาเล็กน้อยขณะที่เขาคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง “ใช่ มือแห่งโชคชะตาทั้งหมดถูกทำลายเว้นเสียแต่สมาชิกบางคนที่ออกไปทำภารกิจเท่านั้น และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะไอ้เวรชุยอวี่คงเหินนั่น !”
“เขา? เด็กที่ถูกมนุษย์เหล่านั้นเหยียดหยามน่ะหรือ ?” หนึ่งในหัวหน้านักบวชยังคงไม่เชื่อในคำพูดของเขา
“แล้วถ้าข้าบอกว่า ‘เด็ก’ นั่นยังเป็นคนที่ได้รับสมบัติลับของอวี้ชิงหลาน เข้าถึงกฎแห่งพลัง และเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ผู้เชี่ยวชาญ 4 ธาตุด้วยล่ะ ?” เค่อเหลยซีต๋าตอบโต้อย่างเจ็บแสบ
“เป็นไปไม่ได้ !” เผ่าปักษาทั้งหมดต่างก็คร่ำครวญออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
กระทั่งท่าทีโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็หมองหม่นลงไปด้วย “สิ้นคิด !”
หนึ่งในหัวหน้าบาทหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางรายงานอย่างรวดเร็ว “ชุยอวี่คงเหินมาจากตระกูลชุยอวี่ พ่อของเขาคือชุยอวี่ชางเต๋อ 7 ปีก่อนชุยอวี่คงเหินถูกจับกุมและอยู่ในกำมือมนุษย์ที่ชายแดนมังกรหยกและเขาถึงจะกลับมาได้เมื่อ 2 ปีก่อนระหว่างการแลกเปลี่ยนเชลย ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 เท่านั้น ไม่นานหลังจากที่กลับมายังบ้านเกิด เขาก็เกินทนกับสายตาที่เผ่าปักษาคนอื่น ๆ มองเขาและออกเดินทางแต่เพียงคนเดียว หลังจากนั้นเรื่องราวของเขาก็เป็นปริศนา”
หัวหน้านักบวชคนนี้ ผู้รู้จักกันในนาม ‘สิ้นคิด’ มีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รวบรวมความข้อมูลความรู้ เขามีความทรงจำราวภาพถ่ายและเขาก็เข้าใจแทบจะทุกสิ่งเกี่ยวกับเผ่าปักษามากมายภายในอาณาจักรนี้
เพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขากระทั่งสังเกตถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 ได้นั้นก็น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว
“ไปถึงระดับ 9 จากระดับ 5 ภายใน 2 ปีเท่านั้นหรือ ? และยังเชี่ยวชาญมากกว่า 4 ธาตุอีก ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าคิดว่านั่นเป็นไปได้ด้วยหรือ ?”
“เป็นไปไม่ได้” หัวหน้านักบวชทุกคนล้วนส่ายหัว
แม้แต่เค่อเหลยซีต๋าก็พูดขึ้น “ทีแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ข้ารู้ในสิ่งที่ข้าเห็นมาด้วยตาตัวเอง มิหนำซ้ำข้ายังได้รู้จักเขามากขึ้นมานานกว่า 1 ปีแล้วด้วย ไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาไปมากกว่าข้า เผ่าปักษาคนนี้หลักแหลมอย่างเหลือเชื่อและได้ศึกษาทั้งสิ่งต่าง ๆ ในอดีตและปัจจุบันมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่เขาจะเป็นแค่เผ่าปักษาทั่วไปอย่างแน่นอน”
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม เผ่าปักษาทั้งหมดที่นี่ก็ยังสามารถเข้าใจในธรรมชาติของเค่อเหลยซีต๋าได้เป็นอย่างดี
ด้วยความหยิ่งยโสโดยทั่วไปของเขาแล้ว เขาคงพูดถึงเด็กคนหนึ่งได้ดีที่สุดแค่คำว่า ‘ไม่แย่’ ซึ่งถือเป็นการยกย่องที่สูงส่งมากแล้ว
การที่เขาพูดอะไรเช่นนี้ออกมา… เขายังเป็นเค่อเหลยซีต๋าอยู่ไหม ?
ทุกคนต่างตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
หนึ่งในหัวหน้านักบวชกล่าว “โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะกระโดดจากระดับ 5 ไปสู่ระดับ 9 ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี”
“โดยทั่วไป ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนจ้องเขม็งไปยังสมุนของนาง “งั้นเจ้ากำลังบอกข้าว่ามันเป็นไปได้งั้นสิ ?”
“ก็… มันเป็นไปไม่ได้ในการบ่มเพาะทั่วไป แต่มันเป็นไปได้หากเขาพึ่งพาสิ่งของภายนอก” หัวหน้าบาทหลวงตอบพร้อมเตรียมใจของตนเอง
“สิ่งของภายนอก…” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพึมพำกับตัวเองขณะที่สิ่งของชิ้นแล้วชิ้นเล่าแว็บผ่านความคิดไป นางดูจะจมอยู่ในความคิดอยู่หลายวินาที
แต่ไม่ว่านางจะนึกถึงสิ่งของอะไรก็ไม่มีชิ้นใดที่สามารถนำไปสู่อัตราพัฒนาการที่น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนได้แต่ส่ายหัวของนาง “เชี่ยวชาญ 4 ธาตุและพัฒนาจากระดับ 5 ไปสู่ระดับ 9 ด้วยเวลาเพียง 2 ปี… นั่นอาจต้องใช้ยาระดับศักดิ์สิทธิ์ราว ๆ 17 อย่างหรือยาระดับตำนานหลายร้อยขนานเพื่อทำให้สำเร็จ กระทั่งคลังสมบัติของราชวงศ์ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็ไม่สามารถประคับประคองอัตราจ่ายเช่นนั้นได้”
“ไม่ได้หรอก แต่ยังมีสิ่งของชิ้นหนึ่งที่สามารถสัมฤทธิผลที่ยิ่งใหญ่กว่ายาไหน ๆ “ หนึ่งในหัวหน้านักบวชชี้ให้เห็นอย่างระมัดระวัง
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนสั่นสะท้านขณะที่นางโอดครวญออกมา “เทียนไขชีวิตหรือ ?”
เทียนไขชีวิตมีประสิทธิภาพที่ยิ่งกว่ายาระดับตำนานเสียอีก ทว่าแค่ยาระดับตำนานก็หายากพออยู่แล้ว ส่วนเทียนไขชีวิตไม่ต้องพูดถึง พวกมันสามารถผลิตได้โดยมนุษย์เท่านั้น !
เผ่ามนุษย์พึ่งพาเทียนไขชีวิตเป็นไพ่ตายหลักเพราะมันทำให้พวกเขาสามารถผลิตผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้มหาศาลและแข่งขันกระทั่งกับเผ่าวิญญาณในจำนวนของผู้เชี่ยวชาญ
มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถผลิตปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงเช่นนี้ได้ในระยะเวลาที่สั้นยิ่งนัก
“เผ่ามนุษย์…” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนบ่นอุบอิบกับตัวเองก่อนที่ดวงตาของนางจะลุกเป็นประกาย “ชุยอวี่คงเหินพึ่งจะกลับมาจากดินแดนของเผ่ามนุษย์เท่านั้น หรือว่า……”
“เขาต้องขายเราให้กับเผ่ามนุษย์แน่ ๆ!”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามขึ้น “ข้อมูลประเภทไหนกันที่เขาจะแลกเปลี่ยนกับเทียนไขชีวิตหลายร้อยเล่มได้ ?”
หัวหน้านักบวชทุกคนล้วนตะลึงงัน
แม้ว่าจะมีเพียงมนุษย์ที่ครอบครองเทียนไขชีวิต พวกมันก็หายากเป็นอย่างยิ่งกระทั่งในหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง
เผ่ามนุษย์โดยทั่วไปแล้วจะมีเทียนไขชีวิตเพียงเล่มเดียวอยู่กับตัว และพวกเขาก็มักจะใช้พลังของมันในการกำราบคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังที่พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ โดยแก่นแท้แล้วคือการทะลวงด่านชั่วคราว ดังนั้นแล้วพวกมันจึงมักจะถูกพกพาโดยผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งเพื่อป้องกันการโจมตีระดับสูงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การบริโภคพวกมันเหมือนยาเพียงเพื่อให้ไปถึงระดับพลังที่สูงขึ้น… กระทั่งองค์รัชธายาทแห่งราชวงศ์ก็คงไม่สามารถสิ้นเปลืองถึงขนาดนั้นได้
“หรือบางทีเขาอาจไม่ใช่ชุยอวี่คงเหินแต่เป็นมนุษย์ ?” หนึ่งในหัวหน้าถามด้วยความสงสัย
“ไม่ เขาเป็นเผ่าปักษาแน่ ๆ ข้าเห็นปีกของเขา พวกมันเป็นของจริง เป็นปีกที่จับต้องได้” เพียงประโยคเดียวจากเค่อเหลยซีต๋าก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนจุดสนใจของบทสนทนาใหม่อีกครั้ง
งั้นเผ่าปักษาตัวคนเดียวจะสามารถครอบครองเทียนไขชีวิตจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร ?
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปริศนา
“บางทีมันอาจไม่ใช่เทียนไขชีวิตแต่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ?” เผ่าปักษาบางคนได้คิดค้นคำอธิบายอื่น ๆ ขึ้นมา
พวกเขาโต้เถียงกันไปมาอยู่สักพักใหญ่ว่าซูเฉินสามารถทำสิ่งนี้สำเร็จได้อย่างไร แต่ก็ไม่สามารถคิดหาข้อสรุปร่วมกันได้ในท้ายที่สุด
เป็นโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนผู้พูดขึ้นมาในตอนท้าย “พอแล้ว ! ไม่ว่าชุยอวี่คงเหินจะพัฒนาขึ้นได้อย่างไรก็ไม่สำคัญ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือ… เจ้า เค่อเหลยซีต๋า !”
ทุกคนต่างหันไปเผชิญหน้ากับเค่อเหลยซีต๋าอีกครั้ง
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพูดขึ้น “เค่อเหลยซีต๋า ถ้านั่นคือทั้งหมดที่เจ้าต้องการจะพูดงั้นพวกเราก็รู้ทั้งหมดแล้ว มีเรื่องอื่นใดจะพูดอีกไหม ?”
“แน่นอน” เค่อเหลยซีต๋าหัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะที่สาธยายต่อไป “มีอีก 3 เรื่อง อย่างแรกคือเขาเป็นผู้ที่ปลุกเทพอสูรขึ้นมา”
หัวใจโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนมัวหมองลงทันที งั้นก็เป็นอย่างนี้เองสินะ
ที่จริงแล้วนางคาดเดาว่านี่คือประเด็นหลักก่อนที่เค่อเหลยซีต๋าจะพูดอะไรออกมาเสียอีก
แต่เพียงเพราะนางสามารถเดาเรื่องแรกของเขาได้ ก็ไม่ได้แปลว่านางจะสามารถคาดเดาเรื่องที่เหลือได้
เค่อเหลยซีต๋ากล่าว “อย่างที่ 2 คือเหตุผลที่ข้าเข้ามาข้องเกี่ยวกับเขาตั้งแต่แรกเป็นเพราะเขาปล้นสำนักงานใหญ่ของมือแห่งโชคชะตา”
เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้น เหล่าปักษาจากนิกายแห่งพระแม่ทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง
ข้อเท็จจริงที่เขาสามารถบรรลุบางสิ่งในระดับนั้นมีนัยที่ลึกซึ้งอย่างแน่นอน พวกเขาล้วนไม่ใช่คนโง่
ขณะที่กำลังวิเคราะห์คำพูดของเค่อเหลยซีต๋า พวกเขาต่างก็นึกขึ้นได้ว่ามันอันตรายเพียงใดที่ทิ้งชายคนนี้ไว้ลำพังภายในนิกายแห่งพระแม่
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกระทั่งคิดที่จะให้รางวัลแก่ชุยอวี่คงเหินก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เมื่อเค่อเหลยซีต๋าได้พูดประเด็นของเขาแล้ว นางก็เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในทันที
เขาพึ่งจะเข้าไป… !
“ข้าจะ…” หัวหน้านักบวชบางคนเริ่มพูดขึ้น
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนแทรกขึ้นมา “ทุกคนอย่างตื่นตระหนก ! ไม่ว่าความตั้งใจที่แท้จริงของไอ้เด็กเหลือขอนั่นจะเป็นอย่างไร ผู้อารักขาของนิกายก็ยังคงอยู่ ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือกับแค่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ได้ พวกเราต้องเชื่อมั่นในตัวเหล่าศิษย์ในนิกายของพวกเรา !”
เหล่าหัวหน้านักบวชโค้งคำนับต่อโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน “เจ้านิกายช่างรอบรู้จริง ๆ!”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนชำเลืองมองไปยังเค่อเหลยซีต๋า “ข้าเชื่อว่าเหล่าสานุศิษย์ของข้าจะสามารถรับมือกับไอ้โจรอวดดีคนนี้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะทำไม่ได้พวกเราก็คงสามารถลดความสูญเสียลงได้บ้าง นิกายแห่งพระแม่ได้จ่ายราคามากเกินไปในหลายปีที่ผ่านมาเพราะการกระทำของเจ้า หากจะต้องใช้สมบัติไม่กี่ชิ้นเพื่อเอาชีวิตเจ้าที่นี่วันนี้ ข้าก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะยอมรับราคานั้น ! แต่ก่อนหน้านั้น อย่าแม้แต่คิดว่าเจ้าจะพยายามให้ข้าต้องเสียแรงไปในวันนี้ที่นี่เลย !!”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เค่อเหลยซีต๋าก็เผยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา “ข้าบอกเรื่องที่ 3 ได้หรือยัง?”
“พูด !” น้ำเสียงของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเริ่มจะเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
เค่อเหลยซีต๋าแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เขากล่าวอย่างใจเย็น “เทพอสูร คางคกพันพิษ…… กำลังเดินทางมาที่นี่ !!”
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย