ตอนที่ 757 ตั้งใจยับยั้งพลังไว้

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานโม่ฉือยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยขณะเหวี่ยงฝ่ามือออกไปตอบโต้และสลายการโจมตีของเถียนโป๋อัน

พลังของเขาในตอนนี้บรรลุขอบเขตราชาเซียนแล้ว แม้ยังเทียบไม่ได้กับยอดฝีมือระดับสูงของดินแดนมหาเทพ ทว่าด้วยความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไป หานโม่ฉือก็มีโอกาสเอาชนะเถียนโป๋อันได้ไม่ยาก

ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเหมียวก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาอย่างไร้เงื่อนไข ในเวลานี้จึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องยอมก้มหัวให้อีกฝ่าย

“เถียนโป๋อัน ที่นี่คือตระกูลเหมียวของข้า มิใช่ที่ที่เจ้าจะทำตัวบ้าบิ่นได้ตามต้องการ !”

เหมียวเหรินจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างชัดเจน

ผู้นำตระกูลเถียนผู้นี้หยาบคายไม่เคยเปลี่ยนและคนตระกูลของเขาก็มักจะหาเรื่องก่อกวนคนของตระกูลเหมียวมาเสมอ ตอนนี้การที่เขามาเยือนถึงจวนตระกูลเหมียว ทว่าก็ยังวางท่าเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร เขาคิดจริง ๆ หรือว่าตระกูลเหมียวจะยอมอยู่เฉยให้รังแกได้ ?

“เหมียวเหรินจวิน แน่ใจรึว่าตระกูลเหมียวของเจ้าจะแตกหักกับตระกูลเถียนเพียงเพราะบุรุษผู้นี้ ?”

เถียนโป๋อันพยายามควบคุมโทสะที่คุกรุ่นในใจจนแทบระเบิดและกล่าววาจาข่มขู่เหมียวเหรินจวินออกไป

เขาถึงขั้นยอมลดตัวลงและแบกหน้ามาถึงที่นี่แล้ว ทว่าหานโม่ฉือกลับไม่ซาบซึ้งแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายตระกูลเหมียวก็ยังไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้อีก ต่อให้บุตรสาวที่เขารักจะหลงใหลและปรารถนาบุรุษหนุ่มผู้นี้มากเพียงใด เถียนโป๋อันก็ไม่อาจยอมอ่อนข้อได้อีกต่อไป

“เถียนโป๋อัน เจ้าคิดดูให้ดีเสียก่อนเถอะ สองตระกูลของเราไม่เคยเป็นมิตรต่อกันมาก่อนและไม่มีทางที่มันจะแตกหักเพราะโม่ฉือได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเถียนของพวกเจ้ากล้าข่มขู่สหายน้อยโม่ฉือเช่นนี้ คิดว่าบุตรสาวของเจ้าคู่ควรกับเขางั้นหรือ ? ต่อให้ข้าไม่บอกกับเจ้าตามตรง เจ้าก็ควรที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง !”

เหมียวเหรินจวินยิ้มอย่างเย้ยหยัน ตระกูลเทียนและตระกูลเหมียวของพวกเขาไม่เคยดีต่อกันและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็แตกหักกันก่อนที่หานโม่ฉือจะปรากฏตัวที่นี่เสียอีก การที่เถียนโป๋อันต้องการให้เขามอบตัวหานโม่ฉือให้กับเถียนเยี่ยนจือเพียงเพราะกลัวอำนาจของตระกูลเถียนเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวเหรินจวินมีปัญญาอันชาญฉลาดและเชื่อมั่นว่าหานโม่ฉือผู้นี้มีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลเถียนเลยด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เป็นจ้าวเมืองเทียนยินมาที่นี่ด้วยเอง เหมียวเหรินจวินก็ไม่ลังเลที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของหานโม่ฉือ

“ถูกต้อง พาคนของเจ้ากลับไปที่ตระกูลเถียนเสียเถอะ ตระกูลเหมียวของเราไม่ต้อนรับพวกเจ้า บอกเถียนเยี่ยนจือด้วยว่าหัดส่องกระจกดูเสียบ้าง การที่คิดจะหมายปองพี่หานของข้า คิดว่าตัวเองคู่ควรอย่างนั้นหรือ !”

เหมียวเจินเจินก็กล้าหาญไร้ความหวาดหวั่นเช่นกัน นางจ้องหน้าเถียนโป๋อันพลางยกมือเท้าสะเอวทั้งสองข้างด้วยท่าทางหยิ่งทะนง

“ดี ! ดี ! ดีเลย !”

เถียนโป๋อันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะกวาดสายตามองคนตระกูลเหมียวภายในห้องโถงด้วยแววตามุ่งร้ายและลั่นวาจาออกไป “เหมียวเหรินจวิน ในเมื่อตอนนี้ยังเหลืออีกสองเดือนก่อนถึงการคัดเลือกของเมืองเทียนยิน ข้าจะยอมพวกเจ้าไปก่อน พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ ! เมื่อถึงวันนั้น ตระกูลเหมียวของเจ้าจะต้องถูกทำลายจนพินาศแน่ !”

หลังจากกล่าวทิ้งท้าย เขาก็หันหลังเดินจากไปทันที สมาชิกตระกูลเถียนที่ติดตามมากับเขาก็รีบตามออกไปเช่นกันโดยไม่ลืมที่จะกวาดสายตามองคนตระกูลเหมียวอย่างเคียดแค้น

“เชิญตามสบาย หวังว่าผู้นำเถียนจะได้ในสิ่งที่ต้องการล่ะ !”

เหมียวเหรินจวินกล่าวขึ้นเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจคำข่มขู่ของตระกูลเถียน อย่างไรก็ตาม ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจและเขาตัดสินใจส่งคนไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเถียนทันที ในเมื่อเถียนโป๋อันกล้าลั่นวาจาข่มขู่อย่างเปิดเผยเช่นนี้แสดงว่าเขาอาจมีไพ่ตายบางอย่างซ่อนไว้ เขาก็อยากเห็นนักว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เถียนโป๋อันมั่นอกมั่นใจว่าจะทำลายตระกูลเหมียวได้เช่นนี้ !

“ท่านลุงขอรับ ข้าสร้างปัญหาให้กับท่าน…”

เมื่อทุกคนจากตระกูลเถียนกลับไป หานโม่ฉือก็ประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างขอโทษขอโพย

“พี่หาน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ ท่านถือเป็นพี่ชายของข้าและเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเรา อย่าคิดเกรงใจกันเลย”

เหมียวเจินเจินกระโดดไปตรงหน้าหานโม่ฉือและกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าไร้กังวล

“ถูกต้อง โม่ฉือ เจ้าทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว ในเมื่อเจ้าเองก็เรียกข้าว่าท่านลุง แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้า อีกอย่าง…ตระกูลเถียนก็เป็นศัตรูตัวฉกาจกับตระกูลเรามานาน ในเมื่อพวกเขาสร้างความวุ่นวายกวนใจเจ้า เราก็ต้องเอาคืนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูตระกูลเถียนก็ไม่ดีพอสำหรับเจ้าเลยสักนิด นางไม่คู่ควรแม้แต่จะเช็ดรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้ำ เจ้ากับเจินเจินทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

เหมียวเหรินจวินตบไหล่หานโม่ฉือขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจ

ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวต่างก็เห็นด้วยกับวาจาของผู้นำตระกูลและสนับสนุนหานโม่ฉือด้วยความยินดี การที่สามารถตอกกลับตระกูลเถียนเช่นนี้ทำให้พวกเขามีความสุขกันอย่างมาก เถียนโป๋อันมักวางตัวสูงส่งเหนือผู้อื่นอยู่เสมอ ในวันนี้เขาไม่เพียงแต่เสียหน้าเท่านั้น ทว่ายังเผชิญกับความพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูปและนั่นเป็นสิ่งที่น่าพอใจสำหรับทุกคน !

“เอาล่ะ เจ้าไปพักก่อนเถอะ พวกเราจะจัดการที่เหลือเอง ในเมื่อตระกูลเถียนประกาศอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ในการคัดเลือกที่จะมาถึง พวกเขาจะต้องหาทางจัดการพวกเราตระกูลเหมียวแน่ เมื่อถึงตอนนั้น คาดการณ์ได้ว่าพวกเราคงต้องหวังพึ่งเจ้าเช่นกัน”

เขาตบไหล่หานโม่ฉือเบา ๆ อีกคราและรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ตอนนี้เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามองคนไม่ผิดไป หานโม่ฉือผู้นี้เป็นคนที่ควรค่าแก่การผูกมิตรอย่างแท้จริง

“เจินเจิน ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะพลังในอีกหลายวันข้างหน้า ข้าคงไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเจ้าอีก”

เมื่อเดินมาถึงประตูของเรือนหลังเล็กซึ่งเป็นที่พักของตน หานโม่ฉือก็กล่าวออกไป

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็ได้ทราบสถานการณ์โดยรวมของเมืองเทียนยินพอสมควรและไม่มีเบาะแสใดเกี่ยวกับฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย ในเมื่อออกไปข้างนอกแล้วต้องเผชิญปัญหาที่น่าปวดหัว การเก็บตัวฝึกวิชาอย่างสงบอยู่ที่เรือนย่อมดีกว่า เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่คนรักของตนจะต้องหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้อย่างแน่นอน และทั้งสองจะได้พบกันเมื่อถึงตอนนั้น…

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่กวนพี่หานเจ้าค่ะ”

เหมียวเจินเจินพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย นี่เป็นสิ่งที่นางตั้งใจไว้แล้วเช่นกัน เถียนเยี่ยนจือผู้นั้นหน้าด้านหน้าทนเป็นที่สุดและคุณหนูตระกูลเหมียวไม่ต้องการออกไปพบเจอกับปัญหาความวุ่นวายเฉกเช่นวันนี้อีก…

จากนั้นหานโม่ฉือก็ปิดประตูลงเพื่อเก็บตัวอีกครั้งและวางแผนที่จะรอจนกระทั่งถึงวันก่อนการคัดเลือกจึงจะออกมา ทว่าในอีกฟากหนึ่งของดินแดน ในเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ทะลวงพลังได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

หลังจากการเผชิญทัณฑ์สายฟ้า ในที่สุดความแข็งแกร่งของนางก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็แตกต่างไปจากหานโม่ฉือและยังไม่ได้ทะลวงพลังไปถึงราชาเซียนเต็มตัว พลังของนางในตอนนี้ยังอยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวซึ่งตามหลังขอบเขตราชาเซียนอยู่พอสมควร

นางรู้สึกได้ว่าพลังลึกลับภายในร่างกายของตนเองกำลังขัดขวางมิให้นางทะลวงพลังไปมากกว่านี้ ราวกับว่ามันต้องการให้นางหยุดอยู่ที่ขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเป็นการชั่วคราวและไม่อนุญาตให้พัฒนาไปถึงขอบเขตราชาเซียนได้

เดิมทีฉินอวี้โม่ก็ตั้งใจที่จะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อทะลวงพลังไปถึงขอบเขตราชาเซียนภายในคราวเดียว ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความประหลาดบางอย่างในร่างกาย นางก็หยุดการทะลวงพลังลงเมื่อบรรลุขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว

“นายหญิง…”

“นายหญิง…”

“ท่านแม่…”

เสียงของบรรดาอสูรในคฤหาสน์เฟิงหัวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ตาม ๆ กัน

หลังจากก้าวเข้ามาในดินแดนมหาเทพแห่งนี้ ฉินอวี้โม่และคฤหาสน์เฟิงหัวก็ขาดการติดต่อกันเป็นการชั่วคราว มันกลายเป็นเพียงวัตถุจำลองไร้ชีวิตที่ฉินอวี้โม่เก็บไว้ในแหวนมิติตลอดช่วงที่ผ่านมาโดยไม่สามารถเข้าไปข้างในหรือสื่อสารกับเหล่าอสูรภายในได้เลย

ทว่าทันทีที่นางทะลวงพลังไปสู่ระดับที่สูงกว่า คฤหาสน์เฟิงหัวก็กลับสู่สภาวะปกติเช่นกัน และในที่สุดนางก็ควบคุมและเชื่อมโยงเข้ากับมันได้

ในช่วงที่หานอวี้ เสี่ยวจิ่ว มารยาและบรรดาอสูรอื่น ๆ ติดต่อกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ พวกมันต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะคฤหาสน์เฟิงหัวยังอยู่ในสภาพปกติดีทุกอย่างและหานอวี้สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่สบายดี พวกมันก็คงจะหาทางใช้กำลังฝ่าออกมาจากคฤหาสน์ล่องหนนี้

“อวี้โม่ ยินดีด้วยที่ทะลวงพลังได้สำเร็จ”

ไป๋ฉี่ผู้ซึ่งดูเหมือนบุรุษหนุ่มอายุสิบห้าหรือสิบหกปีมองฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างซึ่งแสดงให้เห็นลักยิ้มบุ๋มเล็ก ๆ ทั้งสองข้างอย่างชัดเจน เดิมทีแววตาของเขายังคงใสซื่อบริสุทธิ์ ทว่าเขาจะเผยให้เห็นด้านที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าฉินอวี้โม่เท่านั้น

“พวกเจ้าคงจะกังวลกันมาก”

ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะไป๋ฉี่และหานอวี้เบา ๆ การขาดการเชื่อมต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัวครานี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและทำให้นางรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงเกิดความคิดใหม่ขึ้นในใจ ระดับพลังของคฤหาสน์เฟิงหัวในตอนนี้ตามความเร็วในการพัฒนาของนางไม่ได้อีกแล้วและนางจำเป็นจะต้องหาทางพัฒนาเพิ่มระดับของมันเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

“นายหญิง พวกเรายังทะลวงพลังไปไม่ได้ เว้นแต่ว่าท่านจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนได้เต็มตัว พลังของพวกเราทั้งหมดก็คงจะติดชะงักอยู่ที่เดิม”

มารยายังคงแสดงสีหน้าท่าทางที่เย็นชาและห่างเหินเช่นเดิม ทว่าอสูรสาวไม่สามารถปิดบังความกังวลในแววตาได้เลย

สำหรับการขาดการเชื่อมต่อกับฉินอวี้โม่ในครานี้ หากมิใช่เพราะรับรู้ได้ว่าผู้เป็นนายยังปลอดภัยดี เกรงว่ามันก็คงไม่อาจอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวได้อย่างใจเย็นมาจนถึงตอนนี้

“ข้าสัมผัสได้ว่าพลังลึกลับในร่างของข้าพยายามขัดขวางมิให้ข้าทะลวงพลังต่อไปได้ ข้าจึงระงับมันไว้ก่อน ดินแดนมหาเทพแห่งนี้แตกต่างจากที่ข้าจินตนาการไว้พอสมควรและน่าจะมีศัตรูซ่อนอยู่ในมุมมืดมากนัก ช่วงนี้พวกเจ้าอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวไปก่อนเถอะ เมื่อเวลาที่ใช่มาถึง ข้าจะพยายามทะลวงพลังให้สำเร็จ”

ฉินอวี้โม่อธิบายกับเหล่าอสูรซึ่งเป็นดั่งสหายร่วมทางตลอดการเจริญเติบโตที่ผ่านมาอย่างไม่คิดปิดบังสิ่งใด หากพยายามฝืนทะลวงพลังต่อไป นางจะเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนเต็มตัวได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ลางสังหรณ์ของนางกำลังบอกว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่ดีที่สุด

“รับทราบ นายหญิง”

อสูรมายาทั้งหลายก็พยักหน้าหงึกหงักทันทีก่อนที่เสี่ยวโพธิ์จะกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “พี่อวี้โม่ ข้าจะขอให้พืชพรรณในดินแดนนี้ตามหาเบาะแสของคนอื่น ๆ เช่นกัน ข้าจะรีบบอกท่านทันทีที่ได้รับข่าว”

ในฐานะหนึ่งในราชาพฤกษา แม้ในตอนนี้จะไม่ได้มีพลังอำนาจในระดับสูงสุด ทว่ามันก็ยังมีแรงกดดันที่ทรงพลังในระดับของราชา ตราบใดที่พืชพรรณในดินแดนมหาเทพมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง พวกมันเหล่านั้นก็จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เวลานี้มันได้ส่งข่าวสื่อสารออกไปเพื่ออธิบายข้อมูลโดยทั่วไปเกี่ยวกับหานโม่ฉือ ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ แล้ว คาดว่าจะได้ทราบเบาะแสในเวลาเพียงไม่นาน

“ขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่บีบแก้มนุ่มนิ่มของต้นโพธิ์ในร่างเด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีจนใบหน้าของมันแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็กลับออกไปและปรากฏตัวในโลกภายนอกอีกครั้ง

นางเตรียมความพร้อมต่าง ๆ ครู่หนึ่งก่อนเปิดประตูและก้าวออกไป

หน้าประตูเรือนในตอนนี้มีศิษย์ตระกูลฉื่อหลายคนที่คุ้มกันความปลอดภัยอยู่ไม่ห่างและพวกเขาโค้งคำนับอย่างเคารพทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่เดินออกมา

“เยี่ยมไปเลย ผู้อาวุโสอวี้โม่ออกมาแล้ว ข้าจะไปบอกท่านผู้นำและนายน้อยเดี๋ยวนี้”

ศิษย์คนหนึ่งวิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้ม ฉื่อซิ่งและฉื่อไท่หลางกำชับพวกเขาไว้แล้วว่าเมื่อใดที่ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวออกมา บรรดาศิษย์ที่คุ้มกันหน้าประตูจะต้องรีบไปรายงานพวกเขาทันที

ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้กับคนเหล่านั้นและเดินตรงไปยังห้องโถงประชุม

นางได้พบกับศิษย์ตระกูลฉื่อหลายคนในระหว่างทางและพวกเขาต่างก็กล่าวทักทายนางอย่างกระตือรือร้นซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก

ภายในห้องโถงของจวนตระกูลฉื่อ ทันทีที่ได้รับข่าวของฉินอวี้โม่ ฉื่อซิ่งและฉื่อไท่หลางก็รีบเข้ามารอฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ก่อนแล้ว

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาทันที

“แม่นางอวี้โม่ ขอแสดงความยินดีกับการทะลวงพลังได้สำเร็จ”

ฉื่อซิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังที่แผ่มาจากฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ต้องกล่าวเลยว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่แกร่งกล้ายิ่งกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก การที่ทะลวงพลังจากขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดไปสู่ขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวได้ภายในเวลาเพียงประมาณยี่สิบวัน ต่อให้เปรียบเทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพก็คงมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ถึงระดับนี้

“ลูกพี่อวี้โม่ โชคดีจริง ๆ ที่ท่านออกมาได้ทันเวลา อีกสามวันการคัดเลือกของอำเภอซ่างหยวนก็จะเริ่มต้นแล้ว หากท่านยังไม่ออกมา เกรงว่าข้าคงต้องไปเคาะประตูเรียกท่านด้วยตัวเอง”

ฉื่อไท่หลางยิ้มกว้างและแจ้งวันเวลาของการคัดเลือกให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ