ตอนที่ 949 ขึ้นบนหอโลหิต

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีมองสาวน้อยที่หน้าตาน่ารักตรงหน้าผู้นี้อย่างพิจารณา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับราชทินนามเฮยเพียงลำพัง

นางกล่าว “ดูเหมือนว่ามารดาข้าจะมิได้ให้กำเนิดน้องสาวแก่ข้า ตัวเจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังจะมาเรียกผู้ที่ยังมิได้กลายเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มขั้นว่าพี่สาว หนังหน้าจะหนาไปหน่อยแล้วกระมัง!”

สีหน้าของราชทินนามเฮยบูดเบี้ยว “เจ้า…เจ้ารู้…เรื่องเช่นนี้พี่ไป๋อีก็บอกแก่เจ้าแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋ของข้านั้นจะมีอายุมากกว่าข้า แต่ก็ไม่ได้มากมายดั่งเช่นเจ้า วัน ๆ เจ้าเอาแต่เรียกเขาว่าพี่ชาย เรียกเสียจนเสี่ยวไป๋ของข้านั้นจะแก่ไปจริง ๆ เสียแล้ว อย่างไรเสียคราหน้าก็ขอให้เจ้าเปลี่ยนคำเรียกขานด้วย”

คำพูดสองประโยคนี้ของมู่เฉียนซีได้ไปแทงจุดเจ็บของนางโดยเฉพาะ และแทบจะทำให้ราชทินนามเฮยจวนเจียนระเบิดออกมาเสียแล้ว

ดวงตากลมโตสีดำสนิทของนางในตอนนี้กำลังมีไฟอันร้อนระอุปะทุขึ้น แทบอดมิได้ที่จะเผาเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ให้ไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไปเข้าร่วมการท้าประลองก่อน! ขอให้เจ้าทำตัวตามสบาย!”

มู่เฉียนซีจากไปโดยไม่สนใจราชทินนามเฮยที่ได้ปะทุเพลิงโทสะขึ้นแม้แต่น้อย

กู้ไป๋อีที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้เห็นมู่เฉียนซีทำให้ราชทินนามเฮยโกรธเสียจนแทบจะระเบิดออกมา มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย

แต่ไหนแต่ไรมาเด็กสาวผู้นี้ก็เป็นพวกที่ไม่เคยยอมที่จะเสียเปรียบอยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งหนึ่งร้อยครั้งจะน่าตื่นเต้นและอันตราย แต่การท้าประลองไปอย่างทีละชั้นทีละชั้น เห็นได้ชัดเลยว่าความรวดเร็วของนางนั้นไวกว่าเมื่อคราวที่หอคอยห่งความตายมากนัก

แต่เสี่ยวไป๋กลับบอกว่าเขาใช้เวลากับที่นี่ไปนานถึงเจ็ดปี

ระยะเวลาเจ็ดปีนี้มิใช่ระยะเวลาที่ได้เสียไปตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่แปดของหอคอยโลหิต แต่ว่าเสียไปกับชั้นที่เก้าของหอคอยโลหิตเพียงชั้นเดียว

ในการต่อสู้ของแต่ละชั้น แม้ว่ามู่เฉียนซีจะมิเคยได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแต่ก็มีร่องรอยของการบาดเจ็บให้พบอยู่ถมไป แต่ทุกครั้งก็ล้วนสามารถที่จะยืนหยัดเอาไว้ได้

ระยะเวลาเก้าสิบเก้าวัน นางได้ผ่านด่านของชั้นล่างแปดชั้นทั้งหมดแล้ว

ในเวลานี้ทุก ๆ คนของหอคอยโลหิตล้วนแต่เรียกนางว่าตัวประหลาด

ใช่แล้ว ตัวประหลาด นับตั้งแต่มีเมืองเฮยตูขึ้นมา ไม่มีผู้ใดที่จะฝ่าไปยังชั้นที่แปดได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

แม้แต่ราชทินนามหานผู้หล่อเหลาก็ยังใช้ระยะเวลาถึงครึ่งปีเชียวนะ!

ราชทินนามเฮยกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ฝ่าขึ้นไปยังชั้นที่แปดด้วยความรวดเร็วเช่นนี้แล้วมีประโยชน์อะไร? คิดว่าด่านนั้นของหอโลหิตมันผ่านไปได้ง่ายดายจริง ๆ เหรอ? แค่ไม่ระมัดระวังเพียงนิดเดียว จะต้องเกิดการคุ้มคลั่งอยู่ในนั้นแล้วฆ่าตัวเองเสียอย่างแน่นอน”

ในตอนนี้กู้ไป๋อีกำลังพูดคุยอยู่กับมู่เฉียนซีอยู่ตามลำพัง

มู่เฉียนซีถามขึ้น “เสี่ยวไป๋ หอโลหิตคืออะไร?”

กู้ไป๋อีหันกลับมาตอบ “ในนั้นมีวิญญาณโลหิตชั่วร้าย เมื่อเข้าไปยังที่แห่งนั้น พลังสมาธิของเจ้าจะไหลเข้าไปสู่โลกของผู้ที่ฆ่าฟันอย่างกระหายเลือด ไปพบผ่านทุกสิ่งทุกอย่างของมันและฆ่าฟันอย่างไม่หยุดยั้ง”

“ด้านในนั้น จงอย่าได้สูญเสียจิตใจของตนเอง อย่าได้ถูกการฆ่าสังหารเข้าครอบงำ และค่อย ๆ ผ่านไปที่ละค่ายกล จากนั้นก็เดินออกมาอย่างปลอดภัย เข้าใจหรือไม่?”

เขาเชื่อว่านางจะสามารถทำได้!

ขอแค่เพียงนางเดินออกมาอย่างปลอดภัยและได้กลายเป็นตำแหน่งมหาจักรพรรดิ เช่นนั้นก็จะสามารถออกจากเมืองเฮยตูไปได้อย่างปลอดภัย มู่เฉียนซีนึกถึงศึกที่มีกลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วท้องนภาของวิญญาณมังกรเพลิงพิฆาต ในตอนแรกนางนั้นเกือบที่จะเสียทีไปเสียแล้ว โชคดีที่จิ่วเยี่ยมาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา

แต่มาตอนนี้ นางต้องพบสิ่งที่เหมือนกันทั้งหมดนั้นเพียงผู้เดียว นางจะไม่ยอมแพ้

ถ้าหากว่าพ่ายแพ้เสียที่นี่ จากวันนี้ไปหากโชคไม่ดีเป็นอย่างมากแล้วพบเข้ากับจิตวิญญาณของกระบี่ เช่นนั้นแล้วจะมีความสามารถอะไรที่จะไปควบคุมเจ้าหมอนั่นเอาไว้ได้เล่า?

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ถ้าหากเป็นสิ่งนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้ารอคอยข่าวดีที่ข้าจะได้เป็นตำแหน่งมหาจักรพรรดิเถอะเสี่ยวไป๋!”

กู้ไป๋อีพยักหน้ากล่าว “ได้! ข้าจะรอคอยข่าวดีของเจ้า” วันต่อมา มู่เฉียนซีก็ได้ไปยังที่ชั้นที่เก้าของหอคอยโลหิต

ราชทินนามเฮยปรากฏตัวขึ้นดั่งภูตผี นางกล่าว “ผู้ที่สามารถเดินออกมาจากหอคอยโลหิตได้ มิมีผู้ใดไม่เหมือนปีนป่ายออกมาจากนรก พี่ไป๋อีคอยให้ท้ายนางอยู่ เกรงว่าจะมิได้นะ!”

ปัง! กู้ไป๋อีได้โยนห่อสีดำห่อเล็กออกมาห่อหนึ่งและมันได้ระเบิดขึ้นด้านหน้าของนาง

การออกมายังเวทีประลองยุทธ์ของหอคอยโลหิตนั้นไม่สามารถที่จะลงไม้ลงมือกันได้ ราชทินนามเฮยเองก็คาดไม่ถึงว่ากู้ไป๋อีก็ยังจะลงมือ

“แค่ก แค่ก แค่ก!”

ควันที่เกิดจากระเบิดของห่อเล็ก ๆ นั้นทำให้นางไอออกมายกใหญ่ ราชทินนามเฮยกล่าว “กู้ไป๋อี นี่มันคืออะไรกัน?”

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเฉยเมย “นี่เป็นอาวุธลับที่คุณหนูใหญ่มอบให้ข้าเอาไว้ป้องกันสตรีหื่น มันมีพิษ! เจ้ารักษาตัวให้รอดเป็นยอดดีเถอะ!”

“เด็กสาวนั่น!” ราชทินนามเฮยโกรธเสียจนแทบกระอักเลือดออกมา

หลังจากราชทินนามเฮยได้จากไปอย่างโกรธเกรี้ยวแล้ว สายตาของกู้ไป๋อีก็มองไปทางหน้าต่างอย่างลึกล้ำ

ที่ราชทินนามเฮยกล่าวเอาไว้มิผิด ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาจากหอโลหิตได้ มิมีใครที่มิได้ปีนป่ายออกมาจากนรก

ได้พบเห็นการเข่นฆ่าจนเคยชิน และได้เห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลถึงได้ฝ่าด่านนี้ออกมาได้

ถึงแม้ว่าสาวน้อยจะมิใช่ผู้ที่จิตใจดีมีเมตตาอารี แต่นางก็คงยังมิได้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างแน่นอน

การที่จะฝ่าออกมานั้นจะต้องมิใช่ความยากเย็นอย่างธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

แต่เขาเชื่อว่านางจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน

เมื่อขึ้นไปยังชั้นที่เก้าของหอคอยโลหิต มู่เฉียนซีก็ได้เห็นตัวของตนเองปรากฏขึ้นกลางหอโลหิต นี่เป็นหอที่มีสีแดงโลหิต

เกรงว่านี่คงจะเป็นสิ่งปลูกสร้างแรกในเมืองเฮยตูที่นางได้เห็นว่าไม่เป็นสีดำ ที่รอบด้านนั้นก็มีค่ายกลอยู่ไม่น้อย ทันทีที่มู่เฉียนซีก้าวเข้าไปก็ได้ถูกลำแสงสีแดงนั้นดูดเข้าไป

หลังจากนั้น มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าตนเองได้มาถึงสนามรบแห่งหนึ่ง!

จิตสำนึกของนางได้เชื่อมต่อกับแม่ทัพผู้หนึ่ง และขึ้นม้ากวัดแกว่งดาบทำศึกร่วมกับเขา

ทุกครั้งที่ได้ลงมือไป ล้วนแต่ได้บั่นศรีษะของคนผู้อื่นให้หลุดร่วงหล่นไป

ในสนามรบนั้น โลหิตได้ย้อมสีของพื้นและใบหญ้าจนเป็นสีแดงฉาน

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างสงบนิ่ง “นี่ยังไม่เพียงพอ เจ้าหมอนี่ไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่นส่วนของมังกรเพลิงพิฆาตเลยด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาดึงรั้งข้าเอาไว้อีก”

ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่เฉียนซีล้วนแต่สงบนิ่งอย่างที่สุด

แม้ว่าในตอนนั้นจิ่วเยี่ยจะเข้ามาช่วย แต่ว่าตนเองนั้นก็ได้ยืนหยัดอยู่อย่างยาวนาน เช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ไม่อาจจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้

เมื่อเดินออกมาจากดินแดนแห่งภาพลวงตา มู่เฉียนซีก็ได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนแห่งภาพลวงตาอีกแห่งหนึ่ง

เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายครั้ง และมู่เฉียนซีก็ได้ก้าวผ่านมันไปเช่นนี้ แม้แต่กระบี่มังกรเพลิงยังดูถูกพลังที่แสนจะอ่อนแอยิ่งนักของแดนแห่งภาพลวงตาเหล่านี้

แม้ว่าตัวกระบี่มังกรเพลิงจะไม่กระหายเลือดเหมือนดั่งวิญญาณของกระบี่ แต่ทว่าตัวของมันเองนั้นก็ไม่รู้ว่าได้เปียกชุ่มไปด้วยโลหิตสด ๆ ไปตั้งเท่าไรแล้ว

ผู้เป็นนายของมันจะไปกลัวของเด็กเล่นเหล่านี้ได้อย่างไร!

มู่เฉียนซีได้ฝ่าผ่านมันไปอย่างชัดเจนจนกระทั่งไปถึงจุดสุดท้ายของแดนแห่งภาพลวงตาก็ยิ่งรู้จักนรกสีเลือดดีขึ้นไปในทุกที

มู่เฉียนซียังคงรักษาความสงบเอาไว้เหมือนเช่นเก่า และไม่ถูกสีโลหิตอันใดสร้างความรบกวนได้

นางสามารถพุ่งไปยังจุดสุดท้ายได้ด้วยความเร็วอย่างที่ไม่มีใครสามารถที่จะจินตนาการได้

ภาพลวงตาของจุดสิ้นสุดทำให้มู่เฉียนซีต้องเบิกตากว้างโพรง!

นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ทําไมสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทั้งหมดนี้ มันเหมือนกับการทดสอบในการที่จะได้มาซึ่งตัวกระบี่มิมีผิด

หรือว่าสิ่งทั้งหมดนี้มันออกมาจากในจิตใจ!

คาวเลือดแห่งการฆ่าฟันทำให้นางต่อต้านหรือหวั่นกลัวหรือไม่?

มู่เฉียนซีหลับตาทั้งสองข้างลง และนึกถึงเสียงที่คุ้นเคยเสียงนั้นในหัวสมอง!

‘การเข่นฆ่าที่นองเลือดทั้งหมดเหล่านี้ ข้าแบกรับมันเอาไว้ก็ได้แล้ว’

เขาสามารถที่จะแบกรับมันเอาไว้ แต่นางกลับมิอยากให้เขารับมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาที่แบกรับความเจ็บปวดของคำสาปมายาวนานเช่นนั้น นางจะไปให้จิ่วเยี่ยแบกรับเอาไว้ผู้เดียวอีกได้อย่างไร

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมา ทั้งทะเลโลหิตและซากศพที่กองพะเนินเป็นขุนเขาล้วนแต่ไม่สามารถส่งผลกระทบใดต่อนางได้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อจิตใจผ่านอุปสรรคหนึ่งไปแล้ว ทันใดนั้นพลังวิญญาณก็ได้กรูกันเข้าไปในร่างของนาง

แล้วจากนั้น พลังวิญญาณที่มีอยู่อย่างน้อยนิดของเมืองเฮยตูทั้งหมดก็ได้มารวมกันอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง

ทุกคนต่างล้วนตกตะลึง “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เกิดอะไรขึ้นกับพลังวิญญาณของที่นี่?”

“นี่เป็นครั้งแรกในเมืองเฮยตู…”

“พลังวิญญาณทั้งหมดได้ไปรวมกันอยู่บนชั้นที่เก้าของหอโลหิต!”

.

.