ตอนที่ 950 ซ่อนสิ่งล้ำค่าเอาไว้

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีเองก็คาดไม่ถึงว่าตนเองจะมิได้รับผลกระทบจากขอบเขตของการสังหารวิญญาณเลยแม้แต่น้อย จนทำให้นางทะลุผ่านขีดจำกัดของจักรพรรดิแห่งภูติระดับที่สามไปได้ แล้วกลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ในเมืองเฮยตู

แต่ไหนแต่ไรมาหลงฉือมิเคยสนใจในเรื่องของหอคอยแห่งความตายหรือหอคอยโลหิตเลยแม้แต่น้อย แต่มาวันนี้พลังวิญญาณในเมืองเฮยตูเกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง นั่นจึงทำให้เขาจำต้องสนใจเข้าเสียแล้ว

เขาโบกมือแล้วกล่าว “ไปตรวจดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่หอโลหิต!”

กู้ไป๋อีคอยจับตาดูชั้นที่เก้าของหอคอยโลหิตอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นที่หอคอยโลหิตจะมิให้เขาสนใจได้อย่างไร!

เขากล่าวขึ้น “พลังวิญญาณทั้งหมดไปรวมกันอยู่บนชั้นที่เก้า มีผู้บรรลุขั้นเสียแล้ว สาวน้อยกลับบรรลุจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่บนชั้นที่เก้านั่น”

กู้ไป๋อีได้ถูกความคิดของเขาทำให้ตนเองตกใจไปยกใหญ่ นี่เป็นไปได้หรือ?

ที่เมืองเฮยตูแห่งนี้มันยากนักที่จะบรรลุขั้นได้! ยิ่งอยู่ในหอคอยโลหิตยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้น แล้วทำไมการบรรลุขั้นเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่จึงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

จู่ ๆ ก็เหมือนกับว่ากู้ไป๋อีจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก

ถ้าหากว่านางบรรลุขั้นเช่นนั้นก็แสดงว่านางดีเยี่ยมยิ่งนัก ดีเยี่ยมเป็นอย่างมาก

แต่ในตอนนี้ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เกรงว่าหลงฉือเองก็คงจะให้ความสนใจในตัวนางเสียแล้ว

เขานั้นประเมินความวิปริตของนางต่ำไป หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกคงจะได้บังคับให้นางจากไปตั้งแต่ตอนที่ได้ตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว

รอจนเมื่อนางออกมา จะต้องให้นางรีบจากไปให้ได้

ไม่นานนัก ลูกสมุนของหลงฉือก็ได้ส่งข่าวให้แก่เขา

“รายงานเจ้านายผู้สูงศักดิ์ มีผู้มาใหม่เข้าไปในหอคอยโลหิต ความผันผวนเช่นนี้ของพลังวิญญาณ เกรงว่าคงจะเป็นคนผู้นั้นได้บรรลุขั้นในหอคอยโลหิตเสียแล้ว”

หลงฉือยิ้มอย่างสนุกสนานแล้วกล่าว “ผู้มาใหม่ ข้านั้นสงสัยอยู่บ้างว่าเป็นผู้มาใหม่ผู้ใดกันที่ร้ายกาจเช่นนี้”

“ผู้มาใหม่ผู้นี้เป็นสตรีผู้หนึ่งนามว่ามู่เฉียนซี เข้ามาที่เมืองเฮยตูเมื่อหนึ่งปีก่อน นางใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็ได้สำเร็จเป็นตำแหน่งจักรพรรดิ จากนั้นก็ใช้ระยะเวลาเก้าสิบเก้าวันในการไปถึงยังชั้นที่แปด มาตอนนี้นางได้ขึ้นไปบนชั้นที่เก้าแล้ว อีกทั้งพลังความสามารถของนางนั้นเป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะบรรลุขั้นแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้”

หลงฉือถามขึ้น “เป็นเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีที่งดงามยิ่งนักและสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงใช่หรือไม่?”

เขายังจำได้ เพราะก่อนที่จะถูกกู้ไป๋อีทำลายกระจกสีดำนั่น เขาได้เหลือบเห็นเงาร่างนั้นแวบหนึ่ง

หญิงสาวที่กู้ไป๋อี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ลูกสมุนของเขาตอบกลับ “ใช่!”

หลงฉือหัวเราะ “หึหึหึ! พรสวรรค์ที่น่ากลัวเช่นนี้ หญิงสาวที่เป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามบรรลุขึ้นขั้นที่สี่ก็สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ ข้าสนใจเป็นยิ่งนัก!”

“กู้ไป๋อีหนา กู้ไป๋อี! เจ้าคิดที่จะซ่อนสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เอาไว้โดยไม่บอกข้า ช่างทำให้ข้าไม่พอใจเสียจริง!”

แววตาของหลงฉือดูหม่นหมองและอันตราย

มู่เฉียนซีเลื่อนขั้นแล้ว นางสามารถบรรลุขั้นเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่ได้อย่างราบรื่นในเมืองเฮยตูที่ได้สะกดพลังวิญญาณเอาไว้จนอยู่ในขั้นที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก

ไม่สิ มันคือจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่เต็มขั้น แม้แต่นางเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ

ที่เบื้องหน้ามีประตูอยู่บานหนึ่ง ขอแค่เพียงผลักมันออกก็จะถือว่านางนั้นได้ผ่านการทดสอบของหอคอยโลหิตแล้ว

ต้องขอบคุณตัวกระบี่ที่นำพลังที่เหมือนดั่งนรกมาให้นางในการสอบครั้งนี้ อีกทั้งนางยังโชคดีที่มีบุรุษผู้หนึ่งที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดที่คอยต่อสู้เพื่อนางและคอยกันลมกันฝนโลหิตให้แก่นาง นางถึงได้เดินมาถึงตรงนี้ได้โดยมิต้องเกรงกลัวสิ่งใด

ปัง! มู่เฉียนซีได้ผลักประตูนั้นเปิดออก

ในตอนที่มู่เฉียนซีได้ผลักประตูนั้นแล้วเดินออกไป ทันใดนั้นที่ด้านบนของหอคอยโลหิตก็ได้มีคทาสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น นี่เป็นสัญลักษณ์ของการที่มีผู้สำเร็จได้เป็นตำแหน่งมหาจักรพรรดิ

มีผู้ครอบครองตำแหน่งมหาจักรพรรดิผู้ใหม่ปรากฏขึ้น แต่ถ้าหากพวกเขาจำไม่ผิดละก็ ผู้ที่เข้าไปในชั้นที่เก้าผู้นั้น เข้าไปเพียงเจ็ดวันนี่!

เจ็ดวัน! เพียงเจ็ดวันก็สามารถบรรลุการทดสอบของหอคอยโลหิต นี่เป็นไปได้หรือ?

มู่เฉียนซีเดินออกมาก็ได้เห็นว่าที่ชั้นที่เก้าในตอนนี้มีคนอยู่จำนวนไม่น้อย คนในหอคอยโลหิตแทบทั้งหมดล้วนแต่มาที่นี่ อีกทั้งยังมีผู้ครอบครองตำแหน่งมหาจักรพรรดิอีกนับพันคน

สายตาที่พวกเขามองไปยังมู่เฉียนซีนั้น ไม่มีสักคนที่ไร้ซึ่งความตกใจหรือหวาดกลัว

ปีศาจ! ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็สามารถออกมาจากหอคอยโลหิตได้แล้ว

นี่ต้องเป็นปีศาจกระหายเลือดอย่างแน่นอน ปีศาจที่พวกเขาไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหน มิเช่นนั้นแล้วคงจะไม่มีความรวดเร็วเช่นนี้

สายตาของคนเหล่านี้ที่ราวกับมองสัตว์ประหลาด ทำให้มู่เฉียนซีไม่เป็นตัวของตัวเอง

เงาร่างสีขาวได้เดินออกมา กู้ไป๋อีมองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ผ่านไปได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”

เขามิได้ถามว่าทำไมเขาใช้เวลาถึงเจ็ดปีแต่นางกลับออกมาได้โดยใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน

นั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ทุก ๆ คนกำลังคิด มีแต่เพียงปีศาจที่กระหายเลือดโดยกำเนิดเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แต่ทว่าตัวเขาเองก็รู้อยู่อย่างแน่ชัดว่านางมิใช่คนเช่นนั้น

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ข้าทำให้เจ้าต้องรอนานเสียแล้ว!”

กู้ไป๋อีกล่าว “พวกเราไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!”

นางก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นใหญ่หลวงนัก เกรงว่าหลงฉือคงจะ…

กู้ไป๋อีกำลังจะจากไปกับมู่เฉียนซี ผู้ดูแลก็ได้กันพวกเขาเอาไว้แล้วกล่าว “ท่านราชทินนามหาน ท่านจักรพรรดิโยวยังมิได้ถูกแต่งตั้งเป็นมหาจักรพรรดิ ตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะออกไปได้”

กู้ไป๋อีกล่าวขึ้น “สถานะของข้าก็เพียงพอที่จะแต่งตั้งนางเป็นมหาจักรพรรดิแล้ว”

“สถานะของท่านราชทินนามหานนั้นเพียงพอแน่แล้ว แต่ทว่า…”

ยังไม่ทันที่ผู้ดูแลผู้นี้จะกล่าวจบ เสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ได้ลอยมา “แต่เมื่อพบเจอเข้ากับอัจฉริยะที่สักร้อยพันปียากจะพบเจอได้นั้น แน่นอนว่าข้าจะต้องเป็นผู้แต่งตั้งนางเป็นมหาจักรพรรดิจึงจะเหมาะสม มิใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น นอกจากกู้ไป๋อีและมู่เฉียนซีแล้ว คนที่เหลือล้วนแต่ได้คุกเข่าลงกันเสียทั้งหมด

“คารวะเจ้านายผู้สูงศักดิ์!”

“เจ้านายผู้สูงศักดิ์!”

“……”

กู้ไป๋อีคอยปกป้องอยู่ที่ข้างกายของมู่เฉียนซี เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเขาก็กล่าว “หลงฉือ เจ้ามาได้อย่างไร? มิใช่ว่าเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องของหอคอยโลหิตหรือ?”

มู่เฉียนซีเองก็มองบุรุษผู้ใส่ชุดคลุมสีดำตรงหน้าอย่างพิจารณา บนใบหน้าของเขานั้นค่อนข้างที่จะดำมืดจึงทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนัก

แต่ดวงตาสีดำและยาวคู่นั้นแผ่ซ่านประกายที่อันตราย

ทำให้คนจำนวนมากต้องคุกเข่าและเรียกกล่าวเขาว่าเจ้านายผู้สูงศักดิ์ คนผู้นี้ก็คือเจ้านายแห่งเมืองเฮยตู

หลงฉือกล่าว “ปรากฏอัจฉริยะที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องออกมาดู”

สายตาของหลงฉือจับจ้องไปที่มู่เฉียนซี

เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วกล่าวอย่างสนุกสนาน “มองใกล้ ๆ แล้วเจ้ายิ่งงดงามเสียจนไม่อาจหาที่ติได้ มิน่าละข้าแค่มองเพียงนิดเดียว ไป๋อีก็โกรธเข้าเสียแล้ว!”

“หลงฉือ!” ดวงตาของกู้ไป๋อีได้แผ่ซ่านความเยือกเย็นอำมหิตออกมา

หลงฉือยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าดูสิ ไป๋อีโกรธเกรี้ยวอีกแล้ว”

เมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอันน่ากลัวที่กู้ไป๋อีมีต่อหลงฉือ นั่นจึงทำให้ทุกคนพากันหวาดกลัว!

ผู้ที่กล้าปฏิบัติเช่นนี้กับเจ้านายผู้สูงศักดิ์ คาดว่าก็คงมีแต่ท่านราชทินนามหานผู้เดียวเท่านั้นที่มีความกล้านี้

หลงฉือกล่าว “ได้ยินมาว่าในตอนที่เจ้าถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินั้นได้นามว่าจักรพรรดิโยว มาตอนนี้ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นมหาจักรพรรดิโยวเป็นเช่นไร?”

มู่เฉียนซีตอบกลับ “ไม่มีปัญหา!”

บุรุษผู้นี้อันตรายและน่าพิศวงนัก แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับจิ่วเยี่ย เขาไม่ควรค่าที่นางจะไปหวาดกลัว

เมื่อเห็นว่านางยังคงสงบนิ่งได้เช่นนี้ นางผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ

มุมปากของหลงฉือยกขึ้นเล็กน้อย เขานั้นมีความสนใจในตัวของสาวน้อยผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจริง ๆ

“เช่นนั้น ข้าขอประกาศให้เจ้าเป็นมหาจักรพรรดิโยว!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของหลงฉือ ที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซีก็ได้ปรากฏคทาสีดำสนิทขึ้นด้ามหนึ่ง จากนั้นก็ได้ปรากฏสีม่วงเข้มขึ้นมาอีกด้าม

ที่บนหอคอยโลหิตได้เกิดฉากเช่นนี้ขึ้น ทุกคนล้วนแต่ตะลึงงัน

“มีผู้ได้ครองตำแหน่งมหาจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิโยว!”

“มหาจักรพรรดิโยว คงมิใช่จักรพรรดิโยวเมื่อก่อนหน้านี้กระมัง! ระยะเวลายังไม่ถึงครึ่งปี นาง…นางกลับสามารถเป็นตำแหน่งมหาจักรพรรดิได้ เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปจริง ๆ”

หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว หลงฉือก็มองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “มหาจักรพรรดิโยว ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้ตำแหน่งมหาจักรพรรดิ จะไปจิบชาที่ที่ของข้าเสียหน่อยหรือไม่ ฝีมือของกู้ไป๋อีนั้นดียิ่งนัก!”

.

.