ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “เดิมทีข้าคิดว่าสามารถค้นหาเบาะแสบางอย่างในดินแดนต้องห้ามสกุลจงได้ กลับไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เสด็จพ่อยังคงหมดสติ ข้าเองก็ยังหาวิธีไม่ได้”
“อาการของมารดาเจ้าเป็นอย่างไร? เหตุใดนางถึง…? ”
จงซีจือตายไปหลายปีแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก คนตายคนหนึ่งกลับปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งยังมีลมหายใจเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ ซูจิ่นซีก็เป็นปาฏิหาริย์ที่น่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ทว่าซูจิ่นซีไม่สามารถบอกเรื่องเหล่านี้ให้มู่หรงฉีฟังได้ ทั้งนางยังคาดเดาอันใดบางอย่างอยู่ในใจ และไม่สามารถบอกมู่หรงฉี
พูดให้เข้าใจคือ จงซีจือนั้นแตกต่างจากคนปกติ คนปกตินั้นกลับชาติมาเกิดใหม่ ทว่าจงซีจือไม่ใช่
นางเป็นเพียงร่างกาย จิ่วหรงใช้วิธีผสานดวงวิญญาณให้เข้ามาในร่างอีกร่างหนึ่ง จากนั้นจะไปเกิดใหม่หรือไม่ วิญญาณจะแตกสลายหรือไม่ สถานการณ์ในเวลานี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางไม่มีทางอธิบายได้เลย
สิ่งเหล่านี้ เกรงว่ามีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ นั่นคือจิ่วหรง
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องอธิบายให้มู่หรงฉี ซูจิ่นซีจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะ “เสด็จพี่ทรงพักผ่อนก่อนเถิด! พรุ่งนี้กองทัพกำลังเตรียมถอนทัพกลับ จึงค่อนข้างยุ่งมาก”
“ตกลง! ”
หลังออกมาจากกระโจมของมู่หรงฉี บนท้องฟ้าก็มีหิมะโปรยปรายเล็กน้อย ทว่าสภาพอากาศที่นี่แปลกประหลาด แม้หิมะจะตก ทว่าแสงจันทร์กลับสว่างสดใส
ซูจิ่นซีเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ภายในใจมากมาย จึงรู้สึกหนักอึ้ง นางไม่ได้เดินกลับไปที่กระโจมทันที ทว่าเดินออกไปนอกค่ายทหาร
นางคิดจะไปเดินเล่นภายใต้แสงจันทร์และหิมะขาวโพลนสักครู่
แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง นางจะพบกับอวิ๋นจิ่น
ซูจิ่นซีเห็นอวิ๋นจิ่นจากระยะไกล ทว่าอวิ๋นจิ่นไม่เห็นซูจิ่นซี ดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาอันใดบางอย่างในพงหญ้าข้างหน้า
เมื่อเห็นร่างอันอ่อนโยนและเรียบเนียนราวกับหยก จิตใจของซูจิ่นซีก็นึกถึงร่างที่สง่างามซึ่งอยู่บนหอดูดาวในป่าเซียน สำนักแพทย์เทียนอี
อวิ๋นจิ่นราวกับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติทางด้านหลัง จึงค่อยๆ หันศีรษะกลับมา เมื่อเขาเห็นซูจิ่นซี อารมณ์ทั้งหมดบนใบหน้าของเขาพลันหายไป รอยยิ้มอันอบอุ่นที่มีให้เพียงซูจิ่นซีเท่านั้น ปรากฏขึ้นท่ามกลางหิมะ สายลม และแสงจันทร์
“พระชายา อากาศหนาวเช่นนี้ พระองค์ออกมาได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหาอวิ๋นจิ่น
“อยู่ภายในกระโจมรู้สึกเบื่อ จึงเดินออกมาสูดอากาศ เจ้ากำลังมองหาสิ่งใดหรือ? ”
“ทหารระดับสูงจำนวนหนึ่งอาการค่อนข้างสาหัส สมุนไพรที่พวกเขาต้องการหายากอย่างมาก กระหม่อมจึงลองเสี่ยงโชคเดินออกมาดูว่าจะพบสมุนไพรเหล่านั้นแถวนี้หรือไม่? อีกทั้งอาการบาดเจ็บภายในของฉีอ๋อง ยังมีสมุนไพรบางอย่างที่ภายในกองทัพไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องการสมุนไพรอันใดบ้าง? ”
“เทียนหมาจื่อ ซูหลีจื่อ หานเฟิงจิ่น ซวีชางชิง เหอหม่ามู่ และจิ่งเทียน พ่ะย่ะค่ะ”
สมุนไพรเหล่านี้ บางชนิดหายากอย่างมาก และบางชนิดต้องเก็บตอนหิมะตกเท่านั้นจึงจะมีฤทธิ์ทางยา
ซูจิ่นซีหลับตาเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พลิกฝ่ามือ บนฝ่ามือของนางปรากฏห่อผ้าขนาดใหญ่เล็กน้อย จากนั้นจึงลืมตาและยื่นให้อวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นเปิดออกดู ด้านในคือสมุนไพรที่เขาต้องการทั้งหมด ทั้งสมุนไพรแต่ละชนิดยังมีจำนวนมากอีกด้วย
อวิ๋นจิ่นเคยเห็นซูจิ่นซีหยิบสมุนไพรออกมาจากระบบถอนพิษ จึงไม่มีท่าทีประหลาดใจ
“ยอดเยี่ยม ขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยเหลือ! ”
“ขอบใจอันใดกัน? สมุนไพรเหล่านี้ใช้รักษาเสด็จพี่ของเรากับเหล่าทหารแคว้นหนานหลี นี่คือสิ่งที่พระชายาอย่างข้าพึงกระทำ หากเจ้าต้องการสมุนไพรอันใดเพิ่มเติม อย่าได้ออกมาหาอีก ที่นี่เป็นชายแดนระหว่างสองแคว้น เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่ปลอดภัย”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นราวกับครั้งแรกที่นางเคยเห็น เขายังคงอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน รู้จักกาลเทศะ และมีมารยาทเพียบพร้อม
ทว่าอารมณ์กลับซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง
นางขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังค่ายทหาร “กลับไปได้แล้ว! ดึกมากแล้ว! ”
อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ที่เดิม มองดูร่างผอมเพรียวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินห่างจากเขา รอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ลดลง ดวงตาปรากฏความซับซ้อน นิ้วของเขาจับอยู่ที่เสื้อคลุม เขาคิดจะปลดออกหลายต่อหลายครั้งเพื่อสวมมันให้ซูจิ่นซี ทว่าเขากลับไม่ทำอันใดเกินกว่าเหตุ
จนกระทั่งซูจิ่นซีกำลังจะเดินหายไปต่อหน้า อวิ๋นจิ่นราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่และตะโกนออกไปว่า “พระชายา! ”
ซูจิ่นซีหยุดเดินและหันหลังกลับมา นางมองอวิ๋นจิ่นด้วยท่าทางสงสัย
อวิ๋นจิ่นถอดเสื้อคลุมออกอย่างรวดเร็ว และวิ่งเข้าไปสวมให้ซูจิ่นซี
“ลมหิมะในตอนกลางคืนเย็นมาก พระชายาทรงระวังพระวรกาย”
ซูจิ่นซีขยับเสื้อคลุมเล็กน้อยด้วยท่าทางสงบและเป็นธรรมชาติ “ตกลง! รีบกลับเถิด”
ตอนแรกนางมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าขณะที่นางหันหลังกลับและเดินไปได้สองก้าว ดูเหมือนนางจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว จึงหันกลับมาถามอวิ๋นจิ่นว่า “อวิ๋นจิ่น มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีดอกปี่อั้นเบ่งบานมากมาย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ใด? ”
“ดอกปี่อั้น? ”
ซูจิ่นซียกแขนข้างที่สวมอาคมกำไลปี่ขึ้นมา เพื่อแสดงลวดลายบนอาคมกำไลปี่อั้นให้อวิ๋นจิ่นเห็น
อวิ๋นจิ่นแย้มยิ้มอ่อนโยน
“พระชายา ดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีอยู่ในโลก ตามตำนานเล่าว่า มันเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เติบโตอยู่ริมแม่น้ำลืมเลือนในแดนนรก ทว่าไม่มีผู้ใดเคยเห็นว่ามันมีรูปร่างอย่างไร ส่วนดอกไม้ที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงจินตนาการของผู้คนที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเท่านั้น”
ซูจิ่นซียังคงมีท่าทางสงบนิ่ง “จริงหรือ? เช่นนั้น… ประตูแดนนรกอยู่ที่ใด? ”
แววตาของอวิ๋นจิ่นปรากฏความผิดปกติ ก่อนจะสงบท่าทีอย่างรวดเร็ว ทว่าซูจิ่นซีกลับจับสัมผัสได้
ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นด้วยความสงสัย
“อวิ๋นจิ่น ท่านรู้หรือไม่ว่าประตูแดนนรกอยู่ที่ใด? บอกข้าสิว่ามันเป็นสถานที่เช่นไร? ข้างในเป็นโลกแบบใด? ”
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ซูจิ่นซีต้องการถามคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับประตูแดนนรกนั้น เป็นอย่างไรกันแน่?
ทว่าซูจิ่นซีไม่มีความกล้าที่จะถามประโยคสุดท้ายนี้
หลังจากซูจิ่นซีถามจบ อวิ๋นจิ่นก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แม้ภายในแววตาของเขาจะสงบนิ่งอย่างมาก ทว่ากลับไม่สามารถปกปิดอารมณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างได้
ซูจิ่นซีอดเดินเข้าไปหาอวิ๋นจิ่นไม่ได้ “บอกข้ามา ทุกอย่างที่เจ้ารู้! ข้าไม่ต้องการคาดเดาทีละเล็กทีละน้อยดั่งคนโง่ หรือรอกระทั่งเรื่องทุกอย่างถึงจุดจบและไม่สามารถย้อนกลับไปได้ สุดท้ายก็กลับมานั่งเสียใจภายหลัง ข้าต้องรู้ทุกอย่างล่วงหน้า และพยายามหลีกเลี่ยงมันให้ถึงที่สุด บอกข้าทุกอย่างที่เจ้ารู้”
ความเอาแต่ใจของซูจิ่นซีในขณะนี้ เหมือนกับเทพธิดาเมื่อพันปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน
แววตาของอวิ๋นจิ่นเปลี่ยนไปเมื่อมองมาที่ซูจิ่นซี เหมือนจิ่วหรงที่ยืนอยู่บนหอดูดาวเมื่อหลายพันปีก่อน เขามองไปยังเทพธิดาที่ถามว่าทำไม ต่อหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพียงแต่จิ่วหรงในตอนนั้น ได้ปกปิดอารมณ์ที่ลึกซึ้งในจิตใจไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่งของเขา ทว่าอวิ๋นจิ่นในตอนนี้ กลับแสดงมันออกมาบนใบหน้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ชั่วขณะหนึ่ง เขาแทบควบคุมตนเองไม่ได้ เขาเกือบดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอดของตน
ทว่าหากเขาทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้ยืนต่อหน้านางด้วยตัวตนของอวิ๋นจิ่นอีกต่อไป