ในที่สุด เหตุผลก็ยังชนะความรู้สึก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีเพื่อซูจิ่นซีโดยเฉพาะ
“พระชายาโปรดให้อภัย กระหม่อมจะทราบได้อย่างไรว่าประตูแดนนรกอยู่ที่ใด? ชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนไม่มีอยู่จริง ในอาณาจักรเทียนเหอมีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ซูจิ่นซีเองก็เป็นคนมีเหตุผล แต่สิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นางไม่สามารถใช้เหตุผลได้ ทั้งยังทำให้นางสูญเสียสติสัมปชัญญะ
นางไม่รู้ว่าหัวใจของนางมีแรงกดดันมากเพียงใด ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย แม้แต่ร่างกายของนางก็สั่นเทาเช่นกัน
นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนที่อวิ๋นจิ่นจะตอบสนองทันท่วงที นางก็จับคอเสื้อของอวิ๋นจิ่นไว้
“เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว! เจ้าไม่รู้จักประตูแดนนรกได้อย่างไร? เพื่อผสานวิญญาณทั้งสามดวงของข้า เจ้าทำอันใดไปบ้าง? เจ้ามีกี่เรื่องที่ปกปิดข้า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เจ้าต้องบอกข้ามาทั้งหมด! ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้”
ทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง น้ำตาของซูจิ่นซีก็หลั่งไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
อวิ๋นจิ่นพยายามควบคุมสติให้ดีที่สุด “พระชายา กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีใช้มือเดียว แต่ตอนนี้นางรีบยกมืออีกข้างขึ้นมา
สองมือของนางดึงคอเสื้อของอวิ๋นจิ่นแน่น “ตบะบำเพ็ญเพียรพันปี สิ่งที่แลกมาคงไม่ใช่เพียงดวงวิญญาณของจงซีจือใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้น นางตายมานานกว่าสิบปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ศพของนางไม่บุบสลาย ทั้งยังมีลมหายใจอีกด้วย เจ้าสูญเสียสิ่งใดไปบ้าง? มีอันใดที่ข้าไม่รู้อีก? จะเกิดอันใดขึ้นอีกในอนาคต? บอกข้าได้หรือไม่? บอกข้าให้หมด ได้หรือไม่? ”
ตอนนี้ ซูจิ่นซีเหมือนไม่ใช่ซูจิ่นซีอีกต่อไปแล้ว นางเหมือนกับเทพธิดาที่เสียสละทุกอย่างเพื่อจิ่วหรงเมื่อพันปีก่อน
แต่เหตุผลกลับบอกอวิ๋นจิ่นว่า นางไม่ใช่!
การกลับชาติมาเกิดสามชาติสามภพ วันเวลาผันผ่านนับพันปี ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปมากมาย และโชคชะตาก็เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ มากมายเช่นกัน
ศิลาสามชาติสามภพกำหนดพรหมลิขิตในโลก ทว่าไม่มีความงดงามของเขาและนาง แม้เป็นเพียงช่วงชีวิตสั้น ๆ ทว่าเขาต้องชดใช้สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด
ไม่สำคัญว่าเขาเสียสละตัวเองไปมากเพียงใด ทว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้นางต้องทนทุกข์กับเขาอีกต่อไป
เขาพยายามเอื้อมมือออกไป ค่อยๆ สัมผัสแก้มของซูจิ่นซี ต้องการเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง ทว่าเมื่อนิ้วของเขาอยู่ห่างจากแก้มของนางเพียงหนึ่งชุ่น เขากลับดึงมันกลับมา และเลื่อนไปขยับเสื้อคลุมบนไหล่ของซูจิ่นซีให้แน่นขึ้น
ก่อนจะพยายามอธิบายให้ซูจิ่นซีฟังอย่างอดทน “พระชายา กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ว่าพระชายากำลังพูดเรื่องอันใด? อากาศภายนอกหนาวเย็น พระชายาไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้ ท่านอ๋องต้องเป็นห่วงพระชายาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่าโยวอ๋อง ทำให้ซูจิ่นซีที่กำลังสูญเสียความควบคุมดึงสติกลับมาได้
ซูจิ่นซีมีท่าทางมึนงงเล็กน้อย นางค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมของอวิ๋นจิ่นออก พลางถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะปาดน้ำตาบนใบหน้าและหันหลังกลับโดยไม่พูดอันใด
อวิ๋นจิ่นหยิบเสื้อคลุมที่ตกอยู่บนพื้น “พระชายา ทรงกลับโดยเร็วเถิด! ”
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับมามองอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง แม้ดวงตาของนางยังคงแดงก่ำเล็กน้อย ทว่าสติสัมปชัญญะของนางกลับมาเป็นปกติแล้ว นางจึงหันหลังกลับโดยไม่พูดอันใด
หลังจากเดินไปได้สองก้าว ซูจิ่นซีก็หยุดเดินอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นางไม่ได้หันหลังกลับมา นางเพียงพูดว่า “เจ้าตายได้หรือไม่? ”
หลังจากซูจิ่นซีถามคำถามนี้จบ นางไม่ได้รอคำตอบจากคนที่อยู่ข้างหลัง ทว่าหลังจากรอเป็นเวลานาน เสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยนก็ดังขึ้น
“วัฏจักรเกิดแก่เจ็บตาย ในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย เป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ กระหม่อมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน พระชายาอย่ากังวลพระทัยมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามคำถามใดๆ อีก มองจากด้านหลัง เหมือนว่านางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่ออวิ๋นจิ่นพูดจบ
ก่อนจะทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียว “รักษาสุขภาพ! ” จากนั้นจึงเดินจากไป
เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพแคว้นหนานหลีเริ่มถอนกำลังกลับ เหลือเพียงทหารจำนวนหนึ่งคอยคุมสถานการณ์แนวชายแดนตามคำสั่งของมู่หรงฉี
ทางด้านแคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวงถอนกองทัพกลับเช่นกัน
ในฤดูหนาวนี้ การต่อสู้ระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉินยุติชั่วคราว
หลังจากถอยทัพกลับไปค่ายตะวันตกเพื่อหยุดพักชั่วคราว ซูจิ่นซีไปหามู่หรงฉีอีกครั้ง นางคิดจะหารือกับมู่หรงฉีเพื่อกลับไปเมืองเย่หลินพร้อมกัน
เมื่อซูจิ่นซีมาถึงที่พักของมู่หรงฉี นางเห็นมู่หรงฉีกำลังรับจดหมายลับจากองครักษ์เงา ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายลับเขียนว่าอย่างไร เหมือนว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
หลังจากซูจิ่นซีเดินเข้ามาภายในห้อง มู่หรงฉีกลับไม่แสดงท่าทีปิดบังอันใด เขาวางจดหมายลงบนโต๊ะ ซูจิ่นซีเหลือบเห็นเนื้อหาในจดหมาย เหมือนจะเกี่ยวข้องกับแคว้นตงเฉินและตงหลิงหวง
ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันนาง ซูจิ่นซีจึงไม่เอ่ยถามให้มากความ
“อมฤตทั้งห้าและวิชาการหล่อขึ้นรูปที่ข้าตามหามาตลอด บัดนี้นับว่าได้ครบเกือบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงไม้อมฤตที่อู๋จุนกับถังเสวี่ยลงใต้ไปตามหา และทองอมฤตที่อยู่ในเขาคุนหลุนแคว้นเป่ยอี้ ข้าไม่ได้กังวลเรื่องไม้อมฤต อู๋จุนต้องช่วยข้าหามาได้แน่นอน ส่วนทองอมฤตที่เหลือเพียงอย่างเดียวนั้น ข้าจำเป็นต้องไปเยือนแคว้นเป่ยอี้เพื่อตามหาด้วยตนเอง ทว่าก่อนที่จะไปแคว้นเป่ยอี้ ข้าคิดว่าจะกลับไปเย่หลินก่อน เพื่อพาเสด็จพ่อกับมารดาไปด้วย”
“เจ้าคิดว่าที่แคว้นเป่ยอี้อาจมีหนช่วยเหลือพวกเขาหรือ? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า
อย่างไรเสีย ตอนนี้ทายาทเผ่าเม้ยอยู่ที่แคว้นเป่ยอี้ ต่อให้ไม่มีทางกำจัดพิษออกจากร่างของมู่หรงอวิ๋นไห่ แต่อาจมีวิธีปลุกจงซีจือให้ฟื้นได้กระมัง?
“เสด็จพี่คิดเห็นเช่นไร? กลับเมืองเย่หลินกับพวกเราหรือไม่! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ่นซี ดวงตาของมู่หรงฉีพลันเคร่งขรึมเล็กน้อย
เขาเหลือบมองจดหมายบนโต๊ะ “ตอนนี้ข้ายังกลับไม่ได้ ด้านแคว้นตงเฉิน… ตงหลิงหวงอาจมีการคลื่อนไหวบางอย่าง ข้าเป็นห่วงนาง… ข้าคิดว่าจะกลับไปชายแดนอีกครั้ง”
ซูจิ่นซีเข้าใจความคิดของมู่หรงฉี แม้นางจะคิดว่าเส้นทางระหว่างมู่หรงฉีกับตงหลิงหวงนั้นยากลำบากแน่นอน ทว่านางไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงพยักหน้าเข้าใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จพี่ควรเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ! ข้าจะไปเตรียมตัวเช่นกัน พรุ่งนี้เช้า ข้าจะกลับเมืองเย่หลินพร้อมเยี่ยโยวเหยา”
“ตกลง! ”
ซูจิ่นซีหันหลังเดินไปได้สองก้าว มู่หรงฉีก็เรียกนางให้หยุด “จิ่นซี! ”
ซูจิ่นซีหยุดชะงักและหันกลับมา
“ระหว่างเจ้ากับโยวอ๋อง… ” ดูเหมือนมู่หรงฉีต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเขาพูดเพียงไม่กี่คำก็ไม่ได้พูดอันใดต่อ ทั้งยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “อันใดหรือ? ”
มู่หรงฉียิ้มและพูดว่า “ไม่มีอันใด รีบกลับเถิด! ”
ซูจิ่นซีไม่ได้ซักไซ้ต่อและเดินจากไป
หลังจากซูจิ่นซีเดินออกไป มู่หรงฉีก็หยิบจดหมายขึ้นมา เขาอ่านตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของเขาปรากฏความเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาคิดได้นานแล้ว หากไม่ใช่การกระทำที่จำเป็น ทั้งยังเป็นแผนการที่เสี่ยงอันตราย ตงหลิงหวงไม่มีทางปล่อยเขากลับมาง่ายดายเพียงนี้
เขาคิดได้นานแล้ว…
ทว่าตอนนี้มันสายเกินไปที่จะพูดอันใด
เขาแทบรอไม่ไหว เขาต้องการไปอยู่เคียงข้างนางให้เร็วที่สุด และต่อสู้เคียงข้างนาง
อย่างไรก็ตาม มีบางคนและมีบางเรื่อง มีหมื่นพันเหตุผลที่เขาปรารถนาจะพบนาง ทว่าเขาไม่มีสถานะที่คู่ควรให้พบหน้านาง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ มู่หรงฉีก็ยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ยตนเองอย่างอับจนหนทาง และนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า
เวลาผ่านไป มู่หรงฉียังอยู่ในท่านั่งที่เหนื่อยล้าและไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จนกระทั่งแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องค่อยๆ หายไป ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
เขาลุกขึ้นเดินออกจากประตู แต่กลับพบคนผู้หนึ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบในเวลานี้