บทที่ 1386 : สหายเก่าเก่า
จู่ๆฉินตงเฉวี่ยก็เปลี่ยนเป็นดุดันเช่นนี้ แม้แต่หลิงหยุนยังอดที่จะตกใจไม่ได้ แต่ก็แสร้งทำเป็นโง่ และถามกลับไปว่า
“เช่นนั้นข้าควรต้องเรียกท่านว่าอะไรดีเล่า”
ฉินตงเฉวี่ยไม่เพียงไม่สนใจสายตาของหลิงหยุนที่จ้องมองมามิหนำซ้ำยังยกมือขึ้นท้าวเอว และตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แล้วแต่เจ้า..แต่เอาเป็นว่าเจ้าเรียกชื่อข้าแทนก็แล้วกัน!”
หลังจากนั้นฉินตงเฉวี่ยก็ขยิบตาให้กับหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงท้าทาย “หลิงหยุน เจ้ากลัวหรือไม่”
ฉินตงเฉวี่ยรู้ดีว่าหากเรื่องระหว่างนางกับหลิงหยุนแพร่งพรายออกไป ย่อมต้องมีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์
“กลัวงั้นรึ!” สำหรับหลิงหยุนแล้วไม่เคยมีศัพท์คำนี้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนเอามือเท้าเอวพร้อมกับประกาศเสียงดัง
“ต่อให้ฟ้าถล่มข้าก็ยังคงยืนยันว่าไม่กลัว..”
“ข้าเองก็เช่นกัน!”
ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจจากนั้นจึงยิ้มให้กับหลิงหยุนด้วยความเขินอาย พร้อมกับร้องบอกว่า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ออกไปจากห้องของข้าได้แล้ว ข้ายังต้องฝึกวิชาต่ออีกสักครู่!”
แต่ฉินตงเฉวี่ยก็ยังคงเป็นฉินตงเฉวี่ยเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวอารมณ์ของนางก็เปลี่ยน และหันไปสั่งหลิงหยุนเหมือนเช่นเคย
เวลานี้หลิงหยุนไม่ต้องการที่จะออกจากห้องไปจึงแสร้งทำเป็นหาเรื่องพูดเพื่อถ่วงเวลา “ตงเฉวี่ย เวลานี้เจ้าเองก็ฝึกทั้งวิชามังกรทองคะนอง และวิชาหงส์เล่นไฟไปแล้ว ความจริง.. น่าจะให้ข้าใช้เปลวไฟห้าธาตุช่วยเจ้าฝึกต่ออีกสักครู่..”
แม้หลิงหยุนจะแกล้งถ่วงเวลาแต่สิ่งที่เขาพูดนั้นก็ไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย..
“ตกลง!”
เมื่อครู่ฉินตงเฉวี่ยฝึกวิชาอยู่ภายใต้เปลวไฟห้าธาตุนั้นนางรู้สึกสบายอย่างมาก และสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ของเปลวไฟทั้งเจ็ด จึงสามารถตอบตกลงข้อเสนอของหลิงหยุนโดยไม่ลังเล
เวลานี้ฉินตงเฉวี่ยนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟห้าธาตุและยังคงฝึกฝนวิชามังกรทองคะนอง และวิชาหงส์เล่นไฟอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ตนเองสามารถคุ้นเคยกับขั้นพลังใหม่ได้โดยเร็ว..
ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงฉินตงเฉวี่ยได้ใช้วิชาบ่มเพาะทั้งสอง โคจรลมปราณภายในร่างได้ถึงเจ็ดสิบสองรอบใหญ่ จากนั้นจึงลืมตาขึ้น..
และทันทีที่ลืมตาขึ้นมาฉินตงเฉวี่ยยังคงเห็นหลิงหยุนจ้องมองตนเองแน่นิ่ง จึงได้แต่ร้องตะโกนถามกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“นี่เจ้ายังดูไม่พออีกงั้นรึ!ห๊ะ?!”
“ข้าเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับเจ้าต่างหากเล่าจึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากเกิดผิดพลาดขึ้น ข้าจะได้สามารถช่วยเหลือได้ทัน!” หลิงหยุนตอบโต้กลับไปทันที
“เอาล่ะข้าฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าเก็บเปลวไฟห้าธาตุของเจ้าไปได้แล้ว!”
พูดจบ..ฉินตงเฉวี่ยก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่หลบสายตาของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงอ้ำอึ้ง..
“เอ่อ…”
“นี่..รักษาความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าบ้าง!”
หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยันอยู่ในลำคอและได้แต่คิดในใจว่า เวลาเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดโง่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเป็นแน่!
ฉินตงเฉวี่ยเดินลงจากเตียงนอนไปเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาชุดกระโปรงสีขาวสะอาดขึ้นมาสวมใส่พร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุน
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว!”
“สองทุ่ม..”
เมื่อเห็นฉินตงเฉวี่ยหยิบชุดกระโปรงมาสวมใส่เช่นนี้หลิงหยุนก็ได้แต่นึกเสียดายไม่น้อย..
“นี่ข้าฝึกฝนวิชามาร่วมหกชั่วโมงเชียวรึ”ฉินตงเฉวี่ยร้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า “สำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะตนแล้ว เวลาแทบไม่มีความหมาย ในวันข้างหน้า หากยิ่งฝึกฝนจนก้าวหน้ากว่านี้ ก็จะยิ่งใช้เวลาในการฝึกแต่ละครั้งนานกว่านี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเก็บตัว อาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือนเลยทีเดียว..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็อ้าปาก และจัดการดูดเอาเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางเข้าไปในท้องของตน จากนั้นจึงได้ใช้เปลวไฟห้าธาตุนี้บ่มเพาะจุดตันเถียน เส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มทั่วร่าง รวมทั้งจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของตนต่อไป
ร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้ไม่ต่างจากเตาหลอมเคลื่อนที่ในขณะที่เปลวไฟห้าธาตุกำลังบ่มเพาะร่างกายของเขานั้น ด้วยวิชาพลังลับหยิน–หยาง จุดตันเถียนอันน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนก็ได้หมุนอยู่ตลอดเวลาไม่หยุด ทำให้เขาสามารถฝึกฝนได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งหากเทียบแล้ว หลิงหยุนฝึกหนึ่งวันจะเท่ากับผู้บ่มเพาะคนอื่นฝึกนับสิบวันเลยทีเดียว!
ด้วยเหตุนี้ในวันข้างหน้าหลิงหยุนแทบไม่จำเป็นต้องเก็บตัวฝึกฝน เพื่อที่จะพัฒนาเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานเลยแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือว่านอน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกฝนทั้งสิ้น
ระหว่างที่เก็บหินพลังชีวิตที่นำออกมาสร้างค่ายกลกลับเข้าไปในแหวนจักรวาลของตนหลิงหยุนก็เอ่ยถามฉินตงเฉวี่ยว่า
“นี่พี่เทพธิดา..เวลานี้จิตหยั่งรู้ของเจ้ามีรัศมีกี่เมตรแล้วงั้นรึ”
ฉินตงเฉวี่ยเปิดจิตหยั่งรู้ออกทดสอบดูแล้วจึงตอบกลับไปว่า “น้อยกว่าห้ากิโลเมตร น่าจะราวสี่พันห้าร้อยเมตรได้..”
“แล้วเสินหยวนเล่าสามารถกลั่นได้กี่หยดต่อนาทีงั้นรึ”
ฉินตงเฉวี่ยยิ้มกว้าง“สามถึงสี่หยด..”
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจเพราะฉินตงเฉวี่ยนับเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาเลยทีเดียว แต่ระหว่างนั้นฉินตงเฉวี่ยก็ออกคำสั่งทันที
“นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้ายังไม่รีบไปทำกับข้าวอีกงั้นรึ ยังจะมายืนยิ้มอะไรอยู่ตรงนี้อีก?”
“เช่นนั้นก็ไปกันเลย..”
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปฉินตงเฉวี่ยกับหลิงหยุนก็ได้ทลายกำแพงบางๆ ที่เคยกั้นขวางความรู้สึกของพวกเขาไว้ทิ้งไปได้ หลิงหยุนเป็นเพียงลูกเลี้ยงของฉินจิวยื่อพี่สาวของฉินตงเฉวี่ยฐานะน้าหญิงของนางจึงเป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น อีกทั้งอายุที่ห่างกันนับสิบปีก็หาใช่ปัญหาไม่ เพราะหลังจากที่ฉินตงเฉวี่ยกลืนโอสถโฉมสะคราญกับโอสถเยาว์วัยลงไป ใบหน้าของนางก็ดูราวกับเด็กสาวอายุเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น
อีกทั้งในโลกของผู้บ่มเพาะตนเป็นโลกที่ไร้กาลเวลา ทุกคนล้วนแล้วแต่มีอายุนับร้อยๆปีกันทั้งนั้นหากยังไม่เป็นเซียน ยังต้องคำนึงถึงอายุที่แตกต่างกันไปทำไมด้วยเล่า
และด้วยความสามารถของหลิงหยุนเวลานี้เขาสามารถฝึกถึงขั้นที่จะเหาะไปในโลกของเหล่าเซียนได้ อีกทั้งยังเหาะไปท่ามกลางจักรวาลได้ เรื่องอายุน่ะหรือ.. อาจจะนับร้อยปี ห้าร้อยปี หรือแม้แต่พันปี..
มีเพียงมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้นเท่านั้นจึงมีวิสัยทัศน์ที่คับแคบไปด้วย จึงใช้ชีวิตอยู่กับข้อจำกัดในชีวิตมากมาย ซึ่งต่างจากหลิงหยุน หากเขาต้องการทำสิ่งใด เขาก็จะทำ และไม่เคยเปลี่ยนความคิดเพียงเพราะผู้อื่นไม่เห็นด้วยกับตน..
“เซียนเอ๋อ..ไม่ต้องอารักขาแล้ว เข้าบ้านได้!”
ระหว่างที่ทำการเก็บหินพลังชีวิตที่นำไปสร้างค่ายกลสะกัดกั้นจิตหยั่งรู้ที่สวนหน้าบ้านหลิงหยุนก็ร้องบอกให้ไป๋เซียนเอ๋อกลับเข้าไปในบ้าน
“พี่หลิงหยุนน้าหญิงเข้าสู่ขั้นใดแล้วรึ” ไป๋เซียนเอ๋อถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
หลิงหยุนเดินโอบเอวของไป๋เซียนเอ๋อเข้าไปในบ้านพร้อมกับเล่าให้นางฟัง จากนั้นจึงเอ่ยถามไป๋เซียนเอ๋อว่า
“เซียนเอ๋อ..ระหว่างที่ทำการรักษาน้าหญิงอยู่ มีผู้ใดมาบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว..”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังเพราะถึงแม้ตี้เสี่ยวอู๋จะไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้วก็ตาม แต่อย่างน้องฉินตงเฉวี่ยก็อยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาควรต้องมาเยี่ยมเยียนบ้างจึงจะถูกไม่ใช่หรือ
แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นได้หลิงหยุนจึงรีบเรียกโทรศัพท์มือถือ และเครื่องมือสื่อสารของตนออกมาจากแหวนพื้นที
แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดจริงๆหลิงหยุนเปิดข้อความในเครื่องมือสื่อสารออกอ่าน และพบว่าเย่ซิงเฉินส่งข้อความเข้ามาหาเขาตั้งแต่ช่วงเช้า
–เจ้าตรงไปบ้านเลขที่-9ทันทีที่กลับขึ้นฝั่ง ข้าคิดว่าเจ้าคงจะต้องรีบทำการฟื้นฟูพลังให้กับท่านพี่ฉินเป็นแน่ ข้าเกรงว่าจะมีคนมารบกวนพวกเจ้า จึงได้สั่งเสี่ยวเม่ยเม่ยไปว่า ไม่ให้ผู้ใดมารบกวนการรักษาของเจ้าที่บ้าน..-
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มให้กับความรอบคอบของเย่ซิงเฉินพร้อมกับพึมพำออกมา “ซิงเฉิน เจ้าช่างรู้ใจข้าจริงๆ!”
….. ในช่วงเช้าหลังจากที่แยกกับหลิงหยุนโดยอ้างเหตุผลเรื่ององค์กรนักฆ่าขึ้นมาแล้วเย่ซิงเฉินก็ได้แอบช่วยหลิงหยุนเตรียมการอย่างเงียบๆ นับว่าช่วยเขาแก้ไขปัญหาจุกจิกไปได้มาก
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็นั่งอมยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาใต้ก้นทะเลลึกที่เขา และเย่ซิงเฉินได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“นี่เจ้าเด็กดื้อเจ้ายังไม่ไปทำอาหารอีกรึ! นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
หลังจากที่ปรับสภาพจิตใจและความรู้สึกได้แล้วฉินตงเฉวี่ยก็เดินออกมาจากห้องนอนของตนเอง และเมื่อเห็นหลิงหยุนนั่งโอบเอวไป๋เซียนเอ๋ออยู่บนโซฟาอย่างขี้เกียจ จึงได้แต่ร้องถามออกมาด้วยความสงสัย
หลิงหยุนสะดุ้งและรีบตอบกลับไปว่า“ไม่มีอะไร.. เจ้าอยากกินอะไรบอกมา ข้าจะไปทำให้เดี๋ยวนี้แล้ว!”
“สัตว์น้ำทะเลที่เจ้าจับมายังเหลืออยู่อีกมากคืนนี้กินอาหารทะเลอีกก็ได้!” หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงบนโต๊ะอาหารก็มีทั้งแซลมอนซาชิมิแบบญี่ปุ่น ปลาทะเลนึ่ง ปลาหมึกทอด กุ้งมังกรเผา และอีกมากมาย..
และกว่าที่ทั้งสามคนจะกินเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี..
“หลิงหยุนเซียนเอ๋อ พวกเจ้าสองคนไปดูมังกรทั้งสองตัวก่อน ข้าจะไปฝึกวิชาต่อที่ชายหาด!”
หลิงหยุนรู้ว่าฉินตงเฉวี่ยคงมีเรื่องต้องครุ่นคิดเขาจึงไม่ต้องการขัด และได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ
“ตงเฉวี่ยหากท่านต้องการควบคุมกระบี่เหินแล้วล่ะก็ อย่าไปฝึกแถวทะเลล่ะ หากตกลงไปในน้ำจะไม่มีใครช่วยอีก.. ฮ่าๆๆๆๆ”
“เจ้าหุบปากได้แล้ว..”
ฉินตงเฉวี่ยเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับทำเสียงดุและนั่นทำให้นางนึกว่าวันที่ตนกับหลิงหยุนได้พบกันครั้งแรก จากนั้นฉินตงเฉวี่ยก็หายออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกดูและพบว่านางเรียกกระบี่มังกรขาวที่ตอนนี้ควรเรียกว่ากระบี่มังกรเทวะออกมา เขารู้ได้ทันทีว่านางกำลังต้องการฝึกกระบี่เหิน และเวลานี้หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องห่วงความปลอดภัยของนางอีกแล้ว
หลิงหยุนหยิบเครื่องมือสื่อออกมาติดต่อหาหวังชงเซียว“เฒ่าหวัง.. เวลานี้พวกเจ้าอยู่ที่ใดแล้ว ข้าจะออกไปพบเดี๋ยวนี้!”
“คุณชายหลิงเวลานี้ข้ากับมังกรอีกสองตัวรอท่านอยู่นอกน่านน้ำอ่าวจิงฉู..”
หลังจากวางสายหลิงหยุนจึงหันไปถามไป๋เซียนเอ๋อว่า“เซียนเอ๋อ เจ้ายังจำสีนิลได้หรือไม่”
“ข้าจำได้..”
ไป๋เซียนเอ๋อร้องตอบพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆเพราะในคราวที่หลิงหยุนไปสำรวจหลุมยักษ์ครั้งแรกนั้น ไป๋เซียนเอ๋อก็ได้ไปกับเขาด้วย..
“เวลานี้สีนิลอยู่ไม่ไกลจากนี้นักข้าจะพาเจ้าไปพบกับสีนิล!”
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับโอบร่างของไป๋เซียนเอ๋อเหาะออกจากบ้านไปทันทีในขณะเดียวกันก็ใช้วิชาล่องหนพลางตัวไม่ให้ผู้อื่นเห็น และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือทันที