บทที่ 484.2 ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เผยเฉียนเที่ยวเล่นอย่างบ้าคลั่งอยู่สามวัน ใช้ชีวิตดั่งเทพเซียน รอจนถึงวันที่สี่ ถ่านดำน้อยก็เริ่มกลัดกลุ้ม พอถึงวันที่ห้าก็เซื่องซึม วันที่หกรู้สึกเหมือนฟ้าดินจะถล่มทลาย วันสุดท้ายระหว่างทางที่กลับมาจากยอดเขาอีไต้ก็เริ่มไหล่ลู่คอตก ลากไม้เท้าเดินป่ามาตามทาง เจิ้งต้าเฟิงอุตส่าห์เอ่ยทักทายนางอย่างที่หาได้ยาก นางก็แค่อืมรับหนึ่งคำ แล้วเดินขึ้นเขาไปเงียบๆ

จากนั้นวันต่อมา เผยเฉียนก็เป็นฝ่ายวิ่งไปหาพ่อครัวผู้เฒ่าจูตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่านางลงเขาไปเองก็ได้ ไม่มีทางหลงเสียหน่อย

จูเหลี่ยนจึงตอบรับ

เพื่อแสดงความจริงใจ เผยเฉียนจึงชักเท้าวิ่งลงจากภูเขาไป เพียงแต่รอจนพ้นมาจากอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างไกลแล้ว นางก็เริ่มเดินอาดๆ ท่าทางสบายอุราเป็นอย่างยิ่ง นางไปดูที่ข้างลำธารว่ามีปลาหรือไม่ ปีนขึ้นต้นไม้ไปชมทิวทัศน์ พอไปถึงเมืองเล็กก็ไม่ได้รีบร้อนไปที่ตรอกฉีหลง แต่ไปเล่นขว้างหินที่ริมลำคลองหลงซวี เหนื่อยก็นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนก้อนหินใหญ่สีดำ อยู่รอจนกระทั่งค่ำมืดถึงได้ไปที่ตรอกฉีหลงอย่างมีความสุข ผลคือพอนางเห็นจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าประตูก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางหัว

เผยเฉียนรีบแกล้งทำเป็นเดินขากะเผลก พูดหน้าหงอย “พ่อครัวเฒ่า ตอนที่ลงจากภูเขา เดินไปได้ครึ่งทาง เพราะว่าวิ่งเร็วเกินไปจึงสะดุดล้มหน้าทิ่ม ก็เลยเพิ่งจะเดินมาถึงที่นี่ตอนนี้แหละ”

จูเหลี่ยนร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไรๆ รักษาบาดแผลเป็นเรื่องสำคัญกว่า ข้าจะกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้อาจารย์ของเจ้า บอกว่าขาเจ้าบาดเจ็บ อย่าเพิ่งไปเรียนที่โรงเรียนก่อนดีกว่า”

เผยเฉียนย่นหน้า นั่งแปะลงบนธรณีประตู สือโหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินในร้านกำลังดีดลูกคิดเสียงดังป้อกแป้ก ฟังแล้วน่ารำคาญยิ่งนัก เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้นว่า “พรุ่งนี้จะไปโรงเรียน อย่าว่าแต่ลมพัดฝนตกหิมะตกเลย ต่อให้มีมีดหล่นลงมาจากฟ้า ก็ยังขวางข้าไม่ได้”

จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าส่งเจ้าไปโรงเรียน หรือจะให้พี่หญิงสือโหรวของเจ้าไปส่ง?”

เผยเฉียนคิดแล้วก็เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “ให้พี่หญิงสือโหรวไปส่งแล้วกัน พ่อครัวเฒ่าจู เจ้ามีธุระให้ต้องทำบนภูเขาเยอะแยะ”

คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะเปิดปากพูดเบาๆ ว่า “ข้าคงไม่ไปแล้ว ให้เขาไปส่งเจ้าที่โรงเรียนแล้วกัน”

เผยเฉียนกลอกตามองบน เจ้าคนไร้น้ำใจ วันหน้าอย่าได้หวังว่าจะมาขอเมล็ดแตงไปจากตนเลย

สือโหรวถอนหายใจเบาๆ

ไม่ใช่ว่าขี้เกียจจะเดินทางทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้ แต่เป็นเพราะนางรู้สึกกริ่งเกรง

สือโหรวไม่ค่อยยินดีจะไปโรงเรียนของสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยนั่นสักเท่าไหร่ ต่อให้ตอนนั้นจะเดินเข้าไปในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่อันที่จริงสือโหรวรู้สึกผลักไสสถานที่ที่มีอริยะปราชญ์สอนหนังสือ มีเสียงท่องตำราดังกังวานเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นทั้งความหวาดเกรงในฐานะภูตผี แล้วก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดนี้กลับกลายเป็นข้อที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อสือโหรวมากที่สุด

‘สวมใส่’ คราบร่างเซียนเหริน สือโหรวย่อมรู้สึกลำพองใจในตัวเอง ดังนั้นปีนั้นตอนที่อยู่ในสำนักศึกษา ช่วงแรกๆ นางถึงได้รู้สึกว่าเด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว รวมไปถึงเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยไม่รู้จักหนักเบา สายตาที่สือโหรวมองเด็กเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยการมองเหยียดของคนที่อยู่สูงกว่า แน่นอนว่าภายหลังสือโหรวต้องเผชิญความยากลำบากจนเต็มกลืนจากชุยตงซาน แต่หากไม่พูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์ พูดถึงแค่สภาพความคิดและจิตใจเช่นนี้ของสือโหรว รวมไปถึงความเคารพยำเกรงที่มีต่อสถานที่ซึ่งส่งกลิ่นหอมของตำรา ข้อดีนี้ก็มากพอที่จะให้ทะนุถนอมและเห็นคุณค่าแล้ว

เฉินยวนจีเองก็เหมือนกัน นางเองก็มีส่วนที่มีค่าโดยที่ไม่รู้ตัวเองอยู่เหมือนกัน หลังจากขึ้นมาบนภูเขา ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจูในใจของตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน อย่างมากก็เปรียบได้แค่กับพ่อบ้านในตระกูลชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ จิตใจที่สำนึกในบุญคุณซึ่งเฉินยวนจีมีต่อจูเหลี่ยนกลับไม่เคยลดน้อยลงแม้สักเสี้ยว กลับกันยังรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแทนผู้เฒ่ามาโดยตลอดด้วย

ความดีที่ง่ายจะมองข้ามเหล่านี้ก็คือความล้ำค่า คือความดีงามบนตัวของคนอื่นที่เฉินผิงอันหวังให้เผยเฉียนค้นพบ

เฉินผิงอันไม่ได้เรียกร้องว่าเผยเฉียนจะต้องทำแบบนี้เสมอไป แต่จะต้องรู้ในข้อนี้ให้ได้

เวลาเฉินผิงอันกินข้าวแทบไม่เคยเหลือข้าวแม้แต่ครึ่งเม็ด แต่เผยเฉียนก็ดี เจิ้งต้าเฟิง จูเหลี่ยนก็ช่าง ล้วนไม่มีความพิถีพิถันในข้อนี้ ตักข้าวมากไป อาหารบนโต๊ะทำมาเยอะเกิน กินไม่หมด ถ้าอย่างนั้นก็ ‘เหลือ’ เอาไว้ก่อน เฉินผิงอันไม่ได้จงใจพูดอะไรเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในใจยังไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะต้องปรับเปลี่ยน

นี่คือเรื่องเล็ก

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก

นี่ก็ถือเป็นจุดที่ล้ำค่าซึ่งตัวเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นเดียวกัน

และสิ่งเหล่านี้ กู้ช่านและหลิวเสี้ยนหยางในอดีตอาจรู้สึกแค่ว่าการอยู่ร่วมกับเฉินผิงอันนั้นสามารถผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนที่คร่ำครึและดื้อดึงอย่างมากก็ตาม

แต่ในสายตาของ ‘ผู้อาวุโส’ อย่างจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง กลับเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เพียงแค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น

ก็เหมือนกับการเลือกในเรื่องที่สำคัญบางอย่างของเฉินผิงอัน ต่อให้ในสายตาของคนนอกจะเห็นว่าเขากำลังทุ่มเทและแสดงความมีน้ำใจก็ตาม แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังจะต้องสอบถามสุยโย่วเปียน ถามสือโหรว ถามเผยเฉียนที่อยู่ข้างกายก่อน

ความปรองดองมีน้ำใจเช่นนี้ ไม่ใช่หลักการเหตุผลในตำรา ถึงขั้นไม่ใช่สิ่งที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาได้จากประสบการณ์ แต่เป็นข้อดีที่บ่มเพาะมาจากการสั่งสอนของครอบครัว และสิ่งละอันพันละน้อยที่อดทนผ่านพ้นมาในชีวิตที่ขมขื่นเหมือนถูกกรอกยาขม

สุดท้ายยังคงเป็นจูเหลี่ยนที่ไปโรงเรียนเป็นเพื่อนเผยเฉียน

เช้าตรู่ เผยเฉียนก็ยกสองมือกอดอก ใบหน้าเคร่งเครียด นั่งเหม่อใส่ทรัพย์สินที่ตัวเองรักมากที่สุดซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

นอกจากหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ตอนนี้สะพายไว้บนหลังแล้ว ไม้เท้าเดินป่า กระดาษยันต์สีเหลือง ดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ กลับไม่สามารถเอาไปด้วยได้! ช่างเป็นการไปโรงเรียนเหมือนโดนค้อนทุบ เรียนหนังสือเหมือนโดนค้อนทุบ เจออาจารย์ที่เหมือนโดนค้อนทุบจริงๆ!

 เผยเฉียนถอนหายใจหนักๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูแล้วเงยหน้าขึ้น จนกระทั่งบัดนี้นางถึงรู้สึกว่าสติปัญญาของตนเริ่มจะเปิดโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดก็พอจะเข้าใจแก่นแท้ของหลักการเหตุผลอริยะปราชญ์ประโยคที่ว่า ‘ต่อให้เบื้องหน้าจะมีผู้คนนับพันนับหมื่นขัดขวาง ข้าก็ต้องบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ’ ได้บ้างแล้ว

แต่นางแอบซ่อนเมล็ดแตงไว้เต็มกระเป๋า ตอนที่อาจารย์สอนหนังสือ นางย่อมไม่กล้า เพราะหากทางโรงเรียนไปฟ้องภูเขาลั่วพั่วขึ้นมา เผยเฉียนก็รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ถึงท้ายที่สุดอาจารย์ต้องไม่ยอมช่วยตนแน่นอน แต่เวลาอยู่ว่างๆ จะปล่อยให้ตัวเองเบื่อหน่ายก็คงไม่ดีกระมัง? ยังจะไม่อนุญาตให้ตนหาที่เงียบๆ แทะเมล็ดแตงอีกหรือ?

เผยเฉียนเงียบงันไปตลอดทาง ระหว่างนี้เดินผ่านตรอกซอกซอย เห็นห่านขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เผยเฉียนยังไม่ทันทำอะไร ห่านตัวนั้นก็เริ่มวิ่งเตลิดหนีหายนะแล้ว

ในที่สุดเผยเฉียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย อีกเดี๋ยวตนจะต้องออกไปจากยุทธภพแล้ว แต่ก็ยังพอจะมีบุคคลที่รับมือได้ยากรับรู้ความร้ายกาจของตนอยู่บ้าง

จูเหลี่ยนพาเผยเฉียนไปส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้วก็เอ่ยว่า “เถียงให้มาก ตีให้น้อย”

เผยเฉียนกลอกตามองบน “เถียงอะไรกัน ข้าจะคิดว่าตัวเองเป็นคนใบ้ก็แล้วกัน”

จูเหลี่ยนโบกมือ

เผยเฉียนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ขาสองข้างคล้ายจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่อย่างนั้นค่อยมาเรียนพรุ่งนี้ดีกว่าไหม? ก็แค่ช้าไปวันเดียวเท่านั้น ไม่ได้เร่งด่วนอะไรสักหน่อย นางแอบหันหน้ากลับ ผลคือเห็นว่าจูเหลี่ยนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เผยเฉียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย พ่อครัวเฒ่าผู้นี้ว่างงานจริงๆ รีบกลับไปทำกับข้าวที่ภูเขาลั่วพั่วเข้าสิ

ทางฝ่ายของโรงเรียนมีอาจารย์อายุน้อยคนหนึ่งมารออยู่นานแล้ว ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ

เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นได้มาทักทายกับทางโรงเรียนไว้ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์สองท่านของสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยคิดคำนวณแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถือว่าเล็ก จึงส่งจดหมายกลับไปแจ้งทางตระกูล คุณชายใหญ่เฉินซงเฟิงส่งจดหมายตอบกลับมาด้วยตัวเอง บอกให้ทางโรงเรียนปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ทั้งไม่ต้องรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจงใจประจบเอาใจ กฎเกณฑ์เป็นอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามนั้น แต่เรื่องบางอย่างสามารถผ่อนปรนตามสมควรได้

อันที่จริงเผยเฉียนไม่ได้กลัวคนแปลกหน้า ไม่อย่างนั้นในอดีตนางที่เป็นเด็กตัวนิดเดียวจะสามารถหลอกพวกมือปราบที่มีประสบการณ์โชกโชนหลายคนในเมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนเสียจนหัวหมุน ไม่กล้าพูดจารุนแรงใส่นางแม้แต่คำเดียว ถึงขั้นยังส่งนางกลับมายังโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อมได้หรือ?

เผยเฉียนแค่ไม่ชอบเรียนหนังสือก็เท่านั้น

อาจารย์หนุ่มท่านนั้นแนะนำตัวเผยเฉียน บอกแค่ว่าชื่อเผยเฉียน มาจากตรอกฉีหลง

ได้ยินชื่อ ‘เผยเฉียน’ ที่น่าสนใจเพราะออกเสียงคล้ายคำว่าขาดทุนนี้ ในห้องเรียนก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาไม่เบา อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้ว อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้อยู่ในห้องเรียนตวาดสั่งสอนไปหนึ่งคำรบ ห้องเรียนก็พลันเงียบสนิท

เผยเฉียนไม่สนใจ หางตาของนางกวาดมองไปอย่างรวดเร็ว จดจำหน้าตาของทุกคนไว้ได้เรียบร้อยแล้ว ในใจคิดว่าพวกเจ้าอย่าตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้าก็แล้วกัน

เผยเฉียนเดินไปนั่งบนโต๊ะว่างตัวหนึ่ง ปลดหีบไม้ไผ่วางลงข้างโต๊ะ แล้วเริ่มแสร้งทำท่าเป็นตั้งใจเรียน

เผยเฉียนอดทนอยู่สองคาบ รู้สึกมึนงงอยากจะหลับ ช่างทรมานเหลือเกิน พอพักคาบเรียนก็สบโอกาส ไม่ได้เดินไปที่ประตูหลักของโรงเรียน แต่แอบย่องไปทางประตูข้าง

ผลกลับเห็นจูเหลี่ยนนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างทาง

เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ แสร้งทำเป็นเหลียวซ้ายแลขวา ถามว่า “พ่อครัวเฒ่าจู เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”

จูเหลี่ยนแทะเมล็ดแตงพลางยิ้มตอบ “เฝ้าตอรอกระต่าย”

เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ “ที่นี่ไม่ใช่ป่าลึกสักหน่อย จะมีเจ้าเพื่อนตัวน้อยได้อย่างไร”

เผยเฉียนหมุนตัวเดินกลับทันที

พ่อครัวเฒ่าจูผู้นี้เหมือนวิญญาณอาฆาตพยาบาทไม่เลิกซะจริง ช่วยไม่ได้ ดูท่าวันนี้คงโดดเรียนไม่ได้แล้ว

หลายวันต่อมา ขอแค่เป็นเส้นทางที่เผยเฉียนคิดจะหลบหนีก็ล้วนต้องเจอกับจูเหลี่ยนทุกครั้ง

ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เมื่ออยู่ในโรงเรียน แม้เผยเฉียนจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่มองดูไม่ต่างจากเด็กอายุสิบกว่าขวบ ดังนั้นเพื่อนร่วมห้องของนางในตอนนี้จึงมีอายุจริงน้อยกว่านางอยู่มาก

เผยเฉียนเริ่มเคยชินกับชีวิตของการเป็นนักเรียน อาจารย์สอนหนังสือ นางก็รับฟัง เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา พอเลิกเรียนก็ยกสองแขนกอดอก หลับตาพักผ่อน ไม่สนใจใครทั้งนั้น มีแต่พวกโง่ หลอกพวกเขาไปก็ไม่ได้รู้สึกประสบความสำเร็จอะไร

วันนี้เผยเฉียนเริ่มเหม่อลอยในคาบเรียนอีกครั้ง

นางพลันหันหน้าไปมอง ครู่หนึ่งต่อมาก็มีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียวเดินมาพร้อมกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ หลายคน

พวกเขาไม่ได้หยุดเดิน แต่เผยเฉียนกลับสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนั่นมองตนแวบหนึ่ง

ยามสนธยาของวันนี้ เผยเฉียนปฏิเสธคำเชื้อเชิญจากแม่หนูน้อยสองคน สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กวิ่งกลับไปที่ตรอกฉีหลงเพียงลำพัง

ผลกลับพบว่าจูเหลี่ยนออกจากภูเขาลั่วพั่วมาอยู่ในเรือนด้านหลังของร้านอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ คุณชายที่ก่อนหน้านี้เจอกันในโรงเรียนก็อยู่ด้วย กำลังนั่งคุยยิ้มแย้มอยู่กับพ่อครัวเฒ่าจู

เผยเฉียนที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กค้อมตัวคำนับ “คารวะท่านอาจารย์”

ช่วยไม่ได้ ยามที่อาจารย์ท่องอยู่ในยุทธภพก็ให้ความสำคัญต่อมารยาทอย่างมาก นางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา จะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ไม่สั่งสอนลูกศิษย์ไม่ได้

บัณฑิตหนุ่มยิ้มรับ “เจ้าคือเผยเฉียนกระมัง เรียนหนังสือที่โรงเรียนเคยชินแล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก ตอบเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจัง “สบายมากเลยเจ้าค่ะ พวกอาจารย์มีความรู้สูงส่ง สมควรไปเป็นนักปราชญ์และวิญญูชนที่สำนักศึกษาจริงๆ เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ตั้งใจเรียน วันหน้าจะต้องสอบติดเป็นจิ้นซื่อกันอย่างแน่นอน”

สือโหรวที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินกลั้นขำ

จูเหลี่ยนเองก็ไม่เปิดโปงความสามารถของเจ้าหญ้ายอดกำแพงที่ชอบขับเรือตามกระแสลมผู้นี้

บัณฑิตหนุ่มคล้ายจะรับมือไม่ทันสักเท่าไหร่

คำประจบเอาใจนี้ค่อนข้างจะเยอะไปสักหน่อย ทำให้ทายาทสายตรงสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะรับคำอย่างไรดี แต่คำพูดของเด็ก ถึงอย่างไรก็น่าจะมาจากใจจริงกระมัง? จะมองข้ามความจริงใจของแม่นางน้อยไปได้อย่างไร เฉินซงเฟิงที่เดินทางมาไกลจึงได้แต่พยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้มบางๆ

เผยเฉียนค้อมกายคารวะอีกครั้ง จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องของตัวเอง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วเริ่มคัดตัวอักษร กลับกลายเป็นว่านี่เป็นเรื่องที่เผยเฉียนตั้งใจมากที่สุดยามอยู่นอกโรงเรียน

หลังจากคัดตัวอักษรเสร็จ เผยเฉียนก็พบว่าแขกคนนั้นจากไปแล้ว จูเหลี่ยนยังคงนั่งอยู่ในลานบ้าน ในอ้อมอกหอบประคองสิ่งของเอาไว้ไม่น้อย

เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งไปรอบหนึ่ง หลังจากยืนนิ่งแล้วก็ถามว่า “มาหาเจ้าด้วยเรื่องอะไร?”

จูเหลี่ยนตอบ “เรื่องดี”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “อะไรหรือ เอาเงินมาส่งให้หรือไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “โอ้โห ปากเจ้านี่เป็นมงคลยิ่งนัก เจ้าเดาถูกจริงๆ ด้วย”

เผยเฉียนถาม “แบ่งเงินกันได้ไหม?”

“ไม่มีส่วนของเจ้า”

จูเหลี่ยนหอบกล่องไว้สามใบ เขายกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นส่ายพลางโคลงศีรษะ “หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนคนนั้นของอาจารย์เจ้าที่ไปศึกษาต่อที่ทักษินาตยทวีปได้ไหว้วานให้คนเอาจดหมายหนึ่งฉบับและของสามอย่างมาส่งที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา สองอย่างหลังมอบให้ อีกอย่างหนึ่งให้เก็บไว้ให้ ในจดหมายฉบับนี้บอกไว้แล้วว่า หนังสือเล่มหนึ่งในนั้นที่มอบให้นายน้อย ด้านในซ่อน ‘ลมเปิดหน้าหนังสือ’ ที่ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ยากจะหาซื้อได้เอาไว้ แล้วยังมอบพัดไม้ไผ่สมบัติอาคมที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวเล่มหนึ่งให้กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง บอกว่ากู้ช่านขี้ขลาดมาตั้งแต่เด็ก พัดเล่มนี้สามารถกำราบและเอาชนะภูตผีสัตว์ประหลาดทั้งหมดบนโลกที่ถือกำเนิดขึ้นใต้ดินได้ ส่วนอย่างสุดท้าย หลังจากหลิวเสี้ยนหยางได้ยินว่านายน้อยมีภูเขาเป็นของตัวเองแล้วก็ได้มอบปลากินหมึกที่ระดับขั้นสูงมากตัวหนึ่งให้นายน้อยช่วยเลี้ยงดู”

เผยเฉียนค่อยๆ คลี่ยิ้ม ยกนิ้วโป้งเอ่ยชื่นชม “หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ ใช้ได้! ไม่เสียแรงที่เป็นสหายที่ดีที่สุดของอาจารย์ข้า มือเติบใจกว้าง ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย!”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นอกจากจะเป็นสหายแล้วก็ยังเป็นคนฉลาดด้วย ดูท่าการเดินทางไกลไปศึกษาต่อคราวนี้จะไม่ได้เสียเวลาเปล่า นี่ต่างหากที่ถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นจากลากันไปนานหลายปี ต่างคนต่างพบเจอเรื่องที่แตกต่างกันออกไป เทียบกับปีนั้นก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว เมื่อเจอหน้ากันอีกครั้ง ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว”

เผยเฉียนถาม “ข้าขอดูลมเปิดหน้าหนังสือและปลากินหมึกนั่นหน่อยได้ไหม?”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน “ลมเปิดหน้าหนังสือไม่ควรแตะต้อง วันหน้ารอให้นายน้อยกลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้วค่อยว่ากัน ส่วนปลากินหมึกที่ค่อนข้างจะสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนนั้น ข้าจะเลี้ยงเอาไว้ก่อน รอให้คราวหน้าเจ้ากลับไปภูเขาลั่วพั่วก็ค่อยไปดูซะให้เต็มตา”

เผยเฉียนพลันถามขึ้นว่า “เงินก้อนนี้เป็นบ้านเราที่จ่าย หรือหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นที่เป็นคนควัก?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “ในจดหมายบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าให้นายน้อยควักเงิน บอกว่าตอนนี้เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่แล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ก็อย่าเสียดายเลย หากเสียดายจริงๆ ก็อดทนไว้ก่อนเถอะ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “พูดง่ายนักนะ รีบคืนปลากินหมึกนั่นกลับไปเลย ข้ากับพี่หญิงสือโหรวเฝ้าร้านสองร้านในตรอกฉีหลง เดือนๆ หนึ่งเพิ่งจะหาเงินได้แค่สิบกว่าตำลึงเท่านั้น!”

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองมา “แน่จริงเจ้าก็ไปพูดกับอาจารย์เจ้าเองสิ?”

เผยเฉียนรีบเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ทันที “กระบี่บินส่งข่าวต้องเปลืองเงินเทพเซียนอีก พูดเพิดอะไรกัน เอาตามนี้แหละ หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ อาจารย์อาจไม่สะดวกจะเป็นคนพูด วันหน้าไว้ข้าค่อยตำหนิเขาเอง”

จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าน่ะหรือ? ถึงเวลานั้นตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วคงได้ยินแต่คำพูดประจบของเจ้ากระมัง?”

เผยเฉียนนั่งอยู่บนขั้นบันไดเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

จูเหลี่ยนเองก็ไม่สนใจนาง เด็กนี่นะ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดีใจก็วันเดียว กลัดกลุ้มก็แค่วันเดียว

—–