หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว
ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
คนแรกไม่ใช่เพียงแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่กลับมา ด้านหลังเจ้าหมอนี่ยังมีตัวภาระตามก้นมาด้วยอีกสองคน
ตอนนั้นจูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอยู่เป็นเพื่อนเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขา
เจิ้งต้าเฟิงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหลูป๋ายเซี่ยง เขาจึงไปยกเก้าอี้มาให้ตัวเองแล้วนั่งลงด้านข้าง
พี่สาวน้องชายคู่นั้นที่ปฏิบัติต่ออาจารย์ของตนด้วยความ ‘เคารพดุจเทพเจ้า’ รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ตาเฒ่าสกปรกคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่ง เมื่อพบกับอาจารย์ของตนแล้วกลับไม่มีความเคารพยำเกรงเลยสักนิดงั้นหรือ?
เด็กหนุ่มยังดีหน่อย ทว่าเด็กสาวที่สะพายทวนไม้ไว้เอียงๆ ด้านหลังกลับมีสายตาเย็นชา นางที่เดิมทีก็ฉายประกายเฉียบคมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้
หลูป๋ายเซี่ยงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ส่วนสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยิ่งไม่ถือสา
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ได้รู้ว่า ที่แท้หลูป๋ายเซี่ยงหยุดเดินทางอยู่ที่ภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้รวบรวมโจรบนหลังม้าที่อับจนหนทางกลุ่มหนึ่งไว้เป็นพวกก่อน ก็คือกลุ่มทหารม้ายอดฝีมือของแคว้นใต้อาณัติทางใต้สุดของราชวงศ์จูอิ๋งที่แคว้นล่มสลาย ภายหลังหลูป๋ายเซี่ยงก็นำพาพวกเขาไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นเป็นรังเก่าของลัทธิมารในยุทธภพแห่งหนึ่ง ตัดขาดกับโลกภายนอก มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา ระหว่างนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้รับคู่พี่สาวน้องชายสองคนไว้เป็นลูกศิษย์ในสำนัก เด็กสาวท่าทางองอาจที่สะพายทวนไม้เล่มยาวไว้บนหลังมีนามว่าหยวนเป่า น้องชายชื่อหยวนไหล นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ฐานกระดูกพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้วยังเป็นรองอยู่เยอะมาก
หลูป๋ายเซี่ยงเก็บพวกเขามาได้จากข้างทาง ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะกลับคืนสู่ยุทธภพหรืออยู่ต่อบนภูเขาแห่งนี้ ก็ต้องดูว่าลูกศิษย์สองคนจะเลือกอย่างไร
พอหลูป๋ายเซี่ยงได้ยินว่าเฉินผิงอันเพิ่งจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
อดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจไปมื้อหนึ่งเลย
หลูป๋ายเซี่ยงคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักหนึ่งเดือน
แน่นอนว่าบนภูเขาย่อมไม่ขาดเรือนพักอาศัย หากใช้คำพูดของจูเหลี่ยนก็คือตอนนี้มีบ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตแล้ว
จูเหลี่ยนบอกให้หลูป๋ายเซี่ยงขึ้นภูเขาไปหาเรือนเอาเอง เขาจะอยู่คุยกับพี่ใหญ่เจิ้งต่อ
หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มและลุกขึ้นยืนบอกลา เจิ้งต้าเฟิงบอกกับหลูป๋ายเซี่ยงว่าหากมีเวลาก็มาดื่มเหล้าที่นี่ หลูป๋ายเซี่ยงตอบว่าแน่นอนอยู่แล้ว
เด็กสาวหยวนเป่าแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ
เด็กหนุ่มหยวนไหลรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ตอนที่เดินขึ้นเขา หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้มาเยือนพื้นที่มงคลหลีจูที่ร่วงลงมาหยั่งรากอยู่กับพื้นดิน ความคิดที่ขยายไปหลังจากได้พบเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มา แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เด็กทั้งสองจะเทียบเคียงได้
เด็กสาวสีหน้าคร่ำเครียด ทั่วร่างสาดประกายคมกริบ
เด็กหนุ่มหวาดกลัวพี่สาวที่เป็นคนเด็ดขาดดุดันผู้นี้มาโดยตลอด เขาถึงขั้นไม่กล้าเดินเคียงไหล่ไปกับนาง อาจารย์เดินอยู่หน้าสุด พี่สาวเดินตามหลัง เขาอยู่รั้งท้าย
หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นชื่อว่าจูเหลี่ยน ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง”
เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองน่าจะฟังผิดไป
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยต่อวา “ส่วนชายฉกรรจ์หลังค่อมที่เจ้ารู้สึกว่ามองเจ้าอย่างหื่นกามผู้นั้น ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง ตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักเขาในร้านยาของนครมังกรเฒ่า เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ขาดอีกแค่ก้าวเดียว หรือควรบอกว่าครึ่งก้าว อีกนิดเดียวก็จะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว”
หยวนเป่าเม้มปากแน่น
หลูป๋ายเซี่ยงพกดาบแคบไว้ตรงเอว สวมชุดสีขาว เดินขึ้นเขาพลางพูดช้าๆ ต่อไปว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้ากลัวพวกเขา ยามที่อยู่กับพวกเขา อาจารย์เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าอะไร เรื่องของการเดินสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธนั้น อาจารย์ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเข้าใจในเรื่องหนึ่ง นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันหน้าหากคิดจะพูดจาแข็งกระด้างก็ต้องมีความสามารถที่มากพอ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวตลก ขายหน้าตัวเอง ไม่เป็นไร แต่หากขายหน้าอาจารย์ ครั้งสองครั้งยังดี แต่หากผ่านไปสามครั้ง ข้าก็จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรทำตัวเป็นลูกศิษย์อย่างไร”
หยวนเป่าเลิกคิ้วขึ้น “อาจารย์วางใจได้! สักวันหนึ่งอาจารย์จะต้องคิดว่าปีนั้นรับหยวนเป่าเป็นลูกศิษย์เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว!”
หยวนไหลแอบหัวเราะ
พี่สาวของเขาชอบเอาชนะคะคานเป็นที่สุดมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงพลันหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา หลุบตาลงมองเด็กสาว “เรื่องอื่นๆ ล้วนพูดง่าย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำให้ขึ้นใจ วันหน้าหากเจอคนที่ชื่อเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับเขาให้มาก”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของหยวนเป่า นางพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว!”
หลังจากสามอาจารย์และศิษย์อย่างพวกหลูป๋ายเซี่ยงมาพักอยู่บนภูเขา เนื่องจากเจ้าของภูเขาลั่วพั่วไม่อยู่ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการบันทึกชื่อของหยวนเป่าหยวนไหลลงในทำเนียบวงศ์ตระกูลของ ‘ศาลบรรพจารย์’ จึงได้แต่วางไว้ชั่วคราวก่อน
ในเรื่องนี้ทั้งหลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็คิดเหมือนกัน ตนรับตัวคนพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ต้องบันทึกชื่อไว้ในนามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องปรึกษากันอีก
จากนั้นก็มีสามอาจารย์และศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ภูเขา
นั่นคือผู้เฒ่าตาบอด เด็กหนุ่มขาเป๋แบกธงผ้า รวมไปถึงเด็กสาวหน้ากลมที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย
แต่พวกเขาสามคนไปที่ร้านในตรอกฉีหลงมาก่อน จากนั้นเผยเฉียนก็นำทางพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
นักพรตเฒ่าตาบอดยังรู้สึกกระวนกระวายใจ พอได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาก็คิดว่าเรื่องที่จะมาขอพึ่งพาอีกฝ่ายคงไม่ค่อยน่าจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่แล้ว แต่พอเจอกับพ่อบ้านจูของภูเขาลั่วพั่วก็สบายใจขึ้นเยอะมาก หลังพูดคุยกันจบ นักพรตตาบอดก็รู้สึกตกตะลึง ดูเหมือนว่าตนจะได้ทั้งหน้าตาและได้ทั้งงาน ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว แต่ใช้สถานะของแขกที่อยู่ว่างงานมารับเงินเดือนของผู้ฝึกตนตระกูลเซียน มีที่พักอยู่ในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ส่วนลูกศิษย์คู่นั้นของผู้เฒ่า รอจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ถึงจะได้รับสถานะของแขก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ทางภูเขาลั่วพั่วก็จะช่วยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองแก่คนทั้งสอง สามารถเบิกเงินเทพเซียนล่วงหน้ามาให้เด็กทั้งสองได้ก้อนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนพูดคุยกันได้
เป็นทั้งการคบหากันฉันท์มิตร แล้วก็เป็นทั้งการทำการค้า ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองความสัมพันธ์
ประเด็นสำคัญคือผู้เฒ่าตาบอดอย่างเขายังถึงขั้นมองเห็นเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพรใต้ฝ่าเท้าตัวเองแล้ว
นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตาบอดรู้สึกสบายไปทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นๆ ถ้วยใหญ่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว
หลังลงมาจากภูเขาลั่วพั่ว ตอนเดินยังรู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่ไม่หาย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจูเหลี่ยนผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่วคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง ยืนกรานจะเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูภูเขาให้ได้
เผยเฉียนยังคงติดตามอาจารย์และศิษย์สามคนไปจากภูเขาลั่วพั่ว การเดินทางไปกลับครั้งนี้ นางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่นางได้เจอเสี่ยวป๋ายอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ดียิ่งนัก
เวลานี้เผยเฉียนหันหน้ากลับไปก็เห็นว่าพ่อครัวผู้เฒ่ากำลังเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นภูเขาไปช้าๆ
เผยเฉียนเกาหัว เหนือหอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหัวใจของพ่อครัวผู้เฒ่า ดูเหมือนจะมีเด็กหนุ่มโฉมหน้าพร่าเลือนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ในตำรามีคำหนึ่งบอกว่าอย่างไรแล้วนะ ภูษาถูกลมพัด (อีไต้ตังเฟิง ประโยคที่แท้จริงต้องเป็นอู๋ไต้ตังเฟิง ซึ่งพูดถึงอู๋เต้าจื่อจิตรกรในยุคราชวงศ์ถังที่ถนัดวาดพระพุทธรูป ชอบตวัดพู่กันเป็นวงจึงคล้ายเสื้อผ้าเวลาที่ถูกลมพัด เผยเฉียนจึงเข้าใจว่าเป็นคำว่าอีไต้ตังเฟิงซึ่งแปลว่าภูษาถูกลมพัด) เอาเป็นว่าความหมายประมาณนั้นนั่นแหละ
……
พื้นที่มงคลดอกบัว เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ในตรอกแห่งนั้นมีฝนตกลงมาเป็นสายพาให้บรรยากาศอึมครึม
เด็กหนุ่มชุดเขียวเรือนกายสูงเพรียวใบหน้างดงามดุจหยกกางร่มกระดาษน้ำมันคันเก่าเดินช้าๆ อยู่ในตรอก
วันนี้เขาต้องไปยืมตำราหายากที่หาไม่ได้จากที่ใดๆ ก็ตามในใต้หล้าแห่งนี้จากจ้งชิวที่เป็นทั้งอาจารย์ของตนและเป็นทั้งราชครูของแคว้น
เรื่องการสอบเคอจวี่ อาจารย์จ้งได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า จะติดสามอันดับแรกของการสอบหน้าพระที่นั่งหรือไม่ ยังต้องดูที่ชะตาฟ้ากำหนด ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ทั้งราชสำนักและฮ่องเต้ต่างก็ต้องพิจารณาในข้อนี้ ส่วนลำดับต้นๆ ของอันดับรองลงมานั้นย่อมไม่ยากอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการสอบเคอจวี่ทั้งหมด แต่เริ่มหันไปเปิดอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดโบราณที่ถูกฝุ่นเกาะมานาน
หลังจากอาจารย์จ้งพูดเปิดใจกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เขาเปิดตำราส่วนตัวได้ตามใจชอบ
ตรงมุมเลี้ยวของตรอกมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งที่ไม่เจอกันหลายปีเดินมา
เขาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ กำลังมองมายังเด็กหนุ่มที่กางร่ม
เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือพัดพับตบลงบนหน้าท้องเบาๆ
ลู่ไถ
คุณชายลู่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเจิดจ้า เดินเร็วๆ เข้าไปหา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางครั้งอาจารย์จ้งก็พูดถึง ‘คนต่างถิ่น’ ที่หลังจากไปจากเมืองหลวงก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยผู้นี้ด้วยท่าทางเป็นกังวลใจ ทั้งไม่ใช่ศัตรูและไม่ใช่มิตร แต่ก็เหมือนทั้งศัตรูเหมือนทั้งมิตร เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ท่านลู่ผู้นี้กลับเป็นบุคคลที่สำคัญมาก เขาทั้งรู้สึกสนิทสนมและเคารพนับถือ
ลู่ไถมองประเมินเด็กหนุ่มชุดเขียวแล้วจุ๊ปากพูด “ดื่มเหล้าชมดอกท้อใต้ลมวสันต์ ร่อนเร่ในยุทธภพ จากลาครั้งหนึ่งก็นานถึงสิบปี ประโยคนี้ช่างเหมาะกับบรรยากาศเสียจริง ฉิงหล่างน้อย พวกเราไม่ได้เจอกันสิบปีแล้วกระมัง?”
เฉาฉิงหล่างเก็บร่มลงก่อน จากนั้นก็ประสานมือคารวะ แล้วค่อยกางร่มให้กับลู่ไถ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามักจะได้ยินเรื่องราวของท่านลู่ในยุทธภพเป็นประจำ”
ยุทธภพและสนามรบสิบปีมานี้ช่างพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร เต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือดอย่างแท้จริง
ท่านลู่ผู้นี้ได้รวบรวมลัทธิมารให้เป็นปึกแผ่น อีกทั้งลูกศิษย์หลายคนของเขา หากไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งก็ไปเป็นเสาหลักอยู่ในชายแดนนอกด่าน บ้างก็เป็นราชครูที่ว่ากันว่าสามารถเรียกลมเรียกฝนได้
ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านลู่ก็เพิ่งจะนัดรบกับอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างเป็นทางการ หมายท้าทายบุคคลที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าไม่เป็นรองติงอิงแม้แต่นิดเดียวอย่างเซียนอวี๋เจินอี้
สิบปี จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น บอกว่ายาวก็ไม่ยาว
บุญคุณความแค้นในโลกที่เกิดขึ้นเพราะท่านลู่ผู้นี้ อันที่จริงมีเยอะมาก
แต่เฉาฉิงหล่างเพียงแค่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือและ…ฝึกตนเงียบๆ เฝ้ารออยู่ในตรอกเส้นนี้ อยู่ในบ้านบรรพบุรุษหลังนั้น
ลู่ไถโบกมือ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องกางร่มให้ตน
เฉาฉิงหล่างจึงเดินขยับห่างออกไปหนึ่งก้าว กางร่มให้ตัวเอง ไม่ได้ยืนกราน
กับท่านลู่ผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
คนทั้งสองเดินไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเส้นนั้น ลู่ไถยิ้มกล่าวว่า “วางแผนอะไรไว้บ้างไหม?”
เฉาฉิงหล่างยกร่มกระดาษน้ำมันขึ้นสูงเล็กน้อย ขยับไปด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ข้าอยากจะออกไปดูข้างนอก ไปพบกับท่านเฉิน”
ลู่ไถยิ้มกล่าว “ไม่ง่ายหรอกนะ อาศัยแค่เรียนหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ ต่อให้เจ้าฝึกวิชาหมัดของราชครูจ้ง รวมไปถึงคาถาตระกูลเซียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าช่วยหามาให้เจ้าก็ยังไม่ค่อยพอสักเท่าไหร่”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ “ในตำราย่อมมีเมืองหยกขาว หอสูงสี่หมื่นแปดพันจั้ง เซียนพิงราวถือดอกบัว”
ลู่ไถหันหน้ามามอง “ท่าทางเซ่อซ่าเช่นนี้ก็เหมือนเขาอยู่มากจริงๆ”
ในที่สุดเฉาฉิงหล่างก็เผยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาสมกับวัยออกมาด้วยการพูดอย่างลิงโลด “เหมือนนิดๆ จริงๆ หรือ?”
ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “แค่เหมือนเขาไม่กี่ส่วนก็มีค่ามากพอให้ภูมิใจขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าอยู่ที่บ้านเกิดของข้าและเขาก็ถือว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ร้ายกาจมากแล้ว แต่เขาน่ะเพิ่งจะมีคุณสมบัติเป็นเซียนดินเท่านั้น อืม พูดง่ายๆ ก็คือหากอิงตามหลักปกติ ผลสำเร็จที่สูงที่สุดในชีวิตของเขาก็แค่สูงกว่าอวี๋เจินอี้เซียนผายลมสุนัขตอนนี้ไปนิดหน่อยเท่านั้น ปีนั้นเจ้าอายุยังน้อย อีกทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวในตอนนั้นก็ไม่ได้มีปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นจนเหมาะแก่การฝึกตนเหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นเขาที่มาเยือนอย่างรีบร้อนถึงได้โดดเด่นขนาดนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นตอนนี้ก็คงยากกว่าเดิมมากแล้ว”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่สูงที่สุดบนม่านฟ้า เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “ในใจของข้า ท่านเฉินสูงเหนือนอกฟ้าของนอกฟ้าไปอีก!”
ลู่ไถหลุดหัวเราะพรืด
ดีนักนะ เฉินผิงอันเจ้าใช้ได้เลยนี่นา มาเยือนอารามกวานเต๋ารอบเดียวแต่กลับได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเจ้าโง่น้อยผู้หนึ่งถึงขนาดนี้
ลู่ไถเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “รู้หรือไม่ว่าต่อให้บินทะยานที่บ้านเกิดของพวกเจ้าก็ยังคงมีอันตรายมากอยู่ดี”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “ดังนั้นในอนาคตวันใดวันหนึ่ง หากข้าล้มเหลวเหมือนพวกอดีตปราชญ์ทั้งหลาย ยังต้องรบกวนให้ท่านลู่ช่วยนำความประโยคหนึ่งไปบอกแทนข้า บอกว่า ‘ตลอดหลายปีมานี้ เฉาฉิงหล่างมีชีวิตที่ดีมาก เพียงแค่ค่อนข้างจะคิดถึงท่านเฉิน’
ลู่ไถถอนหายใจ เขาหุบพัดแล้วเคาะลงบนหัวของเฉาฉิงหล่างดังโป้ก “แน่จริงก็ไปพูดกับเขาเองสิ!”
เฉาฉิงหล่างมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งลูบหัว กล่าวอย่างจนใจว่า “นี่ก็สู้ท่านอาจารย์ไม่ได้อีกแล้ว”
……
หลังจากจอดที่ตำหนักฉางชุน เรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกก็ลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง
อีกฝ่ายยังคงไม่ปรากฏตัว
เฉินผิงอันก็ไม่รีบร้อน
ยังคงฝึกหมัดต่อไป
ในขณะที่เรือข้ามฟากกำลังจะขับพ้นไปจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันเก็บท่าหมัด เดินไปเปิดประตู ตรงระเบียงด้านนอกมีสตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังร่างเล็กอรชร รวมไปถึงฮ่องเต้หนุ่มที่ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกร กับคนอีกคนหนึ่งที่เฉินผิงอันคุ้นเคยมากกว่า จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ผู้ชอบพาดกระบี่ไว้ด้านหลังแนวขวาง สวี่รั่ว
เฉินผิงอันเปิดประตู ไม่ได้ยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าประตู เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกับทั้งสามคน
เขาเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้นั่งลงก่อน
หลังจากคนทั้งสามเดินเข้ามาในห้องแล้ว สตรีผู้นั้นก็เดินตรงมาที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ยิ้มพลางผายมือออกมา “คุณชายเฉินเชิญนั่ง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
คนหนุ่มผู้นั้นมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่กลับไม่เอ่ยอะไร เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย เพียงแค่ยืนมองคนวัยเดียวกันที่เปลี่ยนจากตรอกหนีผิงมาอยู่ภูเขาลั่วพั่วคนนี้เงียบๆ
สวี่รั่วยิ้มเอ่ยเบาๆ “เฉินผิงอัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เฉินผิงอันถึงได้กุมหมัดคารวะ “ท่านสวี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
บรรยากาศในห้องเล็กๆ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดยิ่ง
สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะเสียงหวาน “พวกเราทำอย่างนี้ก็แล้วกัน นั่งลงให้หมด พูดไปพูดมาก็ยังเป็นคนกันเอง พวกเราก็อย่ามัวเกรงใจกันอยู่เลย”
เพียงแต่ว่าเมื่อคนทั้งสี่นั่งลง บรรยากาศกลับเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
สวี่รั่วเริ่มหลับตาพักผ่อน
ซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีที่ตอนนี้เท่ากับว่าได้ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็เอาแต่มองประเมินไปรอบด้าน เขาเพิ่งเคยขึ้นเรือข้ามทวีปเป็นครั้งแรก มองแรกๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่ แต่พอมองอีกก็มีแค่เท่านั้น
ส่วนสตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮา (แม่ของฮ่องเต้) ต้าหลีนั้นกำลังคลี่ยิ้มหันมามองบุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ประโยคแรกที่เปิดปากก็คือถ้อยคำตีสนิทที่แฝงไว้ด้วยนัยยะ “หลายปีที่มู่เอ๋อร์ของข้าอยู่ในตรอกหนีผิง โชคดีที่ได้ท่านเฉินช่วยดูแล”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ยังดี”
ตั้งแต่สีหน้าไปจนถึงถ้อยคำล้วนรัดกุมแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่เล็ดรอด ไม่ถือว่าไร้ความเคารพยำเกรง แต่ก็ไม่มีความนอบน้อมเลยแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่เฉินผิงอันกลับด่าอีกฝ่ายในใจว่าดีกะมารดาเจ้าน่ะสิ
มุมปากของสวี่รั่วกระตุกเบาๆ แต่ไม่นานก็ถูกเขากดลง แวบเดียวก็จางหาย ไม่มีใครทันสังเกตเห็น
—–