ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 653 ใครจะป่นกระดูกใครเป็นผุยผง?

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติที่ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องลำบากลำบนสร้างขึ้น ถูกกระตุ้นให้ระเบิดก่อนเวลา

อีกทั้งยังไม่ใช่การระเบิดที่ทำให้เรื่องเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่อาจจัดการ อาณาเขตที่ถูกกระตุ้นจำกัดอยู่ที่มุมหนึ่งทางใต้สุดของเขตเกาะเฉวียนหลิง

แต่ว่าค่ายกลเดิมทีรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ในตอนนี้ถูกทำลายไปมุมหนึ่ง จึงทำงานเร็วยิ่งกว่าเดิม ทำให้ค่ายกลทั้งหมดเกิดข้อผิดพลาด

ค่ายกลที่สั่งสมสภาวะรอสำแดงฤทธิ์ในตอนแรก พลันไม่อาจดำเนินการต่อ

ใกล้กับเกาะโม๋หลู พวกเสวียนมู่อ๋องที่รอรับมือหอกระบี่ทะเลเหนือกับจอมยุทธ์ต่อต้านต้าเสวียนที่เหลือต่างตกตะลึง

ในข่ายกระบี่ที่เกาะโม๋หลู พวกผู้คุมหอกระบี่ทะเลเหนือกู้หงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

สถานการณ์การคุมเชิงของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเคร่งเครียด ทุกอย่างพร้อมปะทุได้ตลอดเวลา

ส่วนที่เกาะเฉวียนหลิง เพลิงสายฟ้าอันน่าสะพรึงไม่ได้ตกลงมาเหมือนสถานการณ์ปกติ กลับได้รับการดึงดูดจากไฟใต้พิภพ จับตัวกันกลายเป็นเสาแสงขนาดมหึมาพุ่งลงมาจากฟากฟ้า

เสาแสงมีความกว้างกว่าร้อยลี้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นเสาแสง มิสู้บอกว่าเป็นม่านแสงหนาหนักที่ปกคลุมโลกในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ด้านล่าง

เพลิงสายฟ้าสีเขียวสีม่วงผสมกัน แฝงพลังระเบิดอันน่าสะพรึง

เสาแสงสาดไปบนผิวทะเลเบื้องล่าง ต้มน้ำทะเลจนเหือดแห้ง

แม้แต่ไฟใต้พิภพที่พุ่งขึ้นมาจากก้นทะเลก็ถูกเสาแสงกลืนกินไปพร้อมกัน โขดหินที่ก้นทะเลด้านล่างแตกร้าว

ไฟใต้พิภพที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมทะยานขึ้นด้านบน ปะทะกับอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ประกอบกันเป็นสมดุลอันแยบคายชั่วคราว

น้ำทะเลที่อยู่รอบๆ ระเหยหายไปเป็นจำนวนมาก ลวดลายค่ายกลของค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติในตอนแรกบิดเบี้ยวไม่หยุด

ไฟใต้พิภพหลายสายพวยพุ่งออกมาจากก้นทะเลเป็นระลอก มิติกำลังจะแหลกสลาย กลายเป็นภาพน่ากลัวที่ทุกสิ่งทุกอย่างทับซ้อนกัน

เยี่ยนจ้าวเกอบังคับให้วังฝูงมังกรเข้าใกล้อย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็ปล่อยคังจิ่นหยวนออกไป

หลังจากคังจิ่นหยวนออกมาแล้ว ก็เห็นภาพวันสิ้นโลกเบื้องหน้า รวมถึงเสาแสงน่าพรั่นพรึงครึ่งแดงครึ่งม่วงที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

ใบหน้าของเขาพลันเขียวคล้ำ ‘ค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้?’

ญาณจริงแท้ของตัวเยี่ยนจ้าวเกอและพลังของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกรวมกัน ลำแสงหลายสายประกอบกันกลายเป็นกรงขังกรงหนึ่ง ขังคังจิ่นหยวนไว้ด้านใน

จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ผลักกรงให้เข้าใกล้เสาแสงที่น่ากลัวนั้น

ขนทั่วร่างคังจิ่นหยวนลุกซู่ “เจ้าจะทำอะไร”

“เห็นแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางของท่านจะต้านทานการโจมตีเช่นนี้ แล้วคุ้มครองท่านต่อไปได้หรือไม่?”

“นี่เป็นเพราะมุมหนึ่งของค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติถูกกระตุ้นก่อน ว่ากันตามปกติ อัคคีสวรรค์กับอัสนีวิบัติที่รวมตัวกันมีพลังทำลายล้างสู้การเคลื่อนไหวด้วยพลังทั้งหมดของค่ายกลไม่ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “แต่ว่า เพลิงสายฟ้าที่เกาะเฉวียนหลิงต้องเจอในตอนนี้ต่างรวมกันอยู่ที่นี่แล้ว พลังทำลายล้างค่อนข้างน่าดูชมดีเดียว ไม่ด้อยกว่าการทำงานด้วยพลังทั้งหมดของค่ายกลทั้งค่ายเลย”

คังจิ่นหยวนถลึงตามองเขา “เจ้าบังอาจนัก! ข้าจะต้องสับศพเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!”

“ข้ากลัวยิ่งนัก” เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่พูด เขาผลักมือออก กรงขังที่ขังคังจิ่นหยวนกับเกราะฟ้าดินไว้เข้าใกล้เสาแสงที่น่ากลัวเบื้องหน้า

เกราะฟ้าดินที่คุ้มครองคังจิ่นหยวนมาแต่ไหนแต่ไร ถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

คังจิ่นหยวนรู้สึกได้ว่ามีเงามืดแห่งความตายครอบคุมตัวเองแล้ว

ความรู้สึกที่เย็นเยียบนั้นรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหว กรีดร้องขึ้นมา “ข้าไม่ต้องการของวิเศษของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าแล้ว!”

“เหตุใดคำขอร้องของท่านจึงทำให้รู้สึกไม่พอใจนักนะ?” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างสง่างาม “ของของข้าเป็นของของข้าตั้งแต่แรก ท่านแค่อยากได้ก็เอาไปได้หรือ? คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

มือของเขาไม่หยุด ผลักคังจิ่นหยวนไปด้านหน้าต่อ “ข้าดูออกอยู่แล้วว่าท่านมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา มียอดฝีมือที่เป็นผู้อาวุโสมากมาย แต่ตัวท่านเองต่อให้จะฝึกจนอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย ความจริงยังไร้เดียงสานัก”

“วรยุทธ์ที่ฝึกฝนเกี่ยวพันอย่างล้ำลึกกับความลับของกาลเวลา จึงพัฒนาได้เร็วและง่ายกว่าคนอื่น อีกทั้งสภาพแวดล้อมของตระกูลยังโดดเด่น ดูจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางชิ้นนี้ก็รู้แล้วว่าตระกูลท่านตามใจท่านมาก ของวิเศษแต่ละชิ้นที่ท่านได้ตั้งแต่เป็นเด็กต้องมีไม่น้อยแน่”

“พูดกันอย่างยุติธรรม พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของท่านสูงส่งมาก ไม่เช่นนั้นอาศัยเพียงทรัพยากร ยังไม่อาจทำให้ท่านมีระดับพลังฝึกปรือเท่าในตอนนี้”

“แต่ที่ท่านเดินมาถึงวันนี้ได้ ข้าจะไม่เอ่ยถึงรากฐานไม่มั่นคง เพราะสิ่งที่ขาดยังมีมากเกินไป”

เยี่ยนจ้าวเกอก่าวอย่างราบเรียบ “ความจริงท่านมีพลังแข็งแกร่งมาก สามารถบดขยี้คนที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งขั้นสองเช่นหยางจ้าวหงได้ง่ายๆ

“กระนั้นหากพูดอีกมุมหนึ่ง ท่านกลับสู้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เดินมาทีละก้าวๆ ด้วยความยากลำบากเหล่านั้นไม่ได้”

คังจิ่นหยวนเดือดดาลเหลือประมาณ ใบหน้าแดงก่ำ “ข่มเหงกันเกินไปแล้ว! อย่าตกมาอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะป่นกระดูกเจ้าให้เป็นผุยผง!”

เยี่ยนจ้าวเกอหลุดหัวเราะ “กล่าวได้ประเสริฐ ดังนั้นข้าจึงจะป่นกระดูกท่านให้เป็นผงก่อน”

เมื่อใกล้เสาแสงที่น่ากลัวนั้นเพียงปลายจมูก คังจิ่นหยวนเห็นภาพทำลายล้างจากการระเบิดเปลวไฟและการไหวระริกของสายฟ้าด้านในได้อย่างชัดเจน

กรงขังกระทบถูกเพลิงสายฟ้า พังทลายลงก่อนแล้ว

แต่ไม่รอให้คังจิ่นหยวนฉวยโอกาสดิ้นหลุด ก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอผลักเข้าไปในเสาแสง

อัคคีสวรรค์ ไฟใต้พิภพ และอัสนีวิบัติอันน่าสะพรึงต่างถล่มเกราะฟ้าดินพร้อมกัน

แม้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางชิ้นนี้จะมีพลังป้องกันน่าทึ่ง แต่ตอนนี้ยังสั่นเทิ้ม คล้ายกับพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกเวลา

คังจิ่นหยวนคิดหนี กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอขวางทางอยู่ด้านนอก

ในสภาพแห่งความสิ้นหวังที่ต้องตายโดยไร้ที่กลบฝัง ความหวาดกลัวในจิตใจของคังจิ่นหยวนกดทับความรู้สึกอื่นจนหมดสิ้น

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงจะยอมปลอ่ยข้าไป?” เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ กรีดร้องขึ้นมา

เยี่ยนจ้าวเกอแสยะยิ้ม “ยังพอฉลาดอยู่บ้าง เข้าใจความนัยที่ข้าบอก”

เขาหลีกทางเล็กน้อย คังจิ่นหยวนรีบร้อนพุ่งออกมา แต่ก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกขวางไว้ทันที

“เหตุใดพวกท่านจึงระบุตัวเยว่เป่าฉี” เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างใจเย็น

คังจิ่นหยวนมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความคับแค้นและหวั่นเกรงเล็กน้อย แค่นเสียงคำหนึ่ง “เป็นข้าบอกเสวียนมู่อ๋องว่า ต้องการให้นางเป็นอนุภรรยา”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเรียบๆ “ไม่พูดความจริงก็เข้าไปด้านในต่อเถอะ”

พูดพลางส่งคังจิ่นหยวนเข้าไปในเสาแสงเพลิงสายฟ้าที่น่ากลัวนั่นอีกครั้ง

คังจินหย่วนตกใจขวัญหลุดวิญญาณหาย ไม่อยากจะเข้าใกล้สถานที่ที่ทำให้จิตใจของเขารู้สึกสั่นระรัวอีกแล้ว

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนนี้! ข้าบอกแล้ว!” คังจิ่นหยวนร้องขึ้น “บิดามารดาของข้าวาดรูปเหมือนขึ้นมาหมายตามหานาง ทั้งต้องการตัวเป็นๆ ตอนแรกไม่รู้ว่านางเป็นใคร แต่หลังจากคนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเห็นนางแล้ว ก็บอกว่านางคือเยว่เป่าฉีแห่งหอกระบี่ทะเลเหนือ”

“แต่จะตามหานางเพราะอะไร ข้าไม่รู้จริงๆ!”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง พูดในใจว่า ‘เป็นอย่างที่คิดไว้…’

ครั้งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าห่างออกไปมีกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งตามมา

มาจากทิศทางที่แตกต่างกันสองทิศ

ครั้นเพ่งสายตามองไป ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีประกายกระบี่ที่เหมือนกับกระแสน้ำ ยืดเวลาให้ช้าลง ทับซ้อนมิติเป็นชั้นๆ เข้าใกล้อย่างรวดเร็ว

ทิศตะวันตกเฉียงใต้มีแสงสว่างละลานตาสาดส่องฟ้าดิน คล้ายกับไร้ที่สิ้นสุด