ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 2 ขันทีผู้หนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่ว่าจะเป็นอ๋องสกุลเฉินหรือเหล่าคนใหญ่คนโตที่เสี่ยงครั้งใหญ่ทรยศจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ พวกเขาควรจะขอบคุณเฉินฉางเซิงไม่น้อย หากมิใช่เพราะเฉินฉางเซิง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็คงไม่อ่อนแอลงเพราะเปลี่ยนโชคชะตาให้กับเขา หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าแผนของซางสิงโจวจะสมบูรณ์พร้อมเพียงใร ทุกคนทุ่มเทแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ออกจากแท่นของนางได้

ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เฉินฉางเซิงนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ตัดสินแผนการของพวกเขา แต่พวกเขาไม่จดจำเรื่องนี้ ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

คำพูดนี้ของเหอจวิ้นอ๋องเป็นตัวแทนมุมมองของโลกนี้ต่อเฉินฉางเซิง

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้เรื่องนี้ดี เขากล่าวเย้ย “หากเขาไม่ใช่ทายาทตระกูลเฉินของท่าน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะทำพลาดได้อย่างไร ลูกสำส่อนหรือ ท่านอ๋องคำพูดนี้ออกจะน่าขันไปหน่อยกระมัง”

เหอจวิ้นอ๋องตกตะลึกกับคำพูดนี้ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างรวดเร็วเมื่อเขาตระหนักว่ามันอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้

ตอนนั้นเองที่กองทหารม้าแหวกออกเป็นทาง ขันทีที่ชราอย่างมากผู้หนึ่งนั่งเกี้ยวเข้ามา

ครั้นเห็นขันทีชรา เหอจวิ้นอ๋องก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันไปหาเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย กล่าวหยัน “เหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่คิดเช่นเดียวกับท่าน”

ขันทีชราผู้นี้มาเพื่อประกาศราชโองการ

กระนั้นก็ตาม แม้แต่หลังจากประกาศจุดประสงค์การมาอย่างเป็นทางการแล้ว ประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดแน่นมาตลอด ก็ยังอิดเอื้อนที่จะเปิดออก

“ดูเหมือนฝ่าบาทส่งคนมาล้อมสำนักฝึกหลวง แต่คิดอีกแง่หนึ่ง สำนักฝึกหลวงเป็นฝ่ายไม่ยอมเปิดประตูเองไม่ใช่หรือ”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยิ้ม ไม่พยายามปกปิดความยินดีของเขา

“หลานชาย อย่าได้ดีใจเร็วเกินไป…”

เหอจวิ้นอ๋องเย้ย “ว่ากันว่าเฉินฉางเซิงเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับฝ่าบาท แต่หากเขาล่วงเกินกงกงผู้นี้ ข้าเกรงว่ามิตรภาพก็ไม่มีประโยชน์อันใด”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสีหน้าขรึมเล็กน้อยขณะตอบกลับไป “ท่านอ๋อง ข้าไม่เข้าใจคำพูดของท่าน”

เหอจวิ้นอ๋องฉีกยิ้ม “หลินกงกง เป็นพี่น้องบุญธรรมของพระชนก อาสาเข้าวังเพื่อรับใช้พระชนก ด้วยว่าเขามีฐานะสูงส่งและได้รับความเคารพอย่างมาก แม้แต่ในยามที่พระชนนีครองราชย์ และไม่ประสงค์จะพบเขา ก็ทำได้เพียงให้เขาเกษียณกลับไปยังเมืองจางเพื่อพักฟื้น ตอนนี้เจ้าสำนักซางเชิญตัวเขากลับมารับตำแหน่งกงกงใหญ่ดูแลตราประทับ ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าใครจะกล้าไม่เคารพเขา”

ขันทีชราเอนหลังอยู่บนเกี้ยวตลอดเวลา ดวงตาปิดสนิทราวกับกำลังงีบหลับ ตอนแรกเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพบว่าแปลกอยู่บ้าง เพราะขันทีผู้นี้มาประกาศราชโองการ ด้วยบรรยากาศกดดันรอบสำนักฝึกหลวงนี้ ขันทีผู้นี้จะทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนนี้เมื่อเขารู้ประวัติความเป็นมาของหลินกงกงที่กลับมาอีกครั้ง ก็คิดว่านี่คือท่าทีที่หลินกงกงควรมี สายตาเขาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และนับถือผู้เป็นตำนาน อย่างไรก็ตาม เขาก็ตระหนักได้ในไม่ช้าว่าเหล่าขันทีนางกำนัลในวังหลวงที่ล้วนภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่… รวมถึงหัวหน้าขันทีซึ่งเขาสนิทสนมมาตั้งแต่ยังเยาว์ล้วนเพิ่งตายไปเมื่อวานนี้เอง การตายพวกนั้นพอจะเดาได้ว่าเป็นผลงานของหลินกงกง คิดได้ดังนี้ ใบหน้าเขาก็ขาวซีดอยู่บ้าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีชราก็ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นว่าประตูสำนักฝึกหลวงยังปิดอยู่ เขาก็ประกาศอย่างเรียบเฉยว่า “หากไม่เปิดก็ทำลายเสีย”

จากนั้นขันทีชราก็หลับตาลง เขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่อลืมตาขึ้น กลับดูแข็งกร้าวดุดัน ราวกับทวนเก่าที่ถูกนำออกมาจากผ้าเก่า สายตามองไปที่ใดหรือพูดคำใด ก็ปรากฏความแหลมคมขึ้น

เขาเติบโตขึ้นในวังหลวง ฝึกฝนวิชาลับอันลึกล้ำมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังนั้นหลินกงกงจึงมีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงมาก อย่างไรก็ตาม ท่าทีอันแข็งกร้าวดุจทวนนี้มิได้มีต้นกำเนิดมาจากความแข็งแกร่งของเขา ความแหลมคมที่อยู่ในบรรยากาศนั้นมาจากหัวใจและดวงตาซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดวงตาทั้งคู่อันหม่นมัวจากความชราเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและชอบธรรม ไม่มีความลังเลหรือขาดความมั่นใจอยู่เลยแม้แต่น้อย

ซางสิ่งโจวเชิญหลินกงกงให้กลับมายังวังหลวงและรับตราประทับอันเป็นตัวแทนของการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ก้าวขึ้นสู่รัชสมัยใหม่

เขามาจากวังหลวง ในมือมีพระราชโองการ คำพูดเขาเป็นตัวแทนราชประสงค์ราชสำนักต้าโจว ดังนั้นใครจะกล้าขัดคำสั่งเขาในตอนนี้

แต่หลังจากเขาพูดแล้ว สำนักฝึกหลวงก็ยังนิ่งเงียบ ไม่มีใครเดินไปทำลายประตู ไม่แม้แต่คนเดียว

ทหารม้าเกราะดำ กองทัพรักษาประตูเมือง หรือข้ารับใช้ที่ติดตามหลินกงกงมาก็ไม่มีใครเคลื่อนไหว ทุกคนต่างอยู่ในตำแหน่งเดิมของตน

ผู้คนมากมาย ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มองไปทางเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

สองปีก่อน ยามเช้าท่ามกลางสายฝนฤดูใบไม้ผลิ บุตรผู้น่าภาคภูมิของตระกูลเทียนไห่ผู้นี้กลับมาจากด่านยงเสวี่ยและนำทหารของตระกูลมาทำลายประตูสำนักฝึกหลวง

ในวันนั้นมีหลายคนในจิงตูตายไป เป็นครั้งแรกที่สำนักฝึกหลวงแสดงความแข็งแกร่งและทรัพยากรเบื้องหลังออกมา สุดท้ายได้เป็นผู้ชนะที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำนักฝึกหลวงไม่ได้ซ่อมประตู แต่ปล่อยให้ประตูสำนักที่พังตากลมฝนอยู่เป็นเวลานานจนแทบกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจิงตู

ผ่านไปเป็นเวลานานจนกระทั่งเฉินฉางเซิงสอบได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ ตระกูลเทียนไห่ถึงได้รู้ว่าตนเองทำผิดไปและสร้างประตูสำนักฝึกหลวงขึ้นใหม่อย่างงดงามที่สุด

ประตูใหม่นี้คือหลักฐานความแข็งแกร่งของสำนักฝึกหลวง ทั้งยังเป็นความอับอายที่ไม่อาจลบล้างของตระกูลเทียนไห่

นับจากนั้นมา ทุกคนในจิงตูก็รู้อยู่เรื่องหนึ่ง ประตูสำนักฝึกหลวงไม่อาจทำลายได้ง่ายนัก หากต้องการจะทำลาย ต้องมีคนตาย หรืออับอายจนตาย

……

……

“ข้าอาศัยอยู่บ้านเกิดมานานเกินไป เลยไม่รู้ว่าจิงตูสองปีมานี้คึกคักเพียงใด”

ได้ยินเสียงกระซิบจากขันทีที่ร่วมทางมา หลินกงกงก็หันไปทางเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่อยู่ไกลออกไปและกวักมือเรียก

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเดินมา

หลินกงกงมองดูเขาอยู่นาน ในที่สุดก็กล่าว “ตอนที่เจ้าเพิ่งเกิด ข้ายังอยู่ในจิงตู ตอนนั้นข้าบอกพ่อเจ้าว่าตระกูลเทียนไห่ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขยะปัญญาอ่อน มีแต่แม่ของเจ้าที่เป็นสตรีดีงาม ข้าหวังว่านางจะเลี้ยงลูกให้ได้ดี ดูเหมือนว่าคำพูดของข้าจะไม่ผิด”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้เรื่องในอดีตนี้จึงตอบอย่างจริงใจ “กงกงชมเกินไปแล้ว”

หลินกงกงไม่พูดเรื่องอดีตอีกและถามว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยถูกทำให้อับอายที่นี่”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมองไปยังประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดแน่นและกล่าวตอบ “เป็นผู้เยาว์ที่หาความอับอายให้ตัวเอง”

หลินกงกงรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดนี้ไม่น้อย เขากล่าวด้วยสายตาสุขุม “เช่นนั้นเจ้าไม่คิดจะล้างอายหรือ”

การล้างอายที่เคยได้รับนั้นย่อมไม่ใช่การสร้างความอับอายแต่เป็นการแก้แค้นอย่างเปิดเผย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาสามารถทำลายประตูสำนักฝึกหลวงได้อีกครั้ง

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยใช้ความเงียบแสดงเจตจำนง

หลินกงกงยิ้มเย้ยแล้วถาม “หรือว่าทุกคนในตระกูลเทียนไห่เป็นเหมือนเจ้า ไร้ความหนักแน่น”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้สึกร่างกายเย็นเยียบเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ต้องรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นตึงเครียดและอ่อนไหวมาก เพียงคำว่า ‘ไร้ความหนักแน่น’ นี้ก็ทำให้ตระกูลเทียนไห่พบกับปัญหาใหญ่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ความหนักแน่นของเขามีเพียงพอให้เขาปฏิเสธข้อเสนออันใจกว้างของหลินกงกง ถึงตอนนี้แล้ว ทำไมเขาต้องมาเสียใจด้วย

“ก่อนหน้านี้กงกงเคยกล่าวว่าแม่ข้าเป็นกุลสตรี ว่าข้าเป็นลูกที่ดี ดังนั้นในมุมมองข้า ข้าต้องเป็นคนมีเหตุผลอยู่บ้าง”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสูดหายใจลึก คำพูดของเขาเย็นเยียบแหลมคมดุจน้ำแข็ง “ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของกงกงก่อนหน้านี้ไม่เหมาะสมนัก เจ้าสำนักเฉินได้ทำความชอบใหญ่หลวงให้กับมนุษยชาติ อีกทัั้งยังเป็นว่าที่สังฆราช อย่าว่าแต่มีราชโองการเลย ต่อให้ฝ่าบาทมาด้วยตัวเอง ข้าก็เชื่อว่าพระองค์คงไม่ทำเกินไป และย่อมไม่มีทางทำลายประตูสำนักอย่างแน่นอน”

“อย่างนั้นหรือ” หลินกงกงพลันหัวเราะขึ้นมา

ขณะต่อมาเมื่อเสียงหัวเราะหายไป สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบยิ่งกว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย กลายเป็นดื้อดึงอย่างที่สุด กำหมัดชูขึ้นฟ้ากล่าว “ทายาทองค์ไท่จู่ได้กลับคืนสู่อำนาจ ทำให้ทั้งโลกล้วนยินดี ในตอนนี้ สำนักฝึกหลวงกล้าปฏิเสธราชโองการ เป็นเรื่องน่าสงสัยอย่างแท้จริง หรือว่าทั้งหมดนี้ล้วนหลอกลวง หากไม่กล้าแม้แต่จะทำลายประตูสำนัก แล้วจะอ้างสิทธิ์ปกครองโลกนี้ได้อย่างไร”

คำพูดพวกนี้ช่างน่ากลัวอย่างมาก

ไม่รอให้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยตอบ เหอจวิ้นอ๋องก็ได้สติกลับมา ขบฟันดึงแส้ออกมา ฟาดใส่หลังกองทหารขของเขาพร้อมร้องตะโกน “เร็ว ทำลายประตูสำนัก!”

ด้วยคำสั่งนี้ พวกทหารรักษาประตูเมืองและผู้ใต้บังคับบัญชาที่เงียบงันอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว เตรียมจะจัดการกับสถานที่

ทหารม้าเกราะดำหลายร้อยนายทำหน้าที่เป็นกองหน้า เกราะหนักบนร่างกายทหารและเหล่าม้าศึกส่องประกายเย็นเยียบ แผ่ความรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ

ไม่ว่าประตูสำนักฝึกหลวงจะงดงามเพียงใด ไม่ว่าจะทนทานแค่ไหน ก็ต้องกลายเป็นเศษซากหากเจอกับอาวุธของทหารม้าเกราะดำ

ในตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงกันเล่า