ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 3 สำนักแห่งหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ประตูสำนักฝึกหลวงปิดแน่นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย แม้แต่ยามที่กองทัพอวี่หลินล้อมเอาไว้หรือตอนที่ขันทีชรานำราชโองการมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังคงนิ่งเงียบ ทุกคนคิดว่าไม่มีใครอยู่หลังประตูสำนักที่หนาหนักนั้น

ทว่าความจริงแล้วมีคนอยู่ด้านหลังประตูสำนักฝึกหลวงอยู่ตลอดเวลา

ด้านหลังประตูสำนัก ปลูกต้นหวงหยางไว้สองต้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึงใบไม้บนต้นไม้ทั้งสองก็ลดลงไปอย่างมาก แสงแดดใสเย็นลอดผ่านกิ่งก้านตกลงสู่ใบหน้าสาวน้อยผู้หนึ่ง

สาวน้อยหน้าตาหมดจดงดงาม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นเด็กน้อย นางยังเยาว์วัย ยิ่งอยู่ใต้แสงแดดยิ่งดูมีเสน่ห์ อย่างไรก็ตาม สีหน้าแววตาของนางก็ดูชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน

เยี่ยเสี่ยวเหลียนศิษย์สายในของสถานศึกษาหนานซี

ซูม่ออวี๋ยืนอยู่ข้างกายนาง

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีหลายสิบคนยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

กระบี่ของพวกเขาถูกชักออกมานานแล้ว

แสงแดดฤดูใบไม้ร่วงอันสดใสส่องต้องใบหน้าพวกเขา แต่ไม่อาจตกลงบนกระบี่ของพวกเขาได้ เพราะกระบี่เหล่านั้นแหลมคมเกินไป ประกายกระบี่เจิดจ้าเกินไป

พวกเขายืนเฝ้าอยู่ด้านหลังประตูสำนักฝึกหลวงตลอดเวลา

ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีปกป้องที่แห่งนี้มาสามวันสามคืนแล้ว

ในตอนนี้ศิษย์หญิงของสถานศึกษาหนานซีเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ครั้นเสียงแผ่วเบาดังมาจากกำแพง สีหน้าพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

ทหารม้าเกราะดำของต้าโจวไร้ผู้ต้านในโลกนี้ หากพวกเขาบุกเข้ามาเช่นนี้ต่อให้เป็นค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีก็ไม่อาจต้านทานได้

“จะทำอย่างไรดี” เยี่ยเสี่ยวเหลียนหันไปหาซูม่ออวี๋ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความกังวล

ซูม่ออวี๋หันหน้าไปทางหอตำรา คิดถึงคนที่ไม่พูดจาอะไรนับตั้งแต่กลับมาจากสุสานเทียนซู ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจอันใด

“นั่นคือหลินกงกง! พวกเจ้าทั้งหมดยังคิดอะไรอีก! แค่เปิดประตูสำนักแล้วรับราชโองการ”

นักเรียนของสำนักฝึกหลวงคนหนึ่งมองไปทางผู้คนตรงหน้าประตูสำนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยามที่ตะโกน “อย่าบอกว่าพวกเจ้าเตรียมจะขัดราชโองการ! ข้าไม่มีทางร่วมตายไปกับพวกเจ้าแน่!”

ได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ กลุ่มอาจารย์กับนักเรียนก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา บทสนทนาดังขึ้น บางคนถึงขนาดทะเลาะกันรุนแรง

ซูม่ออวี๋มองไปทางนักเรียนคนนั้น ก็จำได้ว่าเขาคือบุตรของพ่อค้ามั่งคั่งบนถนนเหอหนาน เขาจดจำชื่อนักเรียนคนนั้นไว้ในใจ

เยี่ยเสี่ยวเหลียนมองไปทางที่เขามองและคิดว่าเขากำลังจะลังเล นางหันไปทางนักเรียนและอาจารย์พวกนั้นแล้วตะโกน “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีคำสั่งให้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีดูแลความปลอดภัยของเจ้าสำนักเฉิน! หากขลาดเขลาหวาดกลัวก็ออกไปทางประตูหลัง หากพูดจาพร่ำเพ้อไร้สาระ อย่าโทษว่ากระบี่สำนักเราไร้เมตตา!”

บุตรพ่อค้าจากถนนเหอหนานหน้าเปลี่ยนไปในทันทีที่ได้ยินคำขู่ เขาโกรธมากแต่ก็ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก ก่อนเดินออกไปจากฝูงชน

ไม่นานนัก นักเรียนและอาจารย์สิบกว่าคนก็เดินออกจากฝูงชน ทั้งหมดล้วนเดินไปทางประตูหลัง

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกที่ยังอยู่ก็อดตะโกนด่าไม่ได้ หลังจากเห็นสายตาเหล่าศิษย์หญิงจากสถานศึกษาหนานซี พวกเขาก็รู้สึกอับอายอย่างมากและตะโกนด่าเสียงดังกว่าเดิม

ซู่ม่ออวี๋ไม่กล่าวอันใด เพียงจดจำชื่อของพวกคนที่เดินจากไปเอาไว้ในใจ

ในตอนนี้ เยี่ยเสี่ยวเหลียนตระหนักว่าการนิ่งเงียบของเขาไม่ได้หมายความว่าเขาลังเล นางรู้สึกสงสัยจึงถามออกไป “เจ้าคิดอะไรอยู่”

ซูม่ออวี๋ตอบอย่างใจเย็น “ข้ากำลังคิด หากสำนักฝึกหลวงดำรงอยู่ต่อไปได้ จะใช้วิธีใดเอาคืนกับคนพวกนี้ดี”

เยี่ยเสี่ยวเหลียนตกใจเล็กน้อย พลางคิดในใจซูม่ออวี๋จากสำนักจวนราชวังหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีมารยาทเปลี่ยนนิสัยไปตั้งแต่เมื่อใดกัน

นางไม่ได้พูดออกมาแต่ซูม่ออวี๋รู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขามองไปที่ภาพสำนักฝึกหลวงในฤดูใบไม้ร่วงอันงดงาม ใบหน้าแสดงถึงความถวิลหา “ที่แห่งนี้ช่างน่าสนใจ ทุกคนที่อยู่ที่นี่มานานพอย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”

ถ้าสำนักฝึกหลวงที่น่าสนใจนี้จะดำรงต่อไปได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่คำว่า ‘ถ้า’ นั้นเป็นคำที่ไม่อาจเชื่อถือได้มากที่สุด

มิเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกเศร้า รู้สึกรำลึกถึงขึ้นมาแล้ว

……

……

ตรอกไป๋ฮวาถูกจัดแจงเรียบร้อยแล้ว สิ่งก่อสร้างฝั่งตรงข้ามถูกรื้อถอนออกไป เหลือไว้เพียงแค่โรงน้ำชาหลังหนึ่ง

ท่ามกลางฝุ่นที่ลอยคลุ้ง โรงน้ำชาที่เคยรับชมการประลองหลายสิบครั้งแห่งนี้ดูโดดเดี่ยวอย่างมาก ในอีกแง่หนึ่ง ร่างของทหารม้าเกราะดำจำนวนหลายร้อยนายก็น่าหวาดกลัวอย่างมาก

ประตูสำนักฝึกหลวงก็ยังคงปิดแน่น

“กล้าหาญถึงเพียงนี้สมแล้วที่เป็นสำนักฝึกหลวงที่เจ้าสำนักซางสร้างขึ้น สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของฝ่าบาท”

หลินกงกงพลันหัวร่อ รอยยิ้มเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก

สุ้มเสียงชายชราไม่ชัดเจนอยู่บ้าง แผ่วเบาอยู่บ้าง นอกเหนือจากพวกผู้ติดตามอายุน้อยที่อยู่ใกล้แล้ว ก็ไม่มีใครอีกที่ได้ยิน

อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมานั้นทุกคนในบริเวณล้วนได้ยิน

หลินกงกงมองไปที่ประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดแน่น รอยยิ้มหายไปเมื่อเขาเริ่มพูด “เจ้าสำนักเฉินตัวคนเดียว แต่นักเรียนและอาจารย์ของสำนักฝึกหลวง….มีครอบครัว”

เมื่อประโยคนี้จบลง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากสำนักฝึกหลวง ความวุ่นวายเกิดขึ้นบนถนน

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่ขันทีชรา

สีหน้าซับซ้อนของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยซีดขาวยิ่งกว่าเดิม

เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลินกงกงจะผิดจากชื่อเสียงอันซื่อสัตย์มั่นคงของตนอย่างสิ้นเชิง จนใช้วิธีที่ไม่เกรงใจและโหดเหี้ยมออกมา!

……

……

พวกเขาไม่รู้ว่าได้ยินผิดไปหรือไม่

เสียงนั้นเหมือนจะดังมาจากในส่วนลึกของสำนักฝึกหลวง

จากนั้น ประตูหน้าของสำนักฝึกหลวงที่ปิดอยู่เป็นเวลานานสามวันสามคืนก็เปิดออกช้าๆ ในที่สุด

ประกายกระบี่เย็นเยียบน่ากลัวโถมเข้าใส่คนภายนอก อาจารย์และนักเรียนของสำนักฝึกหลวงสองร้อยกว่าโคนพุ่งออกมา

พวกเขาไม่อาจสู้ได้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังรักษาค่ายกลเอาไว้อย่างหนาแน่นขณะรอคอย

ครั้นเห็นภาพนี้ ทั้งเหอจวิ้นอ๋องและกองทหารม้าเกราะดำก็มีปฎิกริยาเล็กน้อย

หลินกงกงเยือกเย็นอย่างยิ่ง เขาถึงขนาดมีสีหน้าค่อนข้างพอใจกับภาพที่เห็น

ซูม่ออวี๋ไม่ได้นอนมาสามวันจึงเหนื่อยล้า ทว่าดวงตากับน้ำเสียงยังคงแจ่มใส

เขายืนอยู่บนบันไดหิน มองไปทางหลินกงกงและกล่าว “ประกาศราชโองการใช้แค่คนเดียวก็พอ”

ราชโองการมาถึง แต่สำนักฝึกหลวงไม่เปิดประตู ไม่จุดเครื่องหอมหมอบกราบกับพื้น แต่กลับบอกว่าให้หลินกงกงเข้าไปได้คนเดียว ท่าทีเยี่ยงนี้นับว่าไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง

หลินกงกงไม่โกรธ เขายิ้มและกล่าว “หากข้าจำต้องสังหารเขา แค่คำสั่งเดียวกับตัวข้าก็พอแล้ว”

กล่าวแล้วเขาก็เดินเข้าสู่สำนักฝึกหลวง เดินผ่านซูม่ออวี๋และตบไหล่เบาๆ

สีหน้าเยี่ยเสี่ยวเหลียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในทันที มือที่กุมกระบี่แน่นขึ้นเล็กน้อย

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซูม่ออวี๋ไม่ได้กระอักเลือดล้มลงนอนตายกับพื้น

หลินกงกงแค่อยากจะแสดงความชื่นชมกับซูมื่ออวี๋เท่านั้น

ในเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้ อู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงเป็นสองยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีผลงานโดดเด่นอย่างมาก โดยเฉพาะคนหลัง

ซูม่ออวี๋เป็นหลานเปี๋ยยั่งหง แต่เขายังอยู่ในสำนักฝึกหลวงหลังจากเหตุการณ์และไม่เคยจากไป ในสายตาคนทั่วไป นี่เป็นเรื่องโง่เขลา แต่สำหรับหลินกงกงที่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้มาทั้งชีวิต นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

……

……

ประตูหอตำราเปิดอยู่ แสงแดดตกลงบนพื้นกระดานสีดำแวววาว มันเงาจนสามารถสะท้อนภาพได้

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างดูภาพฤดูใบไม้ร่วง เขาก้มหน้า ดังหนึ่งกำลังคิดอะไรบางอย่าง

หลินกงกงมองเขาอย่างเงียบงัน มองเขาอยู่เป็นเวลานาน

เฉินฉางเซิงไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้กล่าวอะไร ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น

หลินกงกงพลันเข้าใจว่าเขากำลังมองดูเงาสะท้อนของตนเองบนพื้นกระดาน

เฉินฉางเซิงกำลังมองดูตัวเอง