ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 112 ฮ่องเต้รัฐอู่ออกความคิดเห็นอีกครั้ง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลังจากผ่านการสู่ขอที่ครึกโครม และวุ่นวายไป ในที่สุดท่าป๋าหั่นหลินก็สมใจปรารถนา ทำให้จวนอ๋องฉียินยอมกับการสู่ขอของเขา ข่าวนี้ได้แพร่ไปทั่วเมืองหลวง ทำลายจินตนาการของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหลายที่อยากจะผูกเป็นญาติกับจวนอ๋องฉีโดยการแต่งงาน ในใจนั้นเสียดายเป็นอย่างมาก ถ้ารู้ว่าทำขบวนที่ใหญ่โตเยี่ยงนี้ สามารถสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องขายทุกอย่างแม้แต่จวนพวกเขาก็จะทำ เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังจากแต่งงานกันแล้ว สิ่งของพวกนี้ก็จะกลับมา 

 

 

ยังมีเหวินซื่อ หลังจากด่าว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ต่อหน้าเฝิงจิ้งเหวินในห้องของตัวเองแล้ว ก็รีบระดมคนทุกคนในร้านยาเต๋อเหรินจัดเป็นขบวนยิ่งใหญ่เพื่อไปสู่ขอเหมือนท่าป๋าหั่นหลิน แต่ถูกเฝิงจิ้งเหวินห้ามไว้ “ในเมื่อเย่ว์เอ๋อร์ตกปากรับคำการสู่ขอของฮ่องเต้รัฐอิงแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางพูดคุยเรื่องแต่งงานอีกแน่นอน แม้ว่าท่านพี่จะยกร้านยาเต๋อเหรินให้ก็ไม่สามารถสู่ขอกลับมาได้แน่นอน ล้มเลิกความคิดนี้เถิด” 

 

 

ความตื่นเต้นทั้งหมดของเหวินซื่อถูกราดด้วยน้ำเย็น อึดอัดใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ใช้น้ำเสียงเบาอีกต่อไป ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้าคนอกตัญญูสองคน ตั้งแต่ลูกสาวของพวกเขาคลอดออกมาข้าก็ขอหมั้นหมายไว้หนึ่งคน พวกเขาไม่ยอม ตอนนี้เป็นอย่างไร ถูกคนนอกได้ไปแล้ว” 

 

 

เฝิงจิ้งเหวินเห็นเขาอารมณ์รุนแรงเยี่ยงนี้ ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ปลอบโยนว่า “การแต่งงานของลูกสาวลูกชาย เป็นเรื่องของพรหมลิขิต ท่านไปบังคับเยี่ยงนี้ก็ไม่มีประโยชน์” 

 

 

“ข้าบังคับเมื่อใด ลูกสาวทั้งสองของพวกเขา แต่งงานกับลูกชายของเราหนึ่งคน ไม่ดีหรือ” เหวินซื่อยังไม่หายโมโห น้ำเสียงจึงไม่ดีเท่าไร 

 

 

เฝิงจิ้งเหวินค่อยๆ เปิดโปงเขาอย่างใจเย็นว่า “ท่านอยากจะสู่ขอภรรยาให้ลูกชาย หรือแท้จริงแล้วท่านพี่เพียงอยากให้เมิ่งเอ๋อร์หรือเย่ว์เอ๋อร์คนใดคนหนึ่งแต่งเข้ามา เพื่อจะได้ควบคุมซื่อจื่อและโยวเอ๋อร์กันแน่” 

 

 

ถูกพูดแทงใจ สีหน้าของเหวินซื่อแดงขึ้นมาทันที เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ไม่กระโดดไปมาอีก นั่งกลับไปที่เก้าอี้อย่างเรียบร้อย 

 

 

รอยยิ้มมุมปากของเฝิงจิ้งเหวินยิ่งอยู่ยิ่งกว้าง สามีของนางคนนี้ น่าจะถูกอี้เซวียนกับโยวเอ๋อร์สองสามีภรรยารังแกมากเกินไป อยากจะให้ลูกชายของตัวเองสู่ขอลูกสาวของพวกเขา ต่อไปตัวเองจะได้ไม่ถูกพวกเขารังแกอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือความคิดนี้มีมาแล้วสิบกว่าปี นักแน่นยิ่งนัก 

 

 

ทางไท่จื่อเยียลี่ว์อาเป่าที่ถูกปฏิเสธ แต่ก็ยังอยู่เมืองหลวงไม่ยอมกลับรัฐหมิงได้ยินข่าวนี้ ก็อยากจะใช้วิธีเดียวกัน แต่ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้ว ที่ตัวเองไปสู่ขอที่จวนแต่ถูกไล่ออกมา จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็คิดแผนการอะไรไม่ออก จึงทำได้เพียงแสดงฐานะแล้วเข้าวังเพื่อขอพบหวงฝู่ซวิ่น อยากจะเข้าทางเขา 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นได้เข้าไปยุ่งเรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์แล้ว หากเขายังกล้าเข้าไปยุ่งเรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์อีก เขาคิดว่าวังของเขาอาจถูกท่านอ๋องฉีรื้อถอนได้ หวงฝู่ซวิ่นจะกล้าตกปากรับคำได้อย่างไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ ข้าว่าเจ้าล้มเลิกความคิดที่จะสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์เถิด เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เติบโตต่อหน้าท่านลุงมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เย่ว์เอ๋อร์จะแต่งออกเรือนไปไกล เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางไปจากเมืองหลวง การสู่ขอครั้งนี้ของเจ้าไม่สำเร็จแน่นอน” 

 

 

ฟังคำพูดของเขาจบ ในใจของเยียลี่ว์อาเป่านั้นเจ็บปวดมาก ตั้งแต่หวงฝู่สือเมิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ ในหัวของเขาก็มีแต่นางอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ความหวังพังทลายลง ในใจของเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างพูดไม่ถูก  

 

 

เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาแล้ว ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาหัวของหวงฝู่ซวิ่น แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธทันที ส่ายหัวไปมา  

 

 

เงียบไปสักพักใหญ่ เยียลี่ว์อาเป่าจึงจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีหวังว่า “ฮ่องเต้รัฐอู่มีวิธีที่ทำให้ข้าสู่ขอท่านหญิงน้อยเมิ่งเอ๋อร์ได้หรือไม่ หากท่านทำให้ข้าสมหวังในเรื่องนี้ ข้ารับประกันว่ารัฐหมิงและรัฐอู่จะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป ไม่เกิดสงครามอย่างแน่นอนขอรับ” 

 

 

เงื่อนไขนี้ทำให้หวงฝู่ซวิ่นใจสั่นเล็กน้อย แม้ว่ารัฐอู่จะดีอย่างไร ก็มีช่วงเวลาที่รัฐอ่อนแอ แต่หากเป็นพันธมิตรกับรัฐหมิง อย่างน้อยในหนึ่งร้อยปีนี้ จะไม่มีผู้ใดกล้าบุกสองรัฐนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคือเยียลี่ว์อาเป่าเป็นไท่จื่อของรัฐหมิง อีกไม่นานก็จะเป็นฮ่องเต้ คำพูดที่เขากล่าวออกมาย่อมเชื่อถือได้อย่างแน่นอน 

 

 

หลังจากเงียบไปสักพัก หวงฝู่ซวิ่นก็กล่าวว่า “มิใช่ว่าไม่มีวิธี แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับเจ้า” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าเหมือนได้เห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพและสีหน้าดีใจว่า “เชิญฮ่องเต้ตรัสเถิดขอรับ” 

 

 

“นอกเสียจากว่าเจ้าสามารถอยู่เมืองหลวงเป็นเวลานาน เรื่องแต่งงานของเจ้าและเมิ่งเอ๋อร์อาจสำเร็จได้” 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่าหายไปทันที เขาเป็นไท่จื่อของรัฐหมิง จะอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงของรัฐอู่เป็นเวลานานได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็แค่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว แต่หลังจากพูดออกมาแล้ว ตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หากเยียลี่ว์อาเป่าจะอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานาน จะต้องละทิ้งตำแหน่งไท่จื่อ ไม่มีชายใดโง่เขลาเยี่ยงนี้แน่นอน 

 

 

ไม่ได้วิธีจากหวงฝู่ซวิ่น เยียลี่ว์อาเป่าจึงขอตัวลาก่อน กลับโรงเตี๊ยม ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นอนพักอยู่บนเตียงที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาสองคืนติดต่อกัน เช้าของวันที่สาม ตัดสินใจ ลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ไม่ได้นำลูกน้องไปด้วย สั่งให้พวกเขารออยู่ที่โรงเตี๊ยม ส่วนตัวเองนั้นไปจวนอ๋องฉีเพียงผู้เดียว 

 

 

นายประตูจำเขาได้แล้ว จึงเดินออกมาแล้วกล่าวถามด้วยความเคารพว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ เหตุใดท่านจึงมาอีกเล่าขอรับ” 

 

 

ครั้งแรก ถูกตีไปหนึ่งรอบ ครั้งที่สองถูกปฏิเสธ ครั้งที่สามยังมาอีก ยืนหยัดจริงๆ นายประตูพึมพำในใจ แต่บนใบหน้ากลับแสดงรอยยิ้มออกมา 

 

 

“เจ้าช่วยไปรายงานท่านอ๋องฉีทีว่าข้ามีเรื่องอยากพบ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวด้วยท่าทางเกรงใจเป็นอย่างมาก 

 

 

นายประตูไม่กล้าชักช้า รับวิ่งเข้าไปรายงานทันที 

 

 

ช่วงนี้ท่านอ๋องฉีอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ได้ยินว่าเยียลี่ว์อาเป่ามาอีกครั้ง ก็โมโหขึ้นมาทันที ลุกขึ้นมาแล้วจะเดินออกไปทันที พระชายาฉีสายตาไวรีบจับตัวเขาไว้ทันที “ท่านอ๋อง ท่านใจเย็นก่อน เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด” 

 

 

อย่างน้อยเยียลี่ว์อาเป่าก็เป็นถึงไท่จื่อของรัฐหมิง หากท่านอ๋องฉีทำเยี่ยงนั้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หากพูดตามหลักแล้วไม่ถูกต้อง หากเรื่องนี้ไปถึงรัฐหมิง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ 

 

 

ท่านอ๋องฉีสะบัดแขนเสื้อ สะบัดมือพระชายาฉีออก แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาอยากสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

พระชายาฉีก้าวขายาวมาขวางหน้าเขาไว้ ยื่นมือสองข้างออกมาขวางทางเขาไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์เรายังถามความคิดของนาง แล้วของเมิ่งเอ๋อร์ เราก็ควรให้นางตัดสินใจเองหรือไม่” 

 

 

“นี่เจ้าพูดอะไร” ท่านอ๋องฉีตาโต ด้วยท่าทางที่ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองได้ยินอะไร 

 

 

พระชายาฉีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น แล้วมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าบอกว่า เรื่องนี้ต้องถามความคิดของเมิ่งเอ๋อร์”  

 

 

ท่านอ๋องฉีได้ยินชัดเจนแล้ว ก็โมโหขึ้นมาทันที แล้วตะคอกกลับไปว่า “สายตาของผู้หญิงนั้นสั้นนัก ไม่ต้องพูดอะไรอีก การแต่งงานนี้ข้าไม่ตกลง” 

 

 

เห็นว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ พระชายาฉีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ท่านอ๋อง ชายหนุ่มต้องแต่งภรรยา หญิงสาวต้องออกเรือน เป็นอย่างนี้มาแต่โบราณ แม้ว่าเมิ่งเอ๋อร์จะไม่แต่งกับไท่จื่อรัฐหมิงคนนี้ ก็ยังมีคนมาสู่ขอที่จวนอยู่ดี ท่านไม่สามารถให้นางอยู่ที่จวนไปตลอดชีวิตได้นะเพคะ” 

 

 

คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ท่านอ๋องฉีไม่ชอบฟังที่สุด และเป็นคำพูดที่รับไม่ได้มากที่สุด เขาประคบประหงมหลานสาวสองคนนี้ เลี้ยงดูจนเติบโต พริบตาเดียวก็จะเป็นของผู้อื่นแล้ว ทำให้เขาเสียใจทุกครั้งที่เขานึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงตะคอกใส่พระชายาฉีทันทีว่า “ข้าจะให้นางอยู่ที่จวนต่อไป เดี๋ยวข้าจะให้คนกระจายข่าว หากจะสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ หลังจากแต่งงานจะต้องอยู่ที่จวนอ๋องฉี”  

 

 

ฟังคำพูดที่จริงจังของเขาแล้ว พระชายาฉีก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือออกมากอดเอวเขาไว้ ดันตัวท่านอ๋องฉีให้ถอยหลัง ถอยไปจนถึงข้างเตียง จนไม่มีที่ถอยแล้ว ดันตัวเขาลงบนเตียง มองตาเขาแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋อง ข้าไม่เห็นด้วย หากท่านจะทำลายชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์เพราะความเห็นแก่ตัวของท่าน” 

 

 

คุณชายที่มีความสามารถ มาจากครอบครัวตระกูลใหญ่ ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะแต่งเข้าตระกูลฝั่งหญิงสาวแน่นอน หากท่านอ๋องฉีกระจายข่าวเยี่ยงนั้นจริงๆ ผู้ที่มาสู่ขอ จะต้องเป็นผู้ที่โลภในความมั่งคั่งแน่นอน ไม่มีผู้ใดจริงใจกับเมิ่งเอ๋อร์ นั่นเท่ากับว่าทำลายทั้งชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์ 

 

 

ท่านอ๋องฉีก็แค่โมโหจึงพูดเยี่ยงนั้นออกมา ข้อดีและข้อเสียนั้นเขารู้ดีมากกว่าพระชายาฉี ได้ยินดังนั้น จึงแค่นเสียงหึออกมาเบาๆ ไม่พูดจาอีก 

 

 

พระชายาฉีก็ยังไม่วางใจ จึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ปล่อยให้ข้ากับโยวเอ๋อร์จัดการ เดี๋ยวพวกข้าจะไปถามความคิดของเมิ่งเอ๋อร์ ส่วนท่านเชิญไท่จื่อเยียลี่ว์ไปที่ห้องโถงรับแขกได้หรือไม่” 

 

 

ท่านอ๋องฉียังคงไม่พูดจา 

 

 

พระชายาฉีถือว่าเขาตกลงแล้ว จึงหันหลังแล้วรีบเดินออกไปทันที เดินไปด้วยสั่งไปด้วยว่า “เจ้าไปเชิญไท่จื่อเยียลี่ว์ให้ไปที่ห้องโถงรับแขก เดี๋ยวท่านอ๋องฉีจะตามมา” 

 

 

นายประตูรับคำสั่ง หันหลังแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปทันที 

 

 

ท่านอ๋องฉีได้ยินเสียงเท้าของเขา จึงด่าในใจว่า เจ้าคนไม่ได้เรื่อง แล้วลุกขึ้นเดินไปห้องโถงรับแขกอย่างไม่เต็มใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงาน ก็มีความคิดเดียวกันกับพระชายาฉี ในขณะที่สั่งในคนไปเรียกหวงฝู่สือเมิ่งมา พระชายาฉีก็มาถึงพอดี ทั้งสองไม่ได้ปิดบัง บอกเรื่องที่เยียลี่ว์อาเป่ามาให้นางฟัง พระชายาฉีกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ แม้ว่านับแต่โบราณเรื่องแต่งงานจะเป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นคนดำเนินการ แต่ย่าและแม่ของเจ้าก็ยังอยากให้เจ้าตัดสินใจเอง ไท่จื่อเยียลี่ว์คนนั้นมาที่จวนครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ว่าเขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับเจ้าจริงๆ ไม่ว่าในใจของเจ้าจะคิดอย่างไร ก็สามารถบอกกับเราตรงๆ ได้” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวขอร้องออกมาว่า “ท่านย่า ข้าสามารถพบไท่จื่อเยียลี่ว์แล้วกล่าวอะไรบางอย่างกับเขาได้หรือไม่” 

 

 

“นี่…” 

 

 

ไม่คิดว่านางจะขอร้องออกมาเยี่ยงนี้ พระชายาฉีจึงเกิดความลังเลใจเล็กน้อย 

 

 

“เมิ่งเอ๋อร์แค่รู้สึกว่าคำพูดบางอย่างให้เมิ่งเอ๋อร์กล่าวกับเขาด้วยตัวเองจะดีกว่า ไม่เยี่ยงนั้นเขาก็จะมีความคิดแบบนี้ไปตลอด ไม่เพียงแต่จะเสียเวลาเขา จวนอ๋องฉีของเราก็ไม่มีทางสงบ” 

 

 

“เมิ่งเอ๋อร์ความหมายของเจ้าคือ? เจ้าไม่ถูกใจไท่จื่อรัฐหมิงคนนี้หรือ” 

 

 

“ท่านย่า เย่ว์เอ๋อร์แต่งออกเรือนไปไกล ท่าน ท่านปู่ ท่านพ่อและท่านแม่ต่างเสียใจกันมากแล้ว เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีความคิดเยี่ยงนั้น แล้วก็ไม่อยากแต่งออกเรือนไปไกล” 

 

 

พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าหวงฝู่สือเมิ่ง มองตานาง ยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ หากเจ้าปฏิเสธไปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเจ้าละทิ้งตำแหน่งฮองเฮาของรัฐหนึ่งที่หญิงสาวทุกคนบนโลกนี้ใฝ่ฝัน แม้ว่าแม่อยากจะให้เจ้าอยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าละทิ้งทุกอย่างเพื่อเรา” 

 

 

“ท่านแม่ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากไปจากพวกท่านจริงๆ ส่วนตำแหน่งฮองเฮานั้น เมิ่งเอ๋อร์ก็ไม่ชอบ เหมือนอย่างที่ท่านปู่กล่าว หากเมิ่งเอ๋อร์กลายเป็นฮองเฮาของรัฐจริงๆ จะต้องแย่งชิงความรักกับเหล่าสนมทั้งหลาย นั่นมิใช่สิ่งที่เมิ่งเอ๋อร์ต้องการ สิ่งที่เมิ่งเอ๋อร์ต้องการคือ รักแท้ รักเดียวตลอดชีวิต ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขเหมือนท่านและท่านพ่อเจ้าค่ะ”