“ศิษย์พี่หาน ข้าได้ยินท่านปู่บอกว่าท่านมีวิธีที่สามารถตัดกำลังผลจากเคล็ดวิชาลืมเลือน แต่ในช่วงระยะนี้น้องจำเป็นที่จะต้องอยู่เคียงข้างท่านถึงจะได้ผล เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” รอยิ้มบนใบหน้าของอิ๋นเย่ว์ค่อยๆ จางลง ทันใดนั้นจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งครึม

“ท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวบอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ? อื้ม ที่จริงหากเรื่องมันมาถึงขนาดนี้ ท่านอาวุโสท่านมีไสยลับจิตสัมผัส สามารถยับยั้งควบคุมเคล็ดวิชาลืมเลือนได้เพียงบางครั้ง ทำให้เจ้าอิ๋นเย่ว์สามารถที่จะบำเพ็ญตนต่อไปได้ แต่ว่าไสยลับนี้มีแค่ข้าเป็นผู้ฝึกฝนเท่านั้น ถึงจะสามารถมีผลกับเจ้า ดังนั้นต่อไปในช่วงระยะนี้ เจ้าจะต้องตามติดข้างกายศิษย์พี่เป็นช่วงเวลาหนึ่ง” หานลี่ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร กลับยิ้มเล็กน้อยและพูดอธิบาย

“ท่านปู่ข้ามีไสยลับเช่นนี้ด้วยหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินจากท่านมาก่อน! และทำไมถึงมีแค่ศิษย์พี่หานคนเดียวที่ฝึกฝน ถึงจะมีผลต่อข้า” คิ้วดำของอิ๋นเย่ว์ขมวดพร้อมถามขึ้น

“ถึงตอนนี้ ความจริงเจ้าก็น่าจะพอเดาได้ ก็เหมือนกับที่บรรพชนบอก ใครผูกคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ ในเมื่อจิตมารของเจ้าเกิดขึ้นเพราะข้าเป็นคนทำ หลังจากที่ข้าฝึกฝนแล้วมันจะมีประโยชน์กับเจ้าอย่างมาก เคล็ดวิชาจิตสัมผัสนี้ทำให้บรรพชนเสียเวลาไปนานหลายปี ก่อนที่จะสอนเคล็ดวิชาลืมเลือนนี้ให้กับเจ้า เป็นไสยลับที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เดิมทีมีเอาไว้เผื่อใช้งาน! หลังจากที่ข้าบำเพ็ญเพียร เจ้าแค่ต้องอยู่ข้างกายข้า ไสยลับนี้ก็จะสามารถซึมซับพลังงานความรัก ทำให้เกิดไม่อาจมีผลต่อจิตใจของเจ้า”

หลังจากที่หานลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือกพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“มันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ! เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาลืมเลือนต่อไป ผลกระทบต่อน้องก็จะยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น อาศัยเพียงไสยลับจิตสัมผัสเพียงอย่างเดียวสามารถควบคุมได้จริงอย่างนั้นหรือ?” อิ๋นเย่ว์ที่มีลักษณะท่าทางที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเองก็ยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนเลย ยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่ในเมื่อท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวพยายามที่จะสร้างมันขึ้นมา คิดไปคิดมาแล้วไม่น่าที่จะไม่เป็นความจริง และไสยลับจิตสัมผัสนี้ก็คงจะเหมือนกับกับเคล็ดวิชาลืมเลือน เมื่อการฝึกฝนที่ลึกขึ้น การควบคุมผลลัพธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

หานลี่คิดไปคิดมาก่อนที่จะตอบกลับไป

“เอาเถิด เช่นนั้นก็นับว่าไสยลับจิตสัมผัสได้ผลจริงๆ แต่น้องต้องอยู่ข้างกายของท่านนานเท่าใด? หนึ่งวันคงจะไม่มีทางหลุดพ้นจากเคล็ดวิชาลืมเลือน ศิษย์พี่หานจะพาข้าไปกับท่านแค่หนึ่งวันใช่หรือไม่?”

ดวงตาของอิ๋นเย่ว์ประกายสีแปลก และถามขึ้นอย่างเชื่องช้า

“อันนี้ก็ไม่แน่นอน ตามที่ท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกล่าว เพียงแค่เจ้าสามารถเข้าสูระดับมหายาน ก็สามารถหลุดพ้นจากการความคุมของเคล็ดวิชาลืมเลือนได้” หานลี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดอะไรมาก

“เมื่อเข้าสู่ระดับมหายาน นี่ก็อาจจะยากเกินคาดเดาไปหน่อย! ดูเหมือนว่าหลังจากนี้อิ๋นเย่ว์จะต้องติดตามไปกับศิษย์พี่หานอีกนาน” ดวงตาของอิ๋นเย่ว์เป็นประกาย มุมปากยกขึ้นพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“เจ้ามีร่างจันทราดาราทั้งเจ็ดอยู่ เมื่อเทียบกับนักพรตธรรมดาแล้วละก็ การเข้าสู่ระดับมหายานนั้นถือว่ามีโอกาสอยู่ไม่น้อย ไม่มีอะไรให้ต้องละเหี่ยใจ ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่เจ้าอยู่ในกระบวนการขั้นตอน ไม่แน่ข้า และท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวก็อาจจะหาวิธีการแก้ทางอื่นได้แล้วก็เป็นได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับมหายานถึงจะสามารถแก้เคล็ดวิชาลืมเลือนได้” หานลี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“ก็จริง แต่อย่างน้อยในหลายร้อยปีนี้ ข้าก็ได้ติดตามศิษย์พี่หานแล้ว!” อิ๋นเย่ว์ได้แต่ยิ้มหวานออกมา

เวลาต่อมา ทั้งสองคนก็ได้สนทนากันในเรื่องอื่นๆ อีกบางเรื่อง แม้แต่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝนเล็กน้อย

และเวลาก็ผ่านไปนานโดยที่ไม่รู้ตัว

“เอาล่ะ นี่เวลาก็ตะค่ำแล้ว เคล็ดวิชาลืมเลือนก็เริ่มจะกลับมากำเริบอีกครั้งแล้ว ขอน้องกลับไปนั่งทำสมาธิสงบๆ ก่อนเสียหน่อย ถ้าหากมีสิ่งใดที่น้องทำตัวไรมารยาทกับศิษย์พี่หานขณะที่ถูกเคล็ดวิชาลืมเลือนครอบงำอยู่ หวังว่าศิษย์พี่หานจะโปรดให้อภัย” อิ๋นเย่ว์หันหน้ามองสีท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ลุกขึ้น และเอ่ยคำร่ำลาออกมา

“นี่มันเป็นเรื่องปกติ ข้าจะเอามันมาใส่ใจได้อย่างไร” หานลี่ยิ้มเล็กน้อย และลุกขึ้นพูด

หลังจากที่อิ๋นเย่ว์จัดระเบียบเสื้อผ้าและทำความเคารพ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร และเดินออกจากห้อง

ประตูห้องพลันประกายแสงสีขาวขึ้น แล้วก็ปิดลงไปเองอย่างไร้เสียง

หานลี่นั่งลงขัดสมาธิใหม่อีกครั้ง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า และความรู้สึกครุ่นคิดที่แสดงออกมา

ขณะเดียวกัน อิ๋นเย่ว์ที่ออกมาจากห้อง ระหว่างเดินเลี้ยวมาไม่กี่โค้ง จากนั้นก็เดินมาถึงมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบ ทันใดนั้นฝีเท้าก็พลันหยุดลง และได้พูดขึ้นเบาๆ หนึ่งประโยค

 “เงาเขี้ยว ออกมาเถิด ข้ามีเรื่องที่จะถามเจ้า!”

ยังไม่ทันได้สิ้นเสียง ความว่างเปล่าใกล้ๆ ก็กระเพื่อมขึ้นพร้อมกัน เงาที่เหมือนกับจะโปร่งใสก็แวบออกมา ร่างก็ค่อยๆ รวมตัวกันอย่างชัดเจน ในที่สุดก็กลายเป็นร่างหญิงสาวรูปร่างอรชร ทั้งร่างสวมด้วยชุดคลุมสีดำรัดรูป

ใบหน้าหญิงสาวนี้สวมทับด้วยหน้ากากหมาป่าทองสัมฤทธิ์ มือทั้งสองข้างถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือสีดำ ผิวทั้งร่างของนางไม่ได้ถูกเผยออกมา เท้าทั้งคู่สูงจากพื้นเกือบหนึ่งจั้ง ลอยล่องอยู่ในอากาศว่างเปล่า

“คุณหนู มีสิ่งใดให้รับใช้เจ้าคะ?” หญิงสาวในหน้าใช้น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น

“เงาเขี้ยว ข้ารู้แล้วว่าวันนั้นตอนที่ท่านปู่กับศิษย์พี่หานคุยกันลับๆ เจ้าเองก็อยู่ในห้องโถง ตอนนั้นนอกเหนือจากเรื่องไสยลับจิตสัมผัส ท่านปู่ยังได้ขอร้องศิษย์พี่หานในเรื่องอื่นๆ อีกหรือไม่? อย่าปิดบังอะไรข้า” อิ๋นเย่ว์หัวไปจ้องหญิงสาวหน้ากาก ถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง

หลังจากที่หญิงสาวหน้ากากได้ยินเช่นนี้ สายตาก็วูบไหวเล็กน้อย ดูเหมือนจะยิ้มและเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อนายท่านเอ๋าเซี่ยวเปลี่ยนข้อตกลงของคุณหนู ข้าเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์เงาของคุณหนูคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังอยู่แล้ว วันนั้นนายท่านเอ๋าเซี่ยวเริ่มประเด็นนั้นไม่ใช่เรื่องไสยลับจิตสัมผัส

แต่เป็นเรื่องที่คิดจะให้คุณหนูนั้นตกแต่งเป็นภรรยาของสหายหาน นายท่านให้สัญญาว่าเพียงแค่สหายหานตอบตกลงเรื่องงานแต่งงาน ไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดประสบการณ์การเข้าสู่ระดับมหายาน แต่ยังจะทำตามสัญญานำของล้ำค่าที่เก็บสะสมกว่าครึ่งให้เป็นสินสอดทองหมั้น อย่างไรก็ตามสหายหานนั้นได้ปฏิเสธไปแล้ว ตอบรับแค่เพียงข้อหลังในเรื่องที่จะช่วยคุณหนูด้วยไสยลับจิตสัมผัส”

“ที่แท้ท่านปู่ก็ทำเช่นนี้เอง เขาอาจจะคิดว่าการแต่งงานของข้ากับศิษย์พี่หานจะเป็นตัวช่วย ความปรารถนาของข้าหลังจากนี้ สภาพจิตใจที่ปริแตกก็สามารถเติมเต็มด้วยตัวเองได้ไม่น้อย แต่ว่าครั้งนี้เขาคิดผิดแล้ว ด้วยนิสัยของศิษย์พี่หาน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบตกลง! ถ้าหากเขาตอบตอบลงเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ กลับเป็นข้าเองที่อาจจะผิดหวัง แต่หลังจากที่ท่านปู่ถูกปฏิเสธ สีหน้าก็คงจะไม่ดีเท่าไร”

อิ๋นเย่ว์เอ่ยเบาๆ

“สหายหานอาจไม่ใช่นักพรตระดับผสานอินทรีย์ทั่วไป หลังจากที่นายท่านเอ๋าเซี่ยวถูกปฏิเสธไป ถึงแม้ว่าในใจจะดูไม่มีความสุขนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความ” หญิงสวมหน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ

“แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่หานก็คืออยู่ระดับหลังท่านปู่และท่านอาวุโสมั่วเจี่ยนหลี ที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะเข้าสู่นักพรตระดับมหายาน เป็นความหวังที่ใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์และเผ่ามารทั้งสองเผ่าที่ปักหลักอยู่ในแดนวิญญาณ ถึงท่านปู่จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำเรื่องอะไรที่ไม่เอื้อผลต่อศิษย์พี่หานได้ เป็นเช่นนี้ก็ดี! เงาเขี้ยว เจ้าลงไปเถิด” หลังจากมึนงงอยู่ที่เดิมชั่วขณะที่อิ๋นเย่ว์ จึงได้เอ่ยสั่งขึ้น

“เช่นนั้นเงาเขี้ยวขอทูลลา” หลังจากที่หญิงสาวสวมหน้ากากโค้งคำนับ ร่างก็พลันเรือนลางหายไปในความความว่างเปล่า

และอิ๋นเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ที่เดิมสักพัก ก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือกและเดินจากไป

เคล็ดวิชาลืมเลือนก็ใกล้กำเริบขึ้น นางไม่กล้าที่จะเถลไถลอะไรในที่แห่งนี้จริงๆ

ในห้องลับ หานลี่ยังคงครุ่นคิดถึงสถานการณ์ความทรงจำที่ได้ปรึกษาหารือกันกับบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวอยู่

ในห้องโถงใหญ่การสนทนาลับ มหายานเผ่ามารท่านนี้ไม่เพียงแต่วางแผนให้เขาเต็มใจยอมแต่งงานกับอิ๋นเย่ว์เท่านั้น แต่ยังพูดมาก่อนเรื่องหนึ่งที่ทำให้หานลี่รู้สึกแปลกใจอย่างมากขึ้นมา

ในนามสามีคนเดิมของอิ๋นเย่ว์ ราชาหมาป่าเทียนขุยเผ่ามารท่านนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าปีกว่าก่อนสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งระหว่างเผ่ามารและเผ่าปีศาจ ถูกจอมมารจำนวนหนึ่งซุ่มโจมตีพร้อมกัน สุดท้ายก็ตกลงมาตายอย่างคาดไม่ถึง

เป็นเช่นนี้มา ในใจของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเดิมที่ยังมีความพะว้าวงอยู่ ก็หายไปหมดสิ้น เมื่อพบกับหานลี่ จึงได้ตรงเข้าประเด็นเรื่องแต่งงานของอิ่นเย่ว์เลย

หานลี่เองก็ได้ปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่สุภาพไปแล้ว

ความรู้สึกจริงๆ ในใจเขาที่มีต่ออิ๋นเย่ว์นั้น เป็นสี่ส่วนความรู้สึกเพื่อนสนิทต่างเพศ อีกสี่ส่วนที่เหลือคือความรู้สึกที่เหมือนกับพี่น้อง สุดท้ายเหลือเพียงสองส่วนเท่านั้นที่เป็นความรู้สึกเกี่ยวเนื่องความรักระหว่างชายหญิง

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงไม่สามารถตอบรับข้อเสนอเรื่องการแต่งงานกับบรรพชนเอ๋าเซี่ยวได้

แต่ในใจเขานั้นได้ตัดสินใจอย่างเงียบแล้ว ถ้าหากสุดท้ายไสยลับจิตสัมผัสบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ก็ไม่มีวิธีแก้เคล็ดวิชาลืมเลือนของอิ๋นเย่ว์ เขาก็สามารถหาหนทางวิธีการอื่นที่มาจะแก้ปัญหานี้ได้

เขาวางแผนไว้ในใจ แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตาทั้งสองข้างค่อยๆ ปิดลง แล้วนั่งฝึกฝนสมาธิอีกครั้ง

ก็เป็นเช่นนี้ ในวันต่อมา หานลี่ในห้องลับในเรือหอคอยก็เริ่มที่จะฝึกฝนไสยลับจิตสัมผัสที่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวให้มาแล้ว

ตามที่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกล่าวว่าไสยลับนี้ เขาเพียงต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ก็สามารถปล่อยกระจายคลื่นจิตความคิดบางอย่างควบคุมเคล็ดวิชาลืมเลือนได้เอง

แน่นอนว่าวิธีการแก้นี้สำหรับจิตวิญญาณของคนที่ฝึกฝนก็จะทวีคูณ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมีประโยชน์ เพียงแค่ไม่มีวิธีที่จะเอาพลังจิตเฉพาะที่เข้มแข็งและไสยลับมาเปรียบเทียบ

และหลังจากที่หานลี่ฝึกฝนน้อยลง ก็พบกับความแปลกใจจากปากบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวในการฝึกฝนที่ยากลำบากของวิธีแก้นี้ เขากลับรู้สึกสบายใจผิดปกติ การฝึกฝนขึ้นมาได้ก็มีความรู้สึกแปลกกับปัจจัยที่ทำให้บรรลุผล

หลังจากนั้นต่อมาเขาก็ได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบและก็เข้าใจ ว่าเกินกว่าครึ่งของเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาจิตของเขา

เหมือนกับการฝึกเคล็ดวิชาไสยลับในแดนเซียน เขาเคยฝึกฝนจนเก่งกาจแล้ว ไสยลับจิตสัมผัสอื่นๆ ทั่วไปนั้นเขารู้สึกว่ามันง่ายไปด้วยซ้ำ

ในระยะเวลาสั้นๆ สองเดือน เขาก็พาเคล็ดวิชาจิตผัสลับนี้เข้าสู่ระดับต้นของการฝึกฝน ก็ถึงจุดของเมืองเล็กๆ

ในระยะนี้ ตอนที่เคล็ดวิชาลืมเลือนของอิ๋นเย่ว์ไม่ได้กำเริบ ก็กลับมาหาเขาอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ได้มาหากันทั้งสองคนก็สนทนากันเป็นเวลานาน ได้ปลดปล่อยความสุขออกมาอย่างถึงที่สุด

เรือหอคอยจึงได้เดินทางกลับโดยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น หลังจากที่ผ่านไปครึ่งค่อนเดือน ในที่สุดก็เข้าไปถึงอาณาจักรวิญญาณเผ่าพฤกษาที่ควบคุมโดยทหารพันธมิตรของแต่ละเผ่า

เรือหอคอยที่ถูกควบคุมโดยบรรพชนเอ๋าเซี่ยว ที่ไม่เคยหยุดเลยแม้น้อย มุ่งตรงมายังที่ตั้งที่ทำการใหญ่ของทหารพันธมิตร ‘เมืองฉิมพลี’

ระหว่างการเดินทาง เรือหอคอยได้พบกับกองกำลังลาดตระเวนของแต่ละเผ่าอยู่จำนวนไม่น้อย แต่พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนจดจำยานลำนี้ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวได้อย่างชัดเจน ต่างก็พากันทำความเคารพมาแต่ไกล ไม่มีท่าทีที่จะเข้ามาสอบถาม หรือขัดขวางเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่บินล่องอยู่เช่นนี้สิบกว่าวัน พฤกษายักษ์สูงกว่าพันจั้งมากกว่าสิบต้นชูขึ้นฟ้า ปรากฏออกมาจากพื้นที่ห่างไกลอย่างกะทันหัน

พฤกษาขนาดใหญ่ยักษ์เหล่านี้ทุกต้นล้วนสูงกว่าห้าถึงหกพันจั้ง กว้างประมาณสามสี่จั้ง ทั้งร่างเป็นสีเขียวมรกต และมีชั้นแสงโปร่งใสแวววาวออกมาไม่หยุด

เนื่องจากพฤกษายักษ์เหล่านี้เป็นเสาเอก หนึ่งต้นก็เป็นกำแพงเมืองยักษ์ขนาดใหญ่สิบกว่าชั้น ถอนขึ้นมาจากพื้นอย่างกะทันหัน ทุกส่วนล้วนแต่ใช้ต้นไม้แต่ละชนิดสร้างวางซ้อนทับกัน ไม่มีร่องรอยของหินศิลา กระเบื้อง ดินเหนียวเลยแม้แต่น้อย

และความสูงของแต่ละชั้นของกำแพงเมืองไม้ จะมีภาพลักษณ์ของทหารผู้พิทักษ์แต่ละเผ่ามองเห็นได้อย่างเลือนราง

นี่คือ “เมืองฉิมพลี” ค่ายกองทัพของทหารพันธมิตรแต่ละเผ่า แล้วก็เป็นคูเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเผ่าพฤกษาในอดีตด้วย