ตอนที่ 2147 มั่วเจี่ยนหลี

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เรือยักษ์สีเงินที่จะเข้ามาเมืองใหญ่ในระยะร้อยลี้ ก็ถูกทหารผู้พิทักษ์หัวเมืองพบเข้า

หลังจากเกิดความวุ่นวายบนกำแพงเมือง ไม่นานกลุ่มนักพรตเผ่าปีศาจก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ปะทะกับเรือหอคอยบินหนีขึ้นมา

“ขอต้อนรับบรรพชนอาวุโสกลับคืนสู่เมือง!”

พวกเผ่าปีศาจเหล่านี้แต่ละคนก็สวมชุดเกราะสงครามแต่ละสี ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นจินต้านหยวนอิงโดยประมาณ ในตอนที่ระยะห่างเรือหอคอยยังห่างออกไปหลายลี้ ในตอนที่ระยะห่างเรือหอคอยยังห่างออกไปหลายลี้ ก็พลันหยุดลงทีละคนจนหมด และเข้าคารวะอย่างมีมารยาทด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด

แท้จริงแล้วพวกคนเผ่ามารเหล่านี้ ล้วนแต่มีความคุ้นเคยกับบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวบนเรือหอคอยอยู่แล้ว ถึงได้แสดงออกมาเช่นนี้

“ลุกขึ้นมาเถิด ผู้อาวุโสจักต้องกลับไปที่ถ้ำพำนักเสียก่อน พวกท่านไปทำธุระเรื่องของตนเองต่อเถิด” เสียงบรพพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวส่งออกมาจากเรือหอคอยเบาๆ เต็มไปด้วยพลังที่ทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทานได้

“ขอรับ น้อมรับคำสั่งจากท่าบรรพชนอาวุโส!”

นับเป็นเวลาหลายหมื่นปีที่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ถูกเผ่าปีศาจให้ความเคารพราวกับเป็นพระเจ้ามานาน เผ่าปีศาจที่คุกเข่าก้มกราบเหล่านี้ ไม่ได้มีการต่อต้านหรือฝืนเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเผ่าปีศาจทั้งหมดก็แยกกันออกไปทั้งสองข้างทางซ้ายขวา หลังจากที่เรือหอคอยสีเงินดังหวืดขึ้น ก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเงินพุ่งยิงเข้าไปในเมืองฉิมพลี

ผ่านไปครู่หนึ่ง เกิดประกายม่านแสงแต่ละชนิดขึ้นในอากาศว่างเปล่าข้างหน้า แต่ละชั้นถูกห้ามให้ถอยหลบไปเอง เรือหอคอยก็บินตรงเข้าไปในชั้นบนสุดของเมืองใหญ่ และค่อยๆ ตกลงจากอากาศมายังกลางจัตุรัสที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดอย่างช้าๆ เกือบจะในเวลาเดียวกันมุมของจัตุรัสก็มีแสงสะท้อนวูบไหวส่งออกมา ทันใดนั้นชายชราผมสีขาวก็พลันปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ หลังจากสายตาที่กวาดมองไปบนเรือหอคอยที่เพิ่งตกลงมาทันทีก็ค่อยๆ ยิ้มและเดินผ่านเข้าไป

ใบหน้าชายชราผู้นี้ดูมีเมตตาและอัธยาศัยดี ใบหูทั้งสองข้างยาวเกือบถึงบ่าไหล่ ถึงแม้อาจจะดูเหมือนว่าจะค่อยๆ ย่างก้าว หลังจากเกิดการสั่นไหวไปไม่กี่ครั้ง ไม่นานเพียงแค่ก้าวห่างไปไม่กี่จั้ง ก็ปรากฏขึ้นยังบริเวณใกล้กับเรือหอคอยแล้ว

ใกล้กันกับทหารผู้พิทักษ์แต่ละเผ่าเหล่านั้นที่เตือนให้ระวัง นี้ถึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นมา ต่างทยอยก้มหน้าโค้งตัว เพื่อแสดงความเคารพต่อชายชราผมขาว

“เฮ้อๆ เอ๋าเซี่ยว ในที่สุดท่านตัดสินใจยอมกลับมา ระยะเวลาที่ท่านไปนั้นก็นานนัก หากไม่เห็นกลับมาละก็ ผู้อาวุโสอาจจะสงสัยว่าท่านนั้นได้ทิ้งกระดูกไว้ที่แดนมารทางนั้นไปแล้ว” ชายชราผมสีขาวหยุดฝีเท้าลง หัวเราะอย่างเบิกบานพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ฮึ มารเด็กๆ เพียงเล็กน้อยพวกนี้ยังจะสามารถทำอะไรข้าได้จริงๆ แต่ถ้าข้าไม่กลับมาจริงๆ ล่ะ ท่านปีศาจอาวุโสมั่ว ท่านจะต้องโกรธจนกระทืบเท้าดุด่าแล้ว” หลังจากเสียงเย็นดังขึ้น คำตอบที่เยือกเย็นของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวบนเรือหอคอยก็ส่งออกมา

จากนั้นเรือหอคอยทั้งลำก็ส่องแสงสีเงินออกมาและกดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่แสงทั้งหมดหยุดลง เรือหอคอยก็พลันหายไป ก็ปรากฏร่างของนักพรตหลายคนออกมาแทน

ผู้นำคนแรกมีใบหน้าที่หล่อเหลา สีหน้าที่เย็นชา ผู้นี้ก็คือบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว

ชายสองคนแลหญิงสองคนด้านหลังร่างของเขาไปนั้น ก็คือหานลี่ อิ๋นเย่ว์ และคนอื่นๆ

ชายชราผมขาวที่พอเห็นคนมากมายปรากฏออกมาต่อหน้าเช่นนี้ ในใจรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ใบหน้าไม่เผยความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย กลับยิ้มให้เอ๋าเซี่ยวและเอ่ยขึ้น

 “ศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยว แต่ว่าพวกเราเผ่าปีศาจเผ่ามนุษย์ทั้งสอง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแต่ไหนแต่ไรมา สถานการณ์เช่นตอนนี้ อยากจะดึงท่านบรรพชนอาวุโสเผ่าปีศาจผู้นี้มาเป็นผู้บัญชาการจริงๆ”

 “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าเป็นคำพูดที่มาจากใจจริง แต่ว่าท่านวางใจเถิด แม้ว่าอายุขัยของข้านั้นไม่ได้เยอะมาก แต่ก็คงจะไม่แปรสภาพลงเร็วขนาดนั้นหรอก อย่างแรกต้องประคับประคองการปล้นมารครั้งนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน นามของเขาท่านไม่มีทางไม่รู้จักแน่ อาจเป็นเป็นผู้อาวุโสของพวกท่านเผ่ามนุษย์”

หลังจากบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวตอบกลับเบาๆ ไปสองประโยค ก็ผายมือไปยังหานลี่

 “ชื่อเสียงความสำเร็จของของท่านอาวุโสมั่วเจี่ยนหลี ชนรุ่นหลังได้ยินดังก้องหู ชนรุ่นหลังหานลี่ ขอคารวะท่านอาวุโส!” ในพริบตาหานลี่ได้เดินออกมา ใบหน้าแสดงถึงความเคารพนับถือออกมาจากใจ ค่อยๆ ทำความเคารพ

ถึงแม้ว่าบรรพชนเอาเซี่ยวไม่ได้กล่าวถึงชีวิตของชายชราผมขาว แต่ผู้ที่บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับมหายานของตระกูลมั่วแห่งเผ่ามนุษย์ ก็มีเพียงแค่มั่วเจี่ยนหลีท่านนั้น

“หานลี่ เป็นไปได้ว่าพันกว่าปีนั้นพวกเราเผ่ามนุษย์ได้เข้าสู่ระดับนักพรตผสานอินทรีย์ ได้ยินมาว่าท่านและพวกเด็กๆ ตระกูลหล่งได้เข้าไปในแดนมาร ตอนนี้ก็มาปรากฏตัวที่นี่ เป็นไปได้ว่าเพิ่งอาจจะกลับมาจากแดนมาร”

มั่วเจี่ยนหลีที่พอได้ฟังหานลี่เอ่ย ในตอนแรกก็ตกใจแต่ใบหน้าก็เผยแสดงความดีใจออกมาและเอ่ยขึ้นทันที ประโยคที่พูดถึงสถานที่ระหว่างการเดินทางปีก่อนนั้นของหานลี่ไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามหายานเผ่ามนุษย์ท่านนี้ ก็สนใจดาวเด่นแห่งเผ่ามนุษย์ท่านนี้ตั้งนานแล้ว

ในใจหานลี่มึนงง แล้วจึงรีบตอบกลับด้วยสีหน้าฝืนยิ้ม

“ท่านอาวุโสมั่วช่างมีสายตาที่เฉียบคมดั่งเปลวเพลิงเสียจริง ชนรุ่นหลังเพิ่งจะกลับมาจากแดนมารนั้นเป็นความจริง ตอนนี้ถึงได้มาโผล่ที่แดนพฤกษา และประจวบเหมาะกับได้บังเอิญพบกับบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว”

 “ฮ่าๆ สามารถเข้าไปในแดนมารสถานที่เช่นนั้นได้นานหลายปีเช่นนี้ ซ้ำยังสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นความสามารถสวรรค์ประทานที่คู่ควร ซึ่งหาเจอได้ยากในพวกเราเผ่ามนุษย์จริงๆ” มั่วเจี่ยนหลีหัวเราะไป ปากก็เอ่ยชื่นชนขึ้นมา

 “ท่านปีศาจอาวุโสมั่ว ตอนนี้ท่านดีใจขนาดนี้! ท่านมองดูด้านข้างของสหายท่านนี้ว่าเป็นใคร?” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกลับบุ้ยปาก และเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค

 “ท่านข้างๆ นี้…เอ๋ กลิ่นอายเหมือนจะมีความคุ้นเคยอยู่ เหมือนเคยพบที่ไหนสักที่” มั่วเจี่ยนหลีกวาดสายตามองไปยังร่างของนักพรตเซี่ย ใบหน้าแสดงความแปลกใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เฮ้ๆ ท่านปีศาจอาวุโสมั่วท่านลองดูให้ละเอียดอีกที” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกลับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

“อ๋อ ศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยวพูดเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีความหมายที่ลึกซึ้ง แปลกแท้ในเมื่อไม่ใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อ…เจ้าคือปูศักดิ์สิทธิ์ในแดนมารตัวนั้น!” มั่วเจี่ยนหลีได้ยินบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเอ่ยเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกทึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นนัยน์ตาก็พลันปรากฏแสงสีทองแวบขึ้น แต่เวลาถัดมาสักพักก็ลมหายใจเข้าลึกๆ จนเสียงหายไป

 “ข้าจำเจ้าได้ หมื่นกว่าปีก่อน เจ้าและคนของแดนวิญญาณสองสามคนก็เคยมาที่ทะเลกำเนิดมาร เข้ามาในเกาะวิญญาณขมขื่น แต่ไม่ไม่เคยได้สวมใส่สายฟ้าแห่งท้องทะเลต้องห้าม และได้รับบาดเจ็บจนต้องถอยออกไป” นักพรตปูเอ่ยขึ้นทันทีด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แล้วก็ยังจำมั่วเจี่ยนหลีได้

 “ที่แท้ก็คือศิษย์พี่เซี่ยนี่เอง สหายแปลงกายเป็นมนุษย์และออกมาจากทะเลกำเนิดมารได้อย่างไรกัน แล้วยังการบำเพ็ญตนกับระดับที่ลดลงจนถึงระดับผสานอินทรีย์!” มั่วเจี่ยนหลีที่ได้ยิน สีหน้าเขินอายปรากฏขึ้นในตอนแรก แต่เขานั้นแทบจะไม่สนใจเอ่ยถามคำถามอื่นทันที

 “ท่านปีศาจอาวุโสมั่ว ท่านไม่รู้อะไร สหายหานถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น และได้ทำข้อสัญญากัน จะต้องติดตามเขาไปเป็นช่วงเวลาหนึ่ง” สายตาบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเป็นประกาย ชิงเอ่ยความหมายลึกซึ้งตัดหน้าก่อน

 “มีเช่นเรื่องนี้ หาน…สหายหาน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ” มั่วเจี่ยนหลียิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้เผลอเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับผู้ที่มีศักดิ์เสมอกัน น้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 “แม้ว่าจะมีสาเหตุอื่นในนั้น แต่ความจริงเรื่องนี้ ระดับการบำเพ็ญตนของนักพรตเซี่ยลดลง เพียงแค่เพราะว่าได้แสดงฝีมือที่พิเศษไปหน้าก่อน แค่ต้องผ่านช่วงนี้ไปสักพักถึงจะกลับคืนมาเป็นดั่งเช่นปกติ” หานลี่ยิ้มและเอ่ยขึ้น และยังคงรักษาความถ่อมตัวไว้

 “ดี ดี สหายเซี่ยไม่รู้ว่ารออยู่ในแดนมารมานานกี่หมื่นปีแล้ว แต่ละดินแดนไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งอยู่มากน้อยเพียงใด และก็เคยคิดที่จะให้เขานั้นไปช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่าเหล่าอาวุโสระดับมหายานจะไม่ประสบความสำเร็จ เป็นสหายหานที่ทำสำเร็จ ดูเหมือนว่าพวกเราเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจหลังจากนี้จะมีคนสืบทอดต่อแล้ว” พอได้ฟังหานลี่ยอมรับเรื่องนี้มั่วเจี่ยนลี่ก็ดีใจขึ้นมา

 “ปีศาจอาวุโสมั่ว หากท่านได้ยินอีกเรื่องหนึ่ง เกรงว่าจะยิ่งดีใจจนลืมตัวเลยล่ะ แต่ว่าที่นี่  ไม่ใช่สถานที่ที่จะสนทนากัน ไว้ไปที่พักของเจ้าก่อนค่อยพูดคุยกันเถิด” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวในตอนนี้ที่กรอกตาพร้อมกับเอ่ยขึ้น

 “ยังมีข่าวดีเรื่องอื่นอีกหรือ ผู้อาวุโสอยากฟังแล้วจริงๆ ไปเถิด ที่พำนักชั่วคราวของผู้อาวุโสยังมี สุราใบเซียน จากคนเผ่าพฤกษาอยู่สองไห กำลังอยากให้ทุกท่านได้ลองลิ้มรสอยู่พอดี” สายตาทั้งคู่ของมั่วเจี่ยนหลีประกายขึ้น  เอ่ยขึ้นอย่างไม่ไตร่ตรอง

ไม่มีความคิดเห็นจากหานลี่และคนอื่นๆ  ทันทีที่กลุ่มคนขึ้นไปบนจัตุรัส สักพักก็ใช้วิชาหายตัวออกไป

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ห้องโถงใหญ่หลังหนึ่งสีม่วงทั้งหลังที่วิญญาณพฤกษาสร้างขึ้นมา มั่วเจี่ยนหลีนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว หานลี่ และนักพรตเซี่ยนั่งอยู่ด้านข้าง

อิ๋นเย่ว์และจูกั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่สองคนเท่านั้น สีหน้าอีกคนหนึ่งที่กลับคืนมาเฉยดังเดิม และอีกคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้หานลี่ที่ในมือกำลังนำแก้วสุราวิญญาณเข้มข้นเหมือนกับทะเลสาบจิบเข้าไป

ทันทีที่สุรานี้เข้าสู่ลำคอ ทันใดก็กลายเป็นดั่งพลังงานบริสุทธิ์กระจายไปทั่วร่างกายแขนขาทุกส่วน ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น รู้สึกสบายไปทั้งร่างจนหาที่เปรียบไม่ได้

 “สุราชั้นดี!” ใบหน้าของหานลี่แสดงความแปลกใจแวบขึ้นมา ปากก็เอ่ยประโยคชื่นชมไม่หยุด

 “สุราใบเซียนนี้กลั่นมาจากของเหลวรินไหลจากพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพฤกษา รวมทั้งหมดของเผ่าพฤกษา ร้อยปีก็กลั่นได้ไม่เกินหนึ่งร้อยไห ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะต้องการเลี้ยงแขกจากแดนไกลอย่างสหายหานและศิษย์พี่เซี่ย นั้นยังรู้สึกเสียดายที่จะหยิบมันออกมา” หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีดื่มสุราวิญญาณในมือเข้าไป อมยิ้มเอ่ยขึ้น

“น่าเสียดาย ที่พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ของเผ่าพฤกษา เดิมนั้นปลูกไว้ในสถานที่ต้องห้ามของเผ่าพฤกษา แต่ต่อมาเมื่อเผ่ามารเข้ามาบุกรุกสถานที่ต้องห้ามก็ต้องถูกบังคับให้สละไป ทำได้เพียงนำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ย้ายมาปลูกไว้ในเมืองฉิมพลี ให้พลังในตัวของมันไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ อธิบายขึ้นอย่างเบาๆ

 “ไม่เพียงแต่เท่านี้ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าพฤกษาทุกวันนี้ก็กำลังจำศีลพักฟื้นอยู่ในพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหวังว่าจะช่วยเหลือพลังวิญญาณของพฤกษาต้นนี้ ให้กลับคืนสู่ระดับมหายานใหม่อีกครั้ง แต่ตามที่ผู้อาวุโสมอง เรื่องนี้ค่อนข้างยากถึงแม้จะมีความหวังก็ไม่แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องหลังจากนี้กี่ปีไม่มีวิธีที่พวกเราจะออกพลังที่มหาศาลสู้กับเผ่ามารได้” หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีถอนหายใจหนึ่งเฮือกก็เอ่ยขึ้นอย่างเบาๆ

 “เผ่าพฤกษาในตอนนี้ สูงสุดของพลังการต่อสู้ทั้งหมดก็เสียหายไปมากตอนที่ต่อสู้กับเผ่ามาร ด้วยความช่วยเหลือของเผ่าพวกเรา ถึงจะสามารถฝืนประคับประคองสถานการณ์ตอนนี้ไปได้ บางทีก็ไม่สามารถคาดหวังกับพวกเขามากเกินไป” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวยิ้มพร้อมเอ่ยเสียงเย็นขึ้น

 “ตอนนี้ที่เผ่าพฤกษากลายเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้จะยังสามารถเป็นอิสระในแดนวิญญาณได้อีกอยู่หรือไม่ ล้วนไม่ใช่เรื่องดีที่จะพูดอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเรื่องหลังจากที่เผ่ามารล่าถอยออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว สหายเอ๋าเซี่ยว ข่าวดีอีกเรื่องที่ท่านพูดถึง แท้จริงแล้วมันคือเรื่องอะไร ท่านพูดมาเถิด!” หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีถอนหานใจพูดก็เปลี่ยนหัวข้อถามขึ้น

 “เฮ้ๆ ในเมื่อมาถึงที่พำนักของท่านแล้ว คิดไปแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาแอบดู ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว ปีศาจอาวุโสมั่วท่านอาจจะรู้จักสหายหานตอนที่อยู่แดนมาร เข้าไปในบ่อชำระวิญญาณ และครอบครองบัววิญญาณพิสุทธิ์ ทำเรื่องที่ท่านกับข้าในตอนนั้นทำไม่ได้!” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่สายตาเป็นประกาย ก็พลันเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

 “อะไรกัน มีเรื่องเช่นนี้!” ชายชราผมขาวที่เดิมทีนั่งอย่างปลอดภัยอยู่บนเก้าอี้ พอได้ยิน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป

“ตึง” ไม่นานก็ลุกขึ้นมา