บทที่ 668 แขกผู้มีเกียรติ

The king of War

หยางซงส่ายหัว “ตระกูลเฉินเป็นแค่ตระกูลเล็กๆที่มาจากต่างถิ่น หลายเดือนมานี้โลดแล่นอยู่ในประเทศเราสุดๆ ไปทั่วทุกอุตสาหกรรม เริ่มสร้างรากฐานในเยี่ยนตูตั้งแต่หลายเดือนก่อน”

“เพียงแต่ทำอะไรกันเงียบเชียบมาตลอด ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นหรอก ทว่าเมื่อคืนนี้ได้ข่าวว่าตระกูลไช่มีเรื่องกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง”

“วันนี้ ธุรกิจทุกอย่างของตระกูลไช่จึงมีตระกูลเฉินเป็นผู้ดูแล”

“มีแต่คนบอกว่าที่จริงตระกูลเฉินเป็นเพียงตระกูลรับจ้าง เบื้องหลังพวกเขามีคนใหญ่คนโตอีกคน แม้แต่แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูก็ไม่กล้ามีเรื่องด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหยางซง ทุกคนตะลึงกันหมด

“ฉันเคยได้ยินเรื่องของตระกูลไช่อยู่บ้าง ได้ข่าวว่านอกจากแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูแล้ว ก็มีตระกูลไช่นี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุดในเยี่ยนตู แม้แต่แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูยังไม่กล้าแหยมกับตระกูลไช่”

“คิดไม่ถึงว่าภายในค่ำคืนเดียว ธุรกิจตระกูลไช่ก็เปลี่ยนเจ้าของแล้ว ดูท่าคนที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ”

โม่ตงซวี่พยักหน้าพลางเอ่ย

“เพราะฉะนั้น วันนี้ต้องขอให้ตงซวี่และอาซ้อลดตัวลงเล็กน้อยด้วยการอยู่ที่นี่ เราอย่ามีเรื่องกันจะดีกว่า” หยางซงกล่าว

และในตอนนั้นเอง จู่ๆประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา

ตรงหน้าอกของชายวัยกลางคนมีป้ายบอกตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป

“คุณหยาง ห้องราชาถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านและแขกผู้มีเกียรติทุกท่านย้ายไปที่ห้องราชาตอนนี้ได้เลยครับ ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าคุณหยางพาเพื่อนมาด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

ผู้จัดการทั่วไปท่าทางอ่อนน้อมและพูดโดยหันไปทางหยางเฉิน

วินาทีที่ผู้จัดการทั่วไปของเย่ชั่งมองหยางเฉิน ทุกคนอึ้งกันหมด

เมื่อกี้หยางซงเพิ่งบอกว่า ห้องราชาเก็บไว้ให้แขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเย่ชั่ง แต่ตอนนี้ผู้จัดการทั่วไปของที่นี่กลับเชิญพวกเขาไปที่ห้องราชา

หยางเฉินเป็นแค่คนจนๆไม่ใช่เหรอ

ทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเย่ชั่งล่ะ

หยางเฉินอดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อกี้ตอนที่สาวสวยรับแขกหน้าประตูบอกเขาว่าเตรียมห้องราชาไว้แล้ว เขาได้แสดงเจตจำนงค์ชัดเจนแล้วว่าตัวเองมากับเพื่อน

ในขณะที่ทุกคนอึ้งกันหมด ทันใดนั้นหยางซงก็เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง “ผู้จัดการหวัง ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้เลย”

ผู้จัดการหวังมองหยางซงด้วยท่าทีงงงวย แต่พอนึกได้ว่าหยางซงเป็นเพื่อนของหยางเฉิน เขาทำได้แค่ยิ้มรับ “เช่นนั้นขอเชิญทุกท่านตามผมไปที่ห้องราชาตอนนี้เลยนะครับ”

“ได้สิ นำทางไปเลย”

หยางซงพูดพลางหัวเราะลั่น

ทุกคนอยู่ในสภาพงงงวยและตามผู้จัดการหวังไปที่ห้องราชา เพิ่งเข้ามาในห้อง แต่ละคนต่างตะลึงกับการตกแต่งภายใน

ภายในห้องส่วนตัวอันกว้างขวาง กำแพงรอบๆประดับประดาด้วยภาพวาดจริงของศิลปินเลื่องชื่อ การตกแต่งหรูหราสุดๆ แม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องส่วนตัวยังเป็นไม้ฟีบี้เจิ้งแนน

“ลาฟิเต้ปีแปดสองขวดนี้ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้านะครับคุณหยาง”

“ผู้จัดการหวังสั่งให้เด็กนำลาฟิเต้มาให้สองขวด ก่อนจะถอยออกไปด้วยท่าทีระมัดระวัง”

“หยางซง นายกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเย่ชั่งตั้งแต่เมื่อไหร่”

ซางเสี่ยวเซียอีกด้านพลันถามขึ้นด้วยหน้าตาตะลึง

“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าหยางซงต่างหากคือคนที่ซ่อนเขี้ยวเล็บได้เนียนที่สุด” หวางหวนก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ

จริงๆแล้วหยางซงงงมาก จนบัดนี้เขายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าคนใหญ่คนโตเบื้องหลังตระกูลเฉินสนิทกับพวกเขาตระกูลหยางมาก?

แต่ในห้องส่วนตัวนี้มีเขาคนเดียวที่แซ่หยาง เมื่อกี้ผู้จัดการหวังของเย่ชั่งเรียกเขาว่าคุณหยางด้วย ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลหยางอย่างแน่นอน

ส่วนหยางเฉินโดนเขาเมินไปนานแล้ว คนอื่นๆก็ไม่คิดว่าคุณหยางที่ผู้จัดการหวังพูดถึงคือหยางเฉิน

แม้แต่โม่ตงซวี่ยังเข้าใจว่าตระกูลหยางคบค้ากับคนใหญ่คนโต จึงพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง “หยางซง นายนี่พรางตัวซะเนียนเลยนะ ทีแรกฉันว่าจะเป็นคนเลี้ยงพวกนาย ตอนนี้ดูท่าไม่เหลือโอกาสเสียเงินแล้วสินะ”

“ฮ่าๆๆ……”

หยางซงหัวเราะลั่นออกมาทันที “เมื่อวานพ่อฉันเพิ่งบอกฉันว่าเขามีเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมากกำลังจะมาทำธุรกิจที่เยี่ยนตู และบอกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่มีภูมิหลังสุดเจ๋งอีกด้วย ทีแรกฉันนึกว่าพ่อฉันคุยโว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง”

“คนใหญ่คนโตที่สนิทกับพ่อฉันคนนี้เป็นคนที่รับช่วงธุรกิจทั้งหมดของตระกูลไช่มาด้วย”

“รู้อย่างนี้ตอนฉันเพิ่งมาคงบอกพวกเขาไปแล้วว่าฉันเป็นคนตระกูลหยาง”

หยางซงหัวเราะลั่นอย่างได้ใจพร้อมกล่าว และคิดจากใจจริงว่าเป็นพ่อตัวเองที่สนิทกับคนใหญ่คนโตเบื้องหลังเย่ชั่ง มิฉะนั้นทำไมถึงเก็บห้องราชาไว้ให้พวกเขาล่ะ”

“แซ่หยางเหมือนกันแท้ๆ ทำไมถึงต่างกันมากขนาดนี้นะ”

จู่ๆซางเสี่ยวเซียก็พูดกระแนะกระแหนขึ้นมา

หวางหวนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ช่วยไม่ได้นี่ คนบางคนเกรงว่าคงจะไม่เคยมาห้องส่วนตัวระดับสูงอย่างห้องราชามาก่อนสินะ”

“ห้องส่วนตัวหรูหราขนาดนี้ไม่ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์เข้ามาหรอกนะ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเสี่ยวหย่าคนบางคนคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้ามาในเย่ชั่งด้วยซ้ำ”

หยางซงก็หัวเราะเย็นๆพร้อมกล่าว พูดจบยังหันไปมองหยางเฉินและพูดอย่างสื่อความนัย “หยางเฉิน ฉันพูดไม่ผิดใช่มั้ย”

หยางเฉินก็ไม่คิดมาก คนระดับเล็กๆแบบนี้ถ้าต้องถือสาทั้งหมดเขาได้เหนื่อยตายพอดี

วันนี้เขามาเป็นเพื่อนซ่งหวาหย่า คนอื่นๆเป็นอากาศสำหรับเขาไปนานแล้ว

“พอได้แล้ว พวกนายเลิกพูดสักที”

เวลานี้เฉินซิงหรูออกมาเกลี้ยกล่อม

เธอมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับซ่งหวาหย่า และเห็นความโมโหที่ฉายอยู่บนใบหน้าของซ่งหวาหย่าแล้ว ถึงได้รีบปริปาก

คนอื่นๆก็เห็นแล้วว่าซ่งหวาหย่าสีหน้าไม่สู้ดี จึงเลิกแดกดันหยางเฉิน

“เอาล่ะ เราเลิกพูดถึงคนอื่นกันเถอะ มาพูดถึงตงซวี่ดีกว่า”

เฉินซิงหรูกล่าวยิ้มๆ

“สมัยเรียนฉันก็รู้แล้วว่าสามสิบกว่าคนในห้องเรา มีตงซวี่นี่แหละมีอนาคตที่สุด หลายปีผ่านไปเป็นแบบนี้จริงๆ”

ซางเสี่ยวเซียออกความคิดเห็นเป็นคนแรก

หวางหวนรีบพูดต่อ “ใช่แล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าตงซวี่จะยอดเยี่ยมขนาดนี้ฉันลงมือล่วงหน้าไปแล้ว”

“ต่อให้เธอลงมือล่วงหน้าตงซวี่ก็ไม่ชอบเธอหรอก ฮ่าๆ” หยางซงพูดพร้อมหัวเราะ

หวางหวนกลอกตามองบนก่อนจะหันไปมองซุนเหม่ยจวน และเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่คู่ควรกับตงซวี่ มีแต่ผู้หญิงอย่างซ้อเหม่ยจวนนี่แหละที่เป็นบุพเพสันนิวาสของตงซวี่”

“ใช่แล้ว ซ้อเหม่ยจวนและตงซวี่เป็นกิ่งทองใบหยก เรียกได้ว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันที่สุดในใต้หล้านี้” ซางเสี่ยวเซียรีบกล่าว

“เอาเถอะ พวกคุณเลิกชมพวกเราได้แล้ว ชมอีกฉันได้ตัวลอยแน่”

ซุนเหม่ยจวนหัวเราะพลางกล่าว ทว่าบนใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มได้ใน เธอยกแก้วขึ้นก่อนคนแรก “มาเถอะ ฉันและตงซวี่ขอดื่มให้ทุกท่าน”

“ฮ่าๆ….”

ภายในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

ส่วนหยางเฉินและซ่งหวาหย่าดูจะถูกเมินเสียแล้ว

ซ่งหวาหย่ามีสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นโม่ตงซวี่และซุนเหม่ยจวนรักกันชื่นมื่นเธอก็ยิ่งทรมานใจ

หยางเฉินลอบถอนหายใจ ดูท่าถ้าอยากให้ผู้หญิงคนนี้ปล่อยวางคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างโม่ตงซวี่ต้องใช้วิธีพิเศษ

“ที่จริง ถ้าจะให้พูด คนที่ฉันต้องขอบคุณที่สุดคือซ่งหวาหย่า”

ทันใดนั้นซุนเหม่ยจวนก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ได้ฟังดังนั้น ทุกคนต่างงงงวยกันหมด

ถึงยังไงวันนี้ก็เป็นวันแรกที่ซุนเหม่ยจวนและซ่งหวาหย่าสองคนได้พบหน้ากัน

แม้แต่ซ่งหวาหย่ายังมีสีหน้าฉงน มองซุนเหม่ยจวนด้วยสีหน้าสงสัย