ตอนที่ 1468 ลุกไหม้ โดย Ink Stone_Fantasy
กู๊ดกำคันบังคับแน่น สายตาจ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่กะพริบ
เวลาเหมือนเดินช้าลง
ตอนแรกเขายังได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์อยู่ แต่ไม่นานเสียงนั้นก็ถูกเสียงหัวใจที่เต้นรัวเข้ามาแทนที่ ทว่าผ่านไปอีกไม่นาน กระทั่งเสียงใจเต้นก็ไม่มีอยู่อีก โลกที่อยู่รอบข้างสงบเงียบขึ้นมา
ระเบิดค่อยๆ ลอยห่างฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นไปเรื่อยๆ ส่วนรอยแตกที่อยู่บนยอดหอคอยเองก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเต็มเบื้องหน้าของเขา ในเวลานี้มีปีศาจจำนวนมากที่สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในเวลาที่เหมือนหยุดนิ่ง กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายเหลียวหน้ามาก็ยังช้าเหมือนกับหอยทาก
ภายในหัวเขาพลันมีภาพภายในห้องประชุมตอนที่ทำการยืนยันภารกิจก่อนออกเดินทางผุดขึ้นมา
‘องค์หญิง ระเบิดที่เครื่องบินทิ้งระเบิดโยนลงมามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?’
‘ถ้ากระหม่อมบินเร็วพอก็น่าจะสลัดคลื่นกระแทกนั้นได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?’
คนที่ถามคือฟินกิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ความเห็นที่ฟังดูสิ้นคิดของเขามักจะเรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้เสมอ บอกตามตรง บางครั้งเขาก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนของเขามาก
‘นอกเสียจากเจ้าจะบินเร็วกว่าแสงน่ะนะ’ องค์หญิงปฏิเสธความคิดเขาไปอย่างไม่ใยดี ‘ลำแสงที่เกิดขึ้นตอนที่มันระเบิดรุนแรงพอที่จะเผาเจ้าให้มอดไหม้ได้ ในตอนที่เจ้ามองเห็นมัน หากจะคิดหนีมันก็สายไปเสียแล้ว ถึงแม้จะโชคดีหลบลำแสงได้ แต่คลื่นกระแทกหลังจากนั้นก็จะพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ วิธีเดียวที่จะหลบมันได้อย่างปลอดภัยก็คือหนีห่างออกมาจากมันได้มากพอ’ เธอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย ‘อย่างน้อยระเบิดลูกหนีหนึ่งก็เป็นเช่นนี้’
‘แล้วลูกที่สองล่ะพ่ะย่ะค่ะ?’
‘ถ้าเทพแห่งความโชคดียังรักเจ้าอยู่ล่ะก็ บางทีมันก็อาจจะมีโอกาสรอดอยู่ แต่แทนที่จะสวดภาวนาขอร้องฟ้าดิน ทำไมเจ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะ องค์หญิงทิลลีไม่ได้อธิบายอะไรละเอียด แต่กู๊ดกลับจำได้แม่น
ความจริงขอเพียงได้เห็นตอนระเบิดลูกที่หนึ่งระเบิดขึ้นมาก็พอจะเดาได้ว่าวิธีการหลบที่องค์หญิงบอกนั้นคืออะไร —- อาศัยเพียงแค่ตัวแสงแห่งอาทิตย์นั้นไม่สามารถที่จะทำลายพระผู้สร้างได้อย่างเด็ดขาด นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องพยายามเล็งให้ระบิดไปตกลงในพื้นที่ใจกลางทะเลสาบหมอกแดง และในตอนที่มันระเบิดขึ้นตรงด้านใน ขนาดอันใหญ่โตของพระผู้สร้างก็จะกลายเป็นเกราะกำบังตามธรรมชาติให้กับเขาได้
แต่องค์หญิงก็มีอยู่จุดหนึ่งที่พูดไม่ถูก นั่นคือทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชค หากแต่ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมมากกว่า
หากเป็นคนอื่น กู๊ดคงไม่กล้ามั่นใจแบบนี้แน่
แต่กัปตันของพีซอาร์คที่รับผิดชอบในการทิ้งระเบิดลูกที่สองคืออีเกิลเฟซ
ซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตามากที่สุด
ถ้าเป็นครูฝึกล่ะก็ เขาจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่กู๊ดตัดสินใจที่จะส่งระเบิดในช่วงสุดท้าย
เขาไม่อยากให้โชคของศัตรูมาทำลายทุกอย่างที่ครูฝึกทำ
“เฮ้ กู๊ด ตอบข้า! เจ้าเหม่อไปแล้วเหรอ!” ทันใดนั้นเอง เสียงของเพื่อนพลันทำลายความเงียบขึ้นมา เสียงลมและเสียงเครื่องยนต์กลับมาดังอีกครั้ง —- “เจ้าโง่ ถ้ายังไม่ไปพวกเราจะตามระเบิดเข้าไปแล้วนะ! เจ้าคิดจะทิ้งเรเชลงั้นเหรอ—”
“ยังจำวิธีการบินตอนที่พวกเราฝึกได้ไหม?” กู๊ดพูดแทรกเขา “3 2 1!”
พอพูดจบ แมนเฟลที่บินอยู่ข้างหน้าสุดก็ดึงเครื่องบินของตัวเองขึ้น
กู๊ดเองก็ดึงคันบังคับขึ้นมาจนถึงหน้าอก
เครื่องบินทั้งสามลำกระจายตัวออก ดูแล้วเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน — ส่วนดอกที่ยังตูมซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางก็คือระเบิดที่กำลังหมุนควงลงไป
แรงอันมหาศาลได้กดเข้าเอาไว้บนที่นั่งนักบิน แม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ลำบาก ทัศนวิสัยตรงหน้าค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ จากปากรอยแตกที่อยู่ตรงกลางค่อยๆ เลื่อนไปยังผนังภายนอกของหอคอยพีระมิดสีดำ ถึงแม้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจะมีความคล่องแคล่ว แต่ในเวลานี้มันก็ยังเชิดหน้าขึ้นได้อย่างยากลำบาก
ในช่วงที่พุ่งลงมาจากข้างบนด้วยความเร็วสูง การจะเปลี่ยนทิศทางไปบินในแนวราบในทันทีเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่ระเบิดระเบิดขึ้นมา ทั่วทั้งสองฟ้าก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่อันตรายอย่างมาก สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็การพยายามปรับมุม ทำให้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นบินเลียดไปกับพื้นผิวของพระผู้สร้างเพื่อใช้ผนังหินของหอคอยทรงพีระมิดในการหนีจากคลื่นระเบิด ขณะเดียวกันก็ใช้ระยะห่างในการยื้อเวลาในการเปลี่ยนทิศทาง
ในเวลานี้เอง กู๊ดพลันเห็นปีศาจที่ดูแปลกประหลาดอย่างมากตัวหนึ่ง
ไม่น่าจะเป็นหน้าตาหรือว่าการแต่งกายก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากปีศาจตัวอื่น ระยะห่างตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันที่สุดนั้นห่างกันไม่ถึง 50 เมตร เรียกได้ว่าเฉียดกันนิดเดียว มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าตัวเองจะถูกอีกฝ่ายใช้พลังฉีกตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหินอะไรอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันยืนอยู่ตรงนั้นมองดูตัวเองบินผ่านไปโดยไม่ทำอะไร
ในขณะเดียวกัน ระเบิดก็เฉียดขอบรอยแตกตกลงไปในยอดหอคอยทรงพีระมิด
….
เดอะแมสก์วางมือที่ถือแกนพลังเวทมนตร์ลง
โชคไม่เข้าข้างเผ่าพันธุ์ของมัน
พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่มันเห็นนกเหล็กสามลำพุ่งตามก้อนเหล็กสีดำลงมา มันก็ไม่เหลือเวลาให้วัดดวงกับโชคชะตาอีกแล้ว
คนที่เตรียมตัวเจอกับคนที่ไม่ได้เตรียมตัว มนุษย์ทำได้ถึงขนาดนี้ หากมันยังฝืนภาวนาขอให้ความบังเอิญมาช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้มันก็ดูจะเป็นการดูถูกโชคชะตาไปหน่อย
นาซเพลหลับตาลง ก่อนจะเชื่อมต่อเข้ากับหอคอยแห่งการให้กำเนิด
จักรพรรดิยังคงสั่งการออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเคลื่อนย้ายกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่อาร์เรียตาด้วย น้ำเสียงฟงดูเยือกเย็นเหมือนกับเครื่องจักรของมนุษย์ มันเข้าควบคุมแกนพลังเวทมนตร์และตัดการเชื่อมต่อกับจักรพรรดิ — ในอีกแง่หนึ่งการทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการเปิดเผยแล้วว่ามันแอบไปทำการแก้ไขตัวแกนพลังเวทมนตร์ เพียงแต่มันไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าจักรพรรดิจะรู้หรือไม่
จักรพรรดิเองก็ตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว ทะเลสาบหมอกแดงที่อยู่ใต้เท้าเดือดพล่านขึ้นมาทันที การสั่นสะเทือนของพลังเวทมนตร์รุนแรงจนเหมือนจะจับต้องได้ เกรงว่าตอนนี้จักรพรรดิคงกำลังสร้างคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาเป็นจำนวนมากในทะเลสาบแห่งจิตสำนึก ขอเพียงมันเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกเพียงนิดเดียว มันคงจะถูกจักรพรรดิดึงเข้าไปในหอเจ้าชีวิตโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะดิ้นรนแน่
เสียดายที่ ‘เครือข่าย’ ที่มันสร้างขึ้นมานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับโลกแห่งจิตสำนึก
นี่คือดินแดนของมันแต่เพียงผู้เดียว
เดอะแมสก์ทำการปิดการใช้งานศีรษะที่สามารถรับรู้ถึงพลังเวทมนตร์ได้ โลกทั้งใบพลันเงียบสงบขึ้นมา
ในเวลานี้ ตัวมันก็คือหอคอยแห่งการให้กำเนิด — แล้วก็เป็นตำแหน่งที่เหมาะที่สุดที่ในการรับรู้ถึงการสืบทอดใหม่ของมนุษย์
พริบตาที่มองเห็นก้อนโลหะนั้น นาซเพลก็กางแขนทั้งหมดขึ้นไปบนฟ้า
“ไหน ขอข้าดูหน่อย—”
— พลังแห่งความรู้
ยังไม่ทันที่มันจะพูดคำพูดครึ่งหลังออกมา แสงสว่างอันเจิดจ้าก็กลินกืนมันเข้าไป
…..
เสียงกัมปนาทดังขึ้นมา กู๊ดรู้สึกตกใจเมื่อเห็นหอคอยพีระมิดสีดำที่อยู่ด้านหลังขยายตัวขึ้นมา เหมือนกับว่าผิวนอกไม่ใช่ก้อนหิน หากแต่เป็นของเหลวที่มีความยืดหยุ่นอย่างไรอย่างนั้น!
แรงปะทะอันรุนแรงทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมกระจายออกมาจากผนังหินอย่างชัดเจน ในตอนที่มันขยายตัวไปจนถึงยอดหอคอย เปลวเพลิงอันร้อนแรงและฝุ่นควันจำนวนมากก็พุ่งทะลักออกมาจากรอยแตก แค่พริบตาก็พุ่งเลยเสาควันที่เกิดขึ้นจากการระเบิดในครั้งแรกขึ้นมา
ด้านบนของหอคอยพีระมิดพังถล่มลงมา ก้อนหินเกือบหนึ่งในสามปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฟ้าช้ากว่านี่อีกนิดเดียว เขาคงจะถูกการระเบิดครั้งนี้กลืนกินไปด้วย
แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่นาน เปลวไฟที่พ่นออกมาก็กลายเป็นอีกสีหนึ่ง
สีของมันเป็นเหมือนเลือดสดๆ
ขนาดของมันขยายตัวจนใหญ่กว่ากลุ่มควันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะย้อมท้องฟ้ากว่าครึ่งจนกลายเป็นสีแดง
กู๊ดสังเกตเห็นว่านั่นไม่ใช่หมอกแดง หากแต่เป็นเปลวไฟเหนียวๆ ในเวลานี้พระผู้สร้างกลายเป็นเหมือนภูเขาไฟที่กำลังพ่นลาวาที่สะสมอยู่ข้างในขึ้นไปบนเมฆ
และในตอนที่ลาวาที่ไหลทะลักออกมาสายนี้กระจายตัวไปจนถึงขีดจำกัดของมัน เสียงระเบิดที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็ดังกัมปนาทขึ้นมา!
ทะเลสาบหมอกแดงลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว!
…………………………………………………………………