บทที่ 145 ใจเย็น
ผู้มีพรสวรรค์ย่อมต้องรู้ถึงวิธีการที่จะควบคุมอารมณ์และแรงกระตุ้นของตัวเอง
อย่างไรแล้วการจะแก้ไขสถานการณ์ให้สำเร็จก็ตั้งอยู่บนการฉกฉวยข้อได้เปรียบ ไม่ใช่การจัดการอารมณ์ของตนเอง
แม้ว่าเค่อเหลยซีต๋าจะเป็นผู้ก่อการร้ายในสายตาของทั่วทั้งอาณาจักรแห่งหมู่เมฆโดยไม่ต้องสงสัย เค่อเหลยซีต๋าก็มองตัวเขาเองเป็นคนมีความฝันผู้พยายามจะรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่แต่ก่อนของเผ่าพันธุ์ตน ผู้ก่อการร้ายส่วนมากเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่เป็นผู้ก่อการร้ายแต่แรกเริ่ม
เค่อเหลยซีต๋าเกลียดชังซูเฉินลึกถึงกระดูกดำต่อการที่ชายหนุ่มปลุกเทพอสูรขึ้นและทำลายมือแห่งโชคชะตา… เขาแทบจะเป็นบ้าด้วยความโกรธแค้น !
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความเดือดพล่านของเค่อเหลยซีต๋าก็ได้ลดลง และความอัจฉริยะของเขาก็กลับมาอีกครั้ง
เขาเริ่มพิจารณาว่าจะทำอย่างไรในเมื่อตอนนี้ไม่มีมือแห่งโชคชะตาอีกต่อไปแล้ว
เขาควรละทิ้งความฝันอย่างนั้นเลยหรือ ?
เค่อเหลยซีต๋าไม่ต้องการยอมรับผลลัพธ์เช่นนั้น
นักรบตัวจริงจะไม่ยอมแพ้ง่ายดายนัก แม้ว่าเขาจะล้มเหลวในตอนนี้ เขาก็จะลองดูอีกครั้ง
มือแห่งโชคชะตาจบสิ้นลงแล้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เขายังคงอยู่ที่นี่
ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ มือแห่งโชคชะตาก็สามารถฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น แต่มันอาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตก็เป็นได้
ใช่แล้ว สถานการณ์ที่ดียิ่งขึ้น !
ชุยอวี่คงเหินผู้ก่อการร้ายคนใหม่ล่าสุดที่ปรากฏกายขึ้นในฉากนี้ เขาได้ทำลายมือแห่งโชคชะตาลง แต่เขาก็ยังเป็น
ด้วยการมีอยู่ของเขา เค่อเหลยซีต๋าก็จะมีโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ
ในอนาคต มือแห่งโชคชะตาสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพด้วยไร้ซึ่งภาพลักษณ์ของศัตรูในสายตาของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ กลับกัน พวกเขาอาจกลายเป็นเหมือนประตูฟื้นความเยาว์ต่อเผ่าคนเถื่อน องค์กรที่ถูกใช้โดยเผ่าปักษาแทนก็ได้
หากเป็นเช่นนั้น มือแห่งโชคชะตาก็ไม่จำเป็นต้องถูกกักขังอยู่ในเขาพันพิษอีกต่อไป
หากเป็นเช่นนั้น มือแห่งโชคชะตาคงจะได้เบ่งบาน
หากไร้ซึ่งการพังลงก็จะไม่มีการสร้างขึ้น หลังจากความตายคือการฟื้นคืนชีพของนิพพาน ในกระบวนการไล่ล่าซูเฉิน ความคิดของเค่อเหลยซีต๋าก็ชัดเจนยิ่งขึ้น และเขาเริ่มพัฒนาแผนการหนึ่งขึ้นมา
ขั้นตอนแรกคือเริ่มการร่วมมือกับนิกายแห่งพระแม่
แน่นอนว่าการโน้มน้าวหัวหน้านักบวชเหล่านี้นั้นไม่ง่ายเลย
“พันธมิตร ?” หมู่หัวหน้านักบวชเริ่มหัวเราะราวกับว่าเค่อเหลยซีต๋าเล่าเรื่องตลกให้เขาฟัง
อาชญากรคนสำคัญของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆกำลังเสนอการเป็นพันธมิตรร่วมกับตนจริง ๆ งั้นหรือ ? นั่นช่างน่าขันเหลือกัน
เค่อเหลยซีต๋ากล่าวด้วยความจริงใจ “ใช่ พันธมิตร พวกเราต้องร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสามารถจับตัวชุยอวี่คงเหินได้ อ้อ แล้วหากพวกเจ้าไม่ยินดีก็ลองจับตัวเขาดูเองก่อนได้เลย”
“แม้ว่าพวกเราจะจับตัวเขาไม่ได้ พวกเราก็จะไม่ร่วมมือกับเจ้า ! อาณาจักรแห่งหมู่เมฆจะไม่มีวันร่วมมือกับศัตรูเผ่าปักษาเพื่อจับกุมศัตรูเผ่าปักษาอีกคนหรอก !” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เค่อเหลยซีต๋าตอบอย่างสงบเสงี่ยม “อย่างแรก พวกเจ้าเป็นแค่ตัวแทนของนิกายแห่งพระแม่ ไม่ใช่ทั่วทั้งอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ ฝ่าบาทหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นผู้รับหน้าที่นี้ และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูเผ่าปักษา ข้าคือชาวอาร์คาน่า ข้าไม่สามารถทรยศเผ่าปักษาได้เพราะข้าไม่ใช่ปักษา อย่างที่สาม มือแห่งโชคชะตาได้ถูกทำลายลงแล้ว พลังของศัตรูที่เจ้าต้องการกำจัดมาเนิ่นนานได้ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นโดยเทพอสูร มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว……”
ขณะที่พูด หยดน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาตามใบหน้าของเขา
น้ำตาเหล่านี้มาจากความสัตย์จริง เขาได้ต่อสู้อย่างขมขื่นเพื่อองค์กรนี้มาหลายปี และตอนนี้มันก็หายไปทั้งอย่างนั้น แล้วเค่อเหลยซีต๋าจะไม่โศกเศร้าเสียใจได้อย่างไร ?
กระทั่งโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ยังซาบซึ้งใจไปด้วย
ในตอนนี้ นางสามารถเข้าใจในความรู้สึกของเค่อเหลยซีต๋าได้เป็นอย่างดี…… เพราะอาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็กำลังจะตกอยู่ใต้ภัยพิบัติการจู่โจมของเทพอสูรเช่นกัน !
ใช่แล้ว เทพอสูรคือภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
ราวกับว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความคิดของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน เค่อเหลยซีต๋าพูดต่อไป “เรื่องสุดท้าย เทพอสูร เทพอสูรกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ มันคือคางคกพันพิษที่มีการโจมตีพิษอันน่าเหลือเชื่อ มันทำให้ทั่วทั้งภูมิประเทศโดยรอบไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โยวเมิ่ง เจ้าควรจะรู้ถึงความทรงพลังของพิษในเขาพันพิษใช่ไหม ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถทนทานได้ หากเจ้าปล่อยให้คางคกพันพิษนั่นเข้ามาใกล้เมืองล่องนภา……”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและหัวหน้านักบวชทุกคนล้วนตกตะลึง
ผลที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง !
ความแข็งแกร่งของคางคกพันพิษนั้นอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับเทพอสูรตัวอื่น ๆ แต่พิษของมันนั้นแข็งแกร่งเหลือเชื่อ มันยิ่งกว่าสามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมโดยรอบให้กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าได้เสียอีก
มันไม่จำเป็นต้องสังหารใครเลยด้วยซ้ำ ตราบใดที่มันปลดปล่อยพิษออกมาในละแวกเมืองล่องนภา ทั่วทั้งพื้นที่ก็จะกลับกลายเป็นเมืองร้างไปในทันที
นั่นคือสิ่งที่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆไม่อาจยอมรับได้อย่างเด็ดขาด
เค่อเหลยซีต๋ากล่าว “ข้ามียาแก้พิษที่สามารถรับมือกับคางคกพันพิษได้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาพิษทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาได้ มันก็สามารถจัดการได้เกือบทั้งหมด ด้วยยาแก้พิษ พลังของเราผนวกกัน และพลังของเมืองล่องนภา พวกเราควรจะสามารถปลิดชีพอสูรนี่ก่อนที่มันจะมาถึงเมืองได้”
เค่อเหลยซีต๋ามียาแก้พิษ !
นั่นคือตัวค้ำยันที่ดีที่สุดของเขา
แม้ว่าซูเฉินจะไม่เกรงกลัวต่อพิษ หนังแกะก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นยาแก้พิษ และแม้ว่าเขาจะสามารถคิดค้นสูตรยาแก้พิษขึ้นมาได้ เขาก็ไม่อาจปรุงมันขึ้นได้อยู่ดี
ดังนั้นแล้วเค่อเหลยซีต๋าจึงกลายเป็นผู้เดียวที่ยินดีจะทำธุรกิจกับเผ่าปักษา
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนอาจไม่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือของเค่อเหลยซีต๋าเพื่อจัดการกับซูเฉิน แต่นางไม่สามารถปฏิเสธความจำเป็นต่อยาแก้พิษที่เค่อเหลยซีต๋าครอบครองได้
แรงกดดันจากคางคกพันพิษนั้นยิ่งใหญ่เกินไป
เค่อเหลยซีต๋าสามารถระบุความแข็งแกร่งของพวกเขา ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะต้านทานได้
การเจรจาทางการทูตไม่ได้สนใจความรู้สึกแต่สนใจในข้อได้เปรียบต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่อาจเรียกมันว่าการเจรจาทางการทูตได้
แม้ว่าพวกเขาจะมีฝันที่จะเชือดเฉือนบุคคลตรงหน้าตนทั้งเป็น พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมจำนนด้วยสถานการณ์ที่พวกเขาพบเจอในตอนนี้
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนราวกับสายฟ้าแลบ ตอนนี้เมื่อนางรู้ถึงอำนาจควบคุมของเค่อเหลยซีต๋าในสถานการณ์นี้ เจตสังหารของนางก็ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ยังคงจ้อมเขม็งไปยังเค่อเหลยซีต๋าด้วยท่าทีแข็งทื่อ
เพียงเพราะเจตสังหารของนางหายไปไม่ได้หมายความว่าความเกลียดชังของนางจะเป็นเช่นนั้น นางเพียงกำลังพยายามสุดฝีมือในการหักห้ามใจตัวเองจากการโจมตีเขาอยู่เท่านั้น
นั่นไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย กระทั่งในหมู่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด การทูตก็ยังเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น บางคนต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งเพื่อสร้างหนทางไปสู่จุดสูงสุดแต่ยังขาดทักษะทางการทูตไป โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกำลังแสดงท่าทีฝืนใจตัวเองอย่างหนัก มีหัวหน้านักบวชบางคนข้างหลังนางที่ยังไม่สามารถเข้าใจในสถานการณ์นี้ได้และยังคงเรียกหาการปลิดชีพเค่อเหลยซีต๋า โชคดีที่เหล่าผู้ที่รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นสามารถควบคุมพวกเขาได้
เหล่านักรบเป็นผู้เรียกร้องหาเลือดเนื้อ หากเผ่าปักษาระดับสูงเป็นฝ่ายยืนยันเช่นนั้น สถานการณ์ก็จะเลวร้ายยิ่งกว่านี้เสียอีก
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรู้ดีว่านางไม่สามารถสังหารเค่อเหลยซีต๋าในวันนี้และรีบรุดจัดการกับอารมณ์ของนางก่อนจะถามขึ้น “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?”
ว่าแล้วเค่อเหลยซีต๋าก็เปิดปากพูดบอกเล่าในสิ่งที่เขาต้องการ
“เจ้า……” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว
เค่อเหลยซีต๋าไม่ได้ดูถูกโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังขออะไรหลายอย่าง มากจนกระทั่งแม้แต่นิกายแห่งพระแม่ก็ไม่อาจบอกผลสรุปได้
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกัน
การทำข้อตกลงใดก็ตามกับเค่อเหลยซีต๋าจะเป็นเครื่องแห่งความอัปยศในหน้าประวัติศาสตร์
ใช่ เครื่องหมายแห่งความอัปยศ !
การผูกมิตรกับอาชญากรไม่ว่าจะด้วยแรงจูงใจหรือสถานการณ์ใดจะถูกล้อเลียนในหน้าประวัติศาสตร์เสมอ
นั่นคือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
นางยินดีที่จะถูกเข้าใจผิดเพื่อเผ่าพันธุ์ของตน แต่ประวัติศาสตร์จะไม่จดจำนางไว้ดีนัก
การมีเผ่าปักษาอีกคนช่วยนางแบกรับตราบาปนี้นั้นไม่จำเป็นต้องแย่เสมอไป
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็พยักหน้า “ก็ได้ พวกเราจะไปขอเข้าพบฝ่าบาทหยงเยี่ยหลิวกวงเดี๋ยวนี้”
“ข้าไม่มีปัญหา” เค่อเหลยซีต๋าถอนลมหายใจยาวเหยียดเมื่อเขาได้ยินคำตอบนี้
ตอนนี้เมื่อเขาปลอบประโลมโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนลงได้สำเร็จ แผนการของเขาก็สำเร็จไปถึง 1 ใน 3 แล้ว
ตอนที่พวกเขากำลังจะออกเดินทางนั่นเอง ศิษย์นิกายแห่งพระแม่จำนวนหนึ่งก็ขัดขวางไว้เสียก่อน
พวกเขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและคร่ำครวญ “เจ้านิกาย เกิดหายนะขึ้นแล้ว !”
“พูด” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวอย่างใจเย็นโดยมั่นใจทีเดียวว่าพวกเขากำลังจะพูดสิ่งใด
“ชุยอวี่คงเหินปล้นคลังสมบัติของพวกเรา !”
“เข้าใจแล้ว” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนตอบเสียงแผ่วเบา งั้นเด็กนี่ก็ทำอย่างนั้นในท้ายที่สุด ? และเค่อเหลยซีต๋าเวรนั่นก็ช่วยเขาถ่วงเวลา
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนจ้องเขม็งไปยังเค่อเหลยซีต๋า นางรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกหลอกลวงมาโดยตลอด
เค่อเหลยซีต๋าดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะถูกจับได้ โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรู้ว่าเขารู้ว่านางรู้ว่าเขากำลังทำอะไรเช่นกัน… พูดต่อไปก็มีแต่จะซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคือพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เข้าใจอย่างชัดเจนแต่ทำเป็นไม่รู้ต่างหาก
การมาถึงของเทพอสูรทำให้สถานการณ์อื่น ๆ ล้วนกลายเป็นเรื่องเล็ก
กระทั่งคลังสมบัติเล็ก ๆ ก็ไม่ได้มีค่าถึงขนาดนั้น
ตราบใดที่พวกเขาจับชุยอวี่คงเหินได้ พวกเขาก็จะสามารถได้รับทุกสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา
เห็นได้ชัดว่าเหล่าศิษย์ผู้มารายงานแก่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนต่างไม่ได้คาดหวังว่านางจะเฉยชาเช่นนี้
หัวหน้านักบวชที่เหลือก็ดูไม่ประหลาดใจเช่นกัน ศิษย์เหล่านั้นจึงตกตะลึงไปทันที
นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน ?
พวกเขาไม่กังวลที่คลังสมบัติถูกปล้นสะดมแม้แต่น้อยเลยหรือ ?
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกที่คลังสมบัติถูกปล้นสะดมหรอก แสงแห่งพระแม่จะเปิดเผยหัวขโมยขึ้นมาเอง ตราบใดที่พวกเราจับเขาได้ พวกเราก็จะสามารถเก็บทุกอย่างที่ถูกเอาไปคืนมาได้”
“เจ้านิกายพูดถูก !” เหล่าศิษย์ได้แต่เห็นด้วย
“แล้วมีความเสียหายอื่นอีกไหม ?”
“หัวหน้านักบวชอวี้หลิวเซียง ผู้เชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าเฟยเหยา หัวหน้านักรบเตียวหลิง และผู้อารักขาทุกคนที่อารามหลักตายแล้ว !” กลุ่มศิษย์ตอบด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
“การเสียชีวิตของอวี้หลิวเซียงคือความรับผิดชอบของข้าเอง” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถอนหายใจ
นางคือผู้ที่บอกให้อวี้หลิวเซียงคุ้มกันชุยอวี่คงเหินไปยังห้องเก็บของ ข่าวการตายของนางจึงไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย
แต่… เดี๋ยวก่อนนะ
เฟยเหยา ? เตียวหลิง ?
ผู้อารักขาอารามหลักทุกคน ?
นั่นมันสถานการณ์แบบไหนกัน ?
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนชำเลืองมองเหล่าศิษย์ด้วยท่าทีสงสัย “ทำไมผู้อารักขาอารามหลักถึงตายด้วยล่ะ ?”
ศิษย์เหล่านั้นตอบ “เพราะชุยอวี่คงเหินจู่โจมที่อารามหลัก หลังจากปล้มห้องเก็บของแล้วเขาก็ไปที่อารามหลักแล้วขโมยขนนกศักดิ์สิทธิ์ไป สังหารผู้เฝ้ายาม และกระทั่งทำลายรูปปั้นพระแม่”
“เจ้าว่าไงนะ ?!!” เสียงโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนแหลมสูงขึ้นทันที
ศิษย์คนนั้นพูดอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด “ชุยอวี่คงเหินสังหารผู้เฝ้ายามอารามหลักทุกคน ขโมยขนนกศักดิ์สิทธิ์ไป และทำลายรูปปั้นพระแม่ลง”
ปัง !
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนปลดปล่อยหมัดที่รุนแรงเข้ากระแทกศิษย์คนนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แล้วนางก็พ่นเลือดออกมาท่วมปาก เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ร้ายแรงต่อจิตใจของนางถึงเพียงไรด้วยตำแหน่งปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานของนาง พลังต้นกำเนิดถึงกับตีกลับทำให้นางทำร้ายตัวเองอย่างสาหัสทีเดียว !