บทที่ 146 สมบัติ
ขณะที่เหินฟ้าไปนั้น ซูเฉินไม่ลืมที่จะสำรวจและจัดระเบียบสมบัติที่เขาปล้นมาได้จากนิกายแห่งพระแม่ อย่างไรแล้วในตอนนี้เขาก็พอมีเวลาว่างที่จะตรวจสอบดูว่าได้อะไรมาบ้าง
มีของเพียงไม่กี่ชิ้นที่ร่วงลงมาจากรูปปั้นพระแม่ นอกจากขนนกสวรรค์แล้ว ก็ยังมีสมบัติอื่น ๆ อีกเพียงห้าชิ้นเท่านั้น
ของสิ่งแรกก็คือก้อนโลหะที่สามารถดูดซับแสงได้ทั้งหมด
ซูเฉินตรวจดูมันอย่างละเอียดอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
แต่เพียงเพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้ ชายหนุ่มเรียกผ้าเท่อลั่วเค่อ แล้วเริ่มอธิบายลักษณะของก้อนโลหะนั้นให้กับเขา
ชายชราคนนี้มีชีวิตอยู่มานานเหลือเกินจนความรู้ของเขากว้างขวางอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากใคร่ครวญอยู่สักครู่หนึ่ง เขาก็บอกกับซูเฉินว่า “มีโลหะอยู่จำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติตรงกับที่เจ้าบอก แต่ไม่มีทางที่นิกายแห่งพระแม่จะปกป้องโลหะนั่นอยากใกล้ชิด ข้าคิดว่ามันจะต้องเป็นก้อน ‘โลหะกลั่นเทพดารา’ แน่”
“โลหะกลั่นเทพดารา หรือ มันคืออะไรกัน ?”
“โลหะกลั่นเทพดาราน่ะถูกสร้างขึ้นโดยผู้บุกเบิกในยุคอดีต ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นสามารถแปรดวงดาวให้เป็นโลหะได้”
“แปรดวงดาวเชียวหรือ” ซูเฉินตะลึง
ขีดจำกัดของการเดินทางในทวีปแห่งนี้ก็คือสองพันลี้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่น่าตื่นเต้นแล้วอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับยุคโบราณในอดีต แม้กระทั่งยุคที่ใหม่หน่อยอย่างอาณาจักรอาร์คาน่า พวกเขาก็ยังขาดความสามารถในด้านนี้อยู่มากทีเดียว
หรือจะว่าอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตลอดช่วงประวัติศาสตร์นับพันปีของทวีปต้นกำเนิด อัจฉริยภาพของสิ่งมีชีวิตนั้นเพิ่มขึ้นในขณะที่พลังที่แท้จริงกลับลดลงนั่นเอง
การพัฒนาของมนุษยชาตินั้นมักจะสวนทางกับกระแสโดยรวม ชาวมนุษย์เริ่มต้นจากการที่ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งฝึกฝนใด ๆ เลย ไปจนกระทั่งสามารถมีขีดจำกัดเป็นผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารได้ และจากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาไปจนกระทั่งกลายมาเป็นขีดจำกัดในทุกวันนี้ ซึ่งก็คือด่านมหาราชัน สิ่งนี้เป็นแนวโน้มที่ดีทีเดียว และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ชาวมนุษย์เป็นหนึ่งในห้าเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจที่อาศัยอยู่ในทวีปในปัจจุบันนี้ด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังห่างไกลจากการมีพลังในระดับเดียวกับยุคโบราณอยู่ดี
การแปรดวงดาว… สำหรับซูเฉินแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถจินตนาการออกได้เลย
“ถูกต้อง พวกนั้นจะแปรดวงดาวเป็นโลหะจริงหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้ก็คือ หากจะให้เป็นไปตามเรื่องที่เล่ากันมา ความมั่นคงและความทนทานของโลหะนี่จะต้องสูงถึงระดับจักรวาลเลยละ” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าว
“แต่ก้อนโลหะนี่มันควรจะหนักมากไม่ใช่หรือ ทำไมก้อนนี่มันเบาราวกับไร้น้ำหนักเสียอย่างนั้นล่ะ” ซูเฉินถาม
แต่ยังไม่ทันที่ผ้าเท่อลั่วเค่อจะได้ให้คำตอบ ชายหนุ่มก็ค้นพบมันด้วยตัวเองเสียก่อนแล้ว “เดี๋ยวนะ… ข้าสัมผัสได้ถึงพลังพื้นที่บางอย่างบนพื้นผิวของมัน ! ก้อนโลหะนี่ถูกผนึกไว้ด้วยพลังพื้นที่ ผ้าเท่อลั่วเค่อ ท่านพูดถูก มวลที่แท้จริงของสิ่งนี้จะต้องอยู่ที่อื่นแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงไม่มีน้ำหนักเบาอย่างนี้ แต่มันสามารถอยู่ในมือข้าและที่อื่นในเวลาเดียวกันได้อย่างไรกัน แล้วการเชื่อมต่อของมันยังสมบูรณ์อยู่ได้อย่างไรกัน และถึงมันจะอยู่ภายใต้พลังพื้นที่นั่นแล้ว ก้อนนี่ก็ยังสามารถถูกเก็บไว้ในแหวนต้นกำเนิดได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ อีกด้วย น่าทึ่งจริง ๆ …..นี่จะต้องเป็นเพราะความลึกซึ้งของมันเป็นแน่ ความลึกซึ้งอย่างน่าทึ่ง และความเข้าใจอันลึกซึ้งในกฎแห่งพลังพื้นที่ ! มันไม่ใช่สมบัติแค่ชิ้นเดียว แต่เป็นสมบัติถึงสองชิ้นต่างหาก ! กฎแห่งพลังนี้เป็นสมบัติล้ำค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว !”
คนอื่นอาจไม่มองว่ากฎแห่งพลังพื้นที่เป็นเพียงวิธีการจัดเก็บโลหะกลั่นเทพดารา แต่สำหรับซูเฉินแล้ว การมีกฎแห่งพลังที่ล้ำลึกอยู่ตรงหน้านั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าก้อนโลหะนั้นเสียด้วยซ้ำ
ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้ว่าซูเฉินได้จมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดของเขาไปแล้ว ชายชราจึงกล่าวเตือนขึ้น “ข้าไม่คิดว่าพลังของเจ้าจะอยู่ในระดับที่สามารถศึกษาสิ่งนี้ได้หรอกนะ”
“โอ้ จริงของท่าน” ดูเหมือนว่าผ้าเท่อลั่วเค่อจะดึงสติซูเฉินกลับมาจากฝันกลางวันได้สำเร็จ “ใช่… แล้วโลหะกลั่นเทพดารานี่มีประโยชน์อะไรกัน ?”
“โลหะกลั่นเทพดาราเคยเป็นเครื่องมือของผู้บุกเบิกที่ใช้ในการตีเหล็กเพื่อสร้างอาวุธขึ้นมา สิ่งนี้มีแต่สมาชิกของเผ่าพันธุ์ผู้บุกเบิกเท่านั้นที่จะใช้มันได้ ดังนั้นเราไม่มีทางเรียกพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” คำอธิบายนั้นทำให้ซูเฉินผิดหวังเหลือเกิน
แน่นอนอยู่แล้ว หากสิ่งนั้นดีเกินไป… บางครั้งนั่นก็หมายความว่าการจะใช้พลังขั้นสูงสุดของมันนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ซูเฉินมีโลหิตของเทพอสูรและแก่นเทพอสูรบรรพกาลอยู่แล้ว แต่เขายังไม่รู้ว่าจะใช้พวกมันอย่างไรดี ในตอนนี้ดูเหมือนว่าก้อนโลหะกลั่นเทพดาราก็จะต้องไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับสองอย่างนั่นด้วยเหมือนกัน
“ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว” แต่แล้วคำพูดของผ้าเท่อลั่วเค่อต่อจากนั้นก็ทำให้ซูเฉินกลับมามีความหวังอีกครั้ง “เจ้ามีดาบศิราทองคำอยู่ไม่ใช่หรือ ?”
“หือ ท่านกำลังจะบอกว่าข้าควรให้ใช้ดาบศิราทองคำดูดซึมจากมันอย่างนั้นหรือ ?” ชายหนุ่มถึงกับผงะ “เป็นไปได้ด้วยหรือ”
ดาบศิราทองคำนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังสูงสุดของมันทำให้ดาบนี้ถือเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในคลังแสงของซูเฉินเลยก็ว่าได้
ทว่าความเร็วที่มันเผาผลาญโลหะนั้นสูงยิ่งนัก ซูเฉินจำเป็นต้องขวนขวายเอาสิ่งรอบตัวมาเพื่อสนองความต้องการของมันอยู่เสมอ
แต่ในตอนนี้ ชายหนุ่มมีโลหะกลั่นเทพดาราอยู่ในมือแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก แต่การที่มันถูกแปรสภาพมาจากดวงดาว นั่นจึงแปลว่าหลังจากนี้ดาบศิราทองคำก็จะไม่ตะกละตะกลามอย่างเดิมอีกแล้ว
“มันควรจะได้ผล แต่เจ้าจะต้องใช้เวลาและค่อย ๆ ศึกษาหาวิธีการและใช้มัน ข้าคิดว่า ในเมื่อก้อนนั่นเป็นโลหะ เดี๋ยวเจ้าก็จะต้องหาทางใช้มันได้เอง” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบกลับมา
“ท่านเองก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลยใช่ไหม” ซูเฉินถามกลับไปอีกครั้ง
“ตราบใดที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดพอจะทำอะไรได้บ้าง ก็น่าจะไม่มีปัญหา” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ถูกต้องแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ไม่ช้าชายหนุ่มก็คงจะหาคำตอบได้ นอกเสียจากว่ามันไม่มีคำตอบอยู่แล้วตั้งแต่ต้นเท่านั้น…
หลังจากที่ซูเฉินได้เก็บก้อนโลหะไปแล้ว ซูเฉินก็หันไปสนใจกับสมบัติชิ้นต่อไป
สิ่งของชิ้นถัดมานั้นต้นพืชที่ถูกฝังไว้ในหยกชิ้นหนึ่ง หยกนั้นมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘หยกขาวเนื้ออ่อน’ ซูเฉินเคยเห็นต้นพืชอีกต้นที่ถูกเก็บรักษาในหยกคุณภาพสูงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือหญ้าต้นน้ำของใจสีเลือด ต้นพืชนั้นสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีเพราะมันเป็นแหล่งของพลังงานต้นกำเนิดที่สามารถหล่อเลี้ยงต้นไม้และพืชพรรณทุกชนิด ถึงแม้ว่าซูเฉินจะยังไม่พบวิธีการที่จะใช้งานมันได้มากนัก แต่มันก็สำคัญมากทีเดียวสำหรับการพัฒนาของนิกายไร้ขอบเขต ซึ่ง ณ ตอนนี้ต้นพืชนั้นจึงถูกเก็บรักษาและได้รับการคุ้มกันอย่างใกล้ชิดโดยสมาชิกของนิกายไร้ขอบเขตนั่นเอง
ทว่าต้นพืชที่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ถูกฝังไว้ในสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าดินไร้เขตที่เขาพบในหญ้าต้นน้ำเสียด้วยซ้ำ… สมบัติชิ้นนี้จะต้องมีค่าอย่างมากแน่นอน
ชายหนุ่มกำลังคิดว่าสิ่งนี้อาจเป็นส่วนผสมในทางยาระดับศักดิ์สิทธิ์
ส่วนผสมทางยาและโอสถทั้งหลายนั้นถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ระดับธรรมดา ระดับพิเศษ ระดับหายาก ระดับตำนาน และระดับศักดิ์สิทธิ์
ดอกซากวิญญาณที่เขาเคยใช้เมื่อนานมาแล้วนั้นเป็นส่วนผสมทางยาระดับตำนานซึ่งอารามนิรันดร์ก็ยังได้ใช้เวลาและพลังงานไปมากทีเดียวในการคิดวางแผนและพยายามที่จะเอามันมาเป็นของพวกเขาเองให้ได้อีกด้วย
แต่อย่างน้อยส่วนผสมนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่หามาครอบครองได้
ส่วนผสมทางยาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครคนหนึ่งจะมีในครอบครอง
มูลค่าของส่วนผสมเหล่านี้สูงเกินกว่าจะประเมินได้ และนั่นแปลว่าส่วนผสมในระดับเดียวกันนั้นถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว พวกมันไม่มีหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติอีกต่อไป
มีเพียงที่เดียวเท่านั้นที่อาจพอมีหวังว่าจะพบสมบัติอันล้ำค่านี้ได้ ซึ่งก็คือลึกเข้าไปในดินแดนอสูร มีเพียงที่แห่งนี้เท่านั้นที่เป็นสถานที่เก่าแก่ที่ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่ ดังนั้นสมบัติล้ำค่าทั้งหลายในธรรมชาติจึงยังสามารถหาพบได้ที่นี่ และนั่นก็เพราะอสูรที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนในบริเวณนี้ยังไม่ได้ถูกบุกรุกโดยเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เพราะฉะนั้นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าจึงอยู่เกินเอื้อมของมนุษย์
ซูเฉินไม่รู้ว่าเผ่าปักษาได้เคยเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนอสูรเพื่อเก็บส่วนผสมเหล่านี้หรือไม่ แต่เขามั่นใจมากทีเดียวว่าสิ่งที่อยู่ในมือนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นส่วนผสมระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
“ต้นพืนนั่นต้องใช้ ‘พรายจันทร์’ แน่” ผ้าเท่อลั่วเค่อระบุชื่อของมันได้อย่างรวดเร็วหลังจากได้ฟังคำอธิบายจากซูเฉิน “ที่บนพื้นผิวนั่นมีหยดน้ำที่ไม่สามารถสลัดออกไปได้อยู่ไหม”
“ใช่แล้ว ถูกเผงเลย” ซูเฉินกล่าวขณะที่ยังสะบัดต้นพืชในมือ ลักษณะที่สะดุดตาที่สุดของพืชต้นนี้ก็คือหยดน้ำบนผิวของมันที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถสะบัดให้มันหลุดออกไปได้เลย
ผ้าเท่อลั่วเค่ออธิบายต่อไป “นั่นไม่ใช่น้ำหรอก มันคือ น้ำค้างพรายจันทร์ พืชชนิดนี้จะต้องอยู่ใต้แสงจันทร์ทุกคืนเพื่อซึมซับแสงจันทร์และสะสมน้ำค้างไว้ มันจะสร้างน้ำค้างพรายจันทร์ขึ้นมาหนึ่งหยดในทุก ๆ หนึ่งร้อยคืนโดยประมาณ และจากนั้นมันก็จะใช้เวลาในการพักฟื้นอีกหนี่งร้อยวัน ต้นที่อยู่ในมือเจ้าน่าจะอยู่ในระยะพักฟื้นพอดี ก่อนที่มันจะฟื้นฟูเต็มที่ อย่าให้มันสัมผัสกับแสงจันทร์เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะเริ่มเสียคุณภาพไป รวมถึงอายุขัยของมันก็จะลดลงด้วย ใช่แล้วละ น้ำค้างพรายจันทร์น่ะเป็นส่วนผสมที่จำเป็นสำหรับยาศักดิ์สิทธิ์หลายชนิดเลยทีเดียว”
“ต้นไม้นี่เหมือนกับนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาอยู่เหมือนกันใช่ไหม ?”
“มันก็คือนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลานั่นละ”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็หัวเราะ
ได้ไก่ทั้งตัวย่อมดีกว่าได้ไข่อยู่แล้ว
ซูเฉินเองก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับปรมาจารย์อยู่แล้ว และเขาก็ยังไม่เคยได้บรรลุต่อไปเพราะยังไม่มีโอกาสที่จะได้ปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
เพราะเขาไม่มีส่วนผสมนั่นเอง !
นักปรุงยาระดับตำนานนั้นแทบไม่มีอยู่จริงเลย
แต่ในตอนนี้ ซูเฉินอาจเก็บน้ำค้างพรายจันทร์ได้ และจากนั้นเขาจะนำมันไปปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
แม้ว่าเขาจะมีส่วนผสมระดับศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ทำให้เขาสามารถปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างได้หลายชนิดแล้ว
อย่างไรแล้วยาระดับศักดิ์สิทธิ์ก็จะเป็นยาระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี ไม่ว่าฤทธิ์ของมันจะเป็นอย่างไร พวกมันก็จะต้องทรงพลังอย่างแน่นอน
ซูเฉินอาศัยดอกซากวิญญาณเพื่อพัฒนาพลังจิตของเขามาเสมอ แต่ในตอนนี้เมื่อมีน้ำค้างพรายจันทร์แล้ว เขาจึงอดรู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตของตัวเองขึ้นมาไม่ได้
สมบัติชิ้นที่สามนั้นเป็นชุดเกราะ
ชุดเกราะนั้นมีสีแดงเพลิงและเต็มไปด้วยจารึกที่ถูกสลักไว้อย่างบรรจง มันเป็นชุดเกราะที่งดงามยิ่งนัก และยังเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์จาง ๆ อีกด้วย เห็นได้ชัดเลยว่ามันอัดแน่นไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง โชคไม่ดีนักที่มันเป็นชุดเกราะที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้หญิง
ซูเฉินคิดว่าเรื่องนี้น่าอายนัก เขาสัมผัสได้ว่าชุดเกราะนี้ทรงพลังเพียงไร อีกทั้งมันยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าชุดคลุมเส้นใยปะการังของเขาเสียอีก มันคงเป็นชุดเกราะที่มีพลังเหนือกว่าเครื่องมือต้นกำเนิดระดับหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ชุดคลุมเส้นใยปะการังอยู่กับซูเฉินมาเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่ามันจะถูกใช้ประโยชน์มากมาย แต่พลังของซูเฉินที่พัฒนาไปก็เริ่มที่จะเหนือไปกว่าความสามารถในการป้องกันของมันแล้ว
ชุดคลุมเส้นใยปะการังสามารถลดสัดส่วนความเสียหายได้ แต่ยิ่งการโจมตีที่มันต้องต้านทานนั้นรุนแรงขึ้น สัดส่วนที่มันจะสามารถช่วยได้ก็จะลดลง
เดิมทีนั้นชุดคลุมนี้สามารถลดพลังของการโจมตีได้ถึง 3 ใน 10 ส่วน ทว่าในตอนนี้การจะลดพลังให้ได้สัก 1 ใน 10 ส่วน ก็ยังถือว่ายากเลยด้วยซ้ำ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ซูเฉินไม่สามารถอาศัยชุดคลุมเส้นใยปะการังเพื่อป้องกันตัวเขาได้อีกต่อไป เขาจึงจำเป็นต้องพึ่งพาร่างที่แข็งแกร่งเหมือนเผ่าคนเถื่อนของตัวเองแทน
และเมื่อเขาพบชุดเกราะที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อเข้า มันก็ดันกลับกลายเป็นชุดเกราะที่ถูกทำมาเพื่อให้ผู้หญิงสวมใส่เสียอย่างนั้น
เผ่าปักษานั้นยกย่องสตรีเพศมากกว่าอยู่แล้ว และผู้นำของนิกายเองก็เป็นผู้หญิงอีกด้วย
ดูเหมือนว่าชุดเกราะนี้จะเป็นของนางนั่นเอง
ทว่าเมื่อผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินเกี่ยวกับชุดเกราะนี้ เขากลับบอกว่า “นี่น่าจะเป็น ‘ชุดเกราะเวหา’ ของนิกายแห่งพระแม่มากกว่า แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์”
“ยังไม่สมบูรณ์หรือ ?”
“ถูกต้อง ‘ชุดเกราะเวหา’ น่ะถูกใช้งานโดยพระแม่เองมาแล้วก่อนที่มันจะหายไปพร้อมกับนาง แต่พิมพ์เขียวของเกราะยังคงถูกทิ้งไว้ นิกายแห่งพระแม่ทำตามพิมพ์เขียวพวกนั้นและประกอบชุดเกราะขึ้นมาใหม่ แต่ต่อให้เป็นขนาดเล็กกว่า ชุดเกราะนี่ก็ยังตีขึ้นมาได้ยากยิ่งนัก” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ
ชายชรากำลังรอให้ซูเฉินถามกลับถึงสาเหตุที่เขารู้ว่ามันเป็นชุดเกราะที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ชายหนุ่มกลับถามคำถามที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ผ้าเท่อลั่วเค่อ บอกข้าหน่อยสิ… ท่านคิดว่าในจักรวาลนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงไหม ?”