ตอนที่ 962 ผ่านโลกมาโชกโชน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 962 ผ่านโลกมาโชกโชน

“ทูลฝ่าบาท พระองค์ยังมิทรงทราบว่าราษฎรของแคว้นอี๋ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเยียนหานยวี่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ในตอนที่เยียนหานยวี่ตัดสินใจเข้าร่วมสงครามคราสุดท้าย เขาได้เรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกสองส่วน…บัดนี้ทั้งสี่มณฑลยากจนข้นแค้นจนไร้ซึ่งคำบรรยาย ชาวบ้านยอมแม้กระทั่งขายบุตรเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ช่างน่าอดสูมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”

จัวอี้สิงอาศัยอยู่ในเมืองไท่หลินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ต่อให้เมืองไท่หลินเป็นเมืองหลักของที่นั่น ทว่าบนใบหน้าของราษฎรทั่วไปหาได้มีความสุขแม้แต่น้อย

พวกเขาดูเฉยเมยและเย็นชา ได้ยินมาว่าเมื่อคราที่แม่ทัพกวนเสี่ยวซีเดินทางเข้ามาในเมืองไท่หลิน บรรดาชาวบ้านเหล่านี้มิเพียงมิต่อต้านเท่านั้น พวกเขายังพร้อมใจอ้าแขนรับกองทัพทหารดาบเทวะด้วยความยินดีอีกด้วย

เวลานั้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในดวงตาของพวกเขาราวกับมองเห็นความหวังและแสงสว่างขึ้นมาอีกครา

จากที่จัวอี้สิงวิเคราะห์แล้วพบว่าทั้งสี่มณฑลต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ให้กรมคลังจัดการซื้ออาหารเพิ่มขึ้นอีก เป็นธัญพืชชนิดใดก็ได้ ขอเพียงช่วยเหลือพวกเขาให้ไม่อดอยากก็พอแล้ว”

“มณฑลจิงตงทั้งสองและเหอเป่ยทั้งสองนั้น หากต้องการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากภัยพิบัติก็คงทำได้เพียงตัดถนนเท่านั้น เยี่ยงไรเสียมิช้าก็เร็วพวกต้องทำการตัดถนนอยู่แล้ว มิสู้สร้างโอกาสให้พี่น้องราษฎรได้มีโอกาสหารายได้เพิ่มมิดีกว่าหรือ ? ”

“เรื่องนี้มอบเป็นหน้าที่ของสำนักเสนาบดีในการออกหนังสือ โดยเขียนส่งให้กับเต้าถายทั้งสี่คน ให้พวกเขาประกาศรับสมัครแรงงานจากเขตต่าง ๆ และสร้างถนนตามโครงสร้างและตามมาตรฐานที่พวกเราวางเอาไว้เถิด”

แน่นอนว่าการตัดถนนเป็นวิธีการจัดการที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วเงินเล่า ?

เมิ่งฉางผิงจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาระมัดระวัง ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมาว่า “ให้นำงบประมาณของคลังหลวงออกมาใช้ก่อน แล้วข้าจะขนย้ายเงินสัก 30 ล้านตำลึงจากเมืองจินหลิงไปให้”

ฝ่าบาทมีคลังสมบัติอยู่ที่เมืองจินหลิงด้วยหรือ ?

ดวงตาของชายชราทั้งสามเบิกกว้างเป็นประกาย ฟู่เสี่ยวกวนจ้องพวกเขาตาเขม็ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่านคิดอันใดอยู่กัน ? นี่คือเงินที่ข้าได้มาจากตลาดหุ้น ! เป็นเงินส่วนตัวของข้า ! ”

ในใจลึก ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนเสมือนมีเลือดหยดติ๋ง ๆ เหตุใดเขาถึงถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่บ่อย ๆ เล่า

……

……

ณ เมืองหลวงรองจินหลิง

หัวหน้าของทั้งสามตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋เมื่อในอดีต กำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ ณ เรือนของเฉินฉือ

อุตสาหกรรมในมือของพวกเขาทุกคนได้ขายทิ้งทั้งหมดแล้ว อีกทั้งยังขายในราคาถูกอีกด้วย

เดิมทีพวกเขาคิดว่าเมื่อสงครามครานี้รบชนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สูญเสียไปก็จะได้กลับคืนมา ทว่ามิเคยคิดเลยว่าจะพ่ายแพ้ ! มิหนำซ้ำยังแพ้แบบราบคาบอีกด้วย !

ในเมื่อพ่ายแพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงมิอาจนำกลับคืนมาได้อีก

“บัดนี้จะทำเยี่ยงไรต่อไปดีเล่า ? ” โจวสวินหัวหน้าตระกูลโจวดูแก่ลงไปอีกนับสิบปี

“ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือการกระทำของจักรพรรดิเต๋อจงที่มีต่อพวกเรา เพราะบัดนี้ราชวงศ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พระองค์ก็ดูเหมือนจะลืมพวกเราไปแล้วเช่นกัน”

เฉินฉือหัวเราะเย้ยหยันพลางเอ่ยว่า “บัดนี้ทั้งห้าแคว้นรวมกันเป็นหนึ่ง ในสายตาของพระองค์ พวกเราหาได้สำคัญไม่”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเล่า พวกเรามิจำเป็นต้องรอคอยเวลาหวนคืนราชวงศ์อู๋อีกแล้ว เยี่ยงไรเสียบัดนี้ก็กลายเป็นประเทศต้าเซี่ยไปแล้ว พวกท่านมีแผนการจะทำอันใดต่อไป ? ”

ก่อกบฏคงมิมีโอกาสอีกต่อไปแล้ว หากจักรพรรดิเต๋อจงลืมพวกเขาไปเสียสนิทก็คงจะดีมิน้อย บัดนี้พวกเขายังคงเสียวสันหลังวาบอยู่ทุกวี่ทุกวัน มิแน่ว่าหากวันใดที่จักรพรรดิเต๋อจงนึกถึงพวกเขาขึ้นมาได้แล้วหันปลายดาบของพระองค์มาที่พวกเขา ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด เนื่องจากพวกเขาทั้งหลายได้เข้าร่วมสงครามในครานี้ด้วย

ชีวิตช่วงนี้ช่างอดสูมากยิ่งนัก มิอาจข่มตาหลับได้เลย !

หลู่เฟิงหัวหน้าตระกูลหลู่ขอบตาดำคล้ำยิ่งกว่าถ่านเสียอีก

“หากจะสร้างเรือก็คงเป็นไปมิได้เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก ! ข้าครุ่นคิดแล้ว…หลังจากความวุ่นวายทุกสิ่งอย่างสงบลงก็คงเป็นการพัฒนาประเทศคราใหญ่ ข้าคงทำได้เพียงก่อตั้งธุรกิจเล็ก ๆ ขึ้น แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ในตระกูล พวกเราคงมิอาจเลี้ยงดูไว้ได้อีก วันรุ่งขึ้นข้าตั้งใจจะเดินทางไปยังเขตเหยาเพื่อบอกให้พวกเขาหาทางเอาตัวรอดกันเอง”

“ข้าก็มีความคิดเช่นเดียวกับหัวหน้าตระกูลหลู่ เหมืองต่าง ๆ ข้าก็ขายจนสิ้นแล้ว ในตระกูลเหลือเหล็กอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากจัดการขายเสร็จเรียบร้อยคงได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ข้าคงนำไปทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อประทังชีวิต”

เฉินฉือทำท่าทางหดหู่ หลังจากสงครามพ่ายแพ้ ท่านผู้นำตระกูลซึ่งเป็นบิดาของเขาก็ได้ปลิดชีพตนเองลงที่เรือนใหญ่โดยทิ้งคำเอ่ยเอาไว้เพียงหนึ่งประโยคว่า ‘ผ่านโลกมาโชกโชน ความร่ำรวยสูญสิ้น จงอย่าคิดถวิลหา ให้ทุกสิ่งกลายเป็นเมฆหมอกลอยล่องไป’

ท่านพ่อปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว

การที่ต้าเซี่ยรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้ฝีมือของฟู่เสี่ยวกวน แน่นอนว่าต้าเซี่ยจะเจริญรุ่งเรือง หากพวกเขาเลือกแก้แค้นก็มิต่างอันใดกับการรนหาที่ตาย มิสู้ปล่อยวางเสียดีกว่าหรือ แม้ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทว่าหากยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถสืบทอดเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลต่อไปได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว

บัดนี้เฉินฉือจะเอาอารมณ์จากที่ใดมาแก้แค้นอีกเล่า เขาเกรงกลัวฟู่เสี่ยวกวนจนเข้ากระดูกดำ

“ตระกูลเฉินของข้ายังพอมีเกลือเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ข้าคงนำไปแลกเป็นเงินและหาทางดิ้นรนต่อไป”

ในขณะนั้นเอง จินฮ่าวจือจากศาลากลางจินหลิงก็ได้พาทหารหลายสิบนายเดินตรงเข้ามา

เขายืนอยู่ที่ลานว่าง เผยอปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยว่า “อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่นี่ช่างดีมากยิ่งนัก ข้าจะได้มิต้องตามหาพวกท่านให้เหนื่อย”

เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา หัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามก็คุกเข่าลงกับพื้นดัง ‘ตุ้บ ! ’ พวกเขาต่างก็เหงื่อแตกหน้าซีดเผือดพลางนึกในใจว่า…ช่วงเวลาแห่งการชดใช้กรรมมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเขาจะโดนตัดศีรษะหรือไม่ ?

จักรพรรดิเต๋อจงเกิดนึกถึงพวกเขาขึ้นมาได้แล้วหรือเยี่ยงไร ?

ก็จริงอยู่ที่เดิมทีพวกเขาเคยให้สัญญากับจักรพรรดิเต๋อจงเอาไว้ว่าจะดูแลอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งสามแห่งนี้และคอยฟังคำสั่งอยู่ที่ราชวงศ์หยู

พวกเขามิควรฟังคำยั่วยุของที่ปรึกษาชาวเสียนหยุนผู้นั้นเลย !

พวกเขาหักหลังจักรพรรดิเต๋อจงและหันไปสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้หยวน กลายเป็นศัตรูกับจักรพรรดิเต๋อจงไปเสียได้

ฟู่เสี่ยวกวนจะปล่อยกบฏเยี่ยงพวกเขาได้อย่างไร !

แม้แต่ประตูเมืองจินหลิง พวกเขาก็คงมิอาจก้าวออกไปได้ นี่คือการกักบริเวณชัด ๆ และสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือรอคอยช่วงเวลาที่จักรพรรดิเต๋อจงจะยื่นพระหัตถ์มาจัดการกับพวกตน

“พวกท่านรีบลุกขึ้นเถิด จะคุกเข่าเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า ? ข้ามิได้นำพระราชโองการมาแต่อย่างใด”

“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ ข้าน้อยสมควรตาย ! ขอใต้เท้าได้โปรด… ได้โปรดไว้ชีวิตคนในตระกูลคนอื่นของข้าน้อยด้วยขอรับ ! ”

จินฮ่าวจือชะงักงันขึ้นมาทันใด เขามิรู้เรื่องแผนการตื่นจากจำศีลและชุนเหลย เขารู้เพียงแต่ว่าทั้งสามตระกูลใหญ่นี้ได้ขายอุตสาหกรรมในมือไปทั้งหมดแล้ว แม้จะขาดทุนก็ตาม

“อันใดคือสมควรตายกันเล่า ? ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของพวกท่าน ถึงกับยอมขายอุตสาหกรรมในมือแล้วซื้อหุ้นจากชาวบ้านกลับคืนมา จึงทำให้ปัญหาความวุ่นวายในเมืองจินหลิงถูกแก้ไขในที่สุด จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ข้าควรขอบใจพวกท่านเสียด้วยซ้ำ จงลุกขึ้นมาเถิด…ข้ามีเรื่องอื่นต้องแจ้งให้แก่พวกท่านทราบ”

เมื่อเฉินฉือได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด มิได้มาตัดศีรษะของพวกเขาหรอกหรือ ?

เอาเป็นว่ามิได้มาตัดศีรษะก็ดีแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “มิทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นขอรับ ? ”

เอาเถิด…พวกเขาอยากคุกเข่าก็ให้คุกเข่าไป จากนั้นจินฮ่าวจือก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านจ่งตูเยี่ยนเชิญพวกท่านทั้งสามไปยังจวน เพื่อเจรจาเรื่องสำคัญ เร็วเข้าเถิด…อย่าให้ใต้เท้าเยี่ยนต้องรอนาน ! ”

จินฮ่าวจือเอ่ยจบก็หันหลังเดินจากไปทันที ปล่อยให้ทั้งสามคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองหน้ากันด้วยความงุนงง

“ท่านจ่งตูเยี่ยนเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หลู่เฟิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย จากนั้นก็ค่อย ๆ คลายลงแล้วหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ ไปกันเถิดพวกเรา รีบไปเร็วเข้า…มิแน่ว่าอาจจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นก็เป็นได้ ! ”

การมิโดนตัดศีรษะให้หลุดออกจากบ่าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว หรือว่า…ดูเหมือนจะนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นทั้งสามคนก็รีบขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังพระราชวังทันที

จวนจ่งตูตั้งอยู่ในพระราชวังโดยใช้สำนักตรวจสอบพระราชโองการเดิมมาปรับปรุง

ช่วงนี้ชีวิตของเยี่ยนซือเต้าวุ่นวายเสียจนเท้าแทบมิแตะพื้น เสนาบดีกรมคลังต่งคังผิงเองก็ยุ่งมากเช่นกัน

เนื่องจากมีเรื่องให้จัดการมากมายเสียเหลือเกิน

นโยบายใหม่จำเป็นต้องส่งสารไปยังระดับเขตต่าง ๆ กฎหมายใหม่ต้องทำให้เป็นที่รู้จักของราษฎรทุกคน ในปีนี้สามในห้ามณฑลประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง แม้ว่าบัดนี้ราษฎรจะยังมีอาหารเพียงพออยู่ ทว่าอาหารส่วนนี้คงมิเพียงพอถึงปีหน้าเป็นแน่

“ฝ่าบาทตรัสว่าให้โยกย้ายเสบียงจากกว่างหนานตงเต้าและโม่โจวเต้ามาก่อน ซึ่งบัดนี้ได้ทำการลำเลียงทางเรือมาสู่ท่าเรือเขตเหยาแล้ว กรมคลังควรเร่งรวบรวมจำนวนผู้ประสบภัย อีกเรื่องหนึ่งคือการก่อสร้างตามโครงการอนุรักษ์น้ำ…”

ในขณะที่เยี่ยนซือเต้า ต่งคังผิงและปี้ตงเสนาบดีกรมโยธาธิการกำลังสนทนากันอยู่นั้น หัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามก็เดินเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“พวกเจ้านั่งลงก่อน…”

“ด้านกรมโยธาธิการ บัดนี้ให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสามมณฑลที่ประสบภัยแล้งนี้ ชาวบ้านจะได้มีงานทำและมีเงินทองจับจ่ายใช้สอย… ! ”