ตอนที่ 961 เชลยศึก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 961 เชลยศึก

เมฆดำเลือนหายไปแล้ว

แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมายังผืนมหาสมุทร

ท้องทะเลหวนคืนสู่ความสงบโดยมีเพียงควันดำที่ปล่อยออกมาจากปล่องควันของเรือรบระดับอู่เว้ยทั้งสามลำ

บัดนี้พวกเขากำลังไล่ตามเรือธงของศัตรู

การต่อสู้ที่เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงบัดนี้ จากจำนวนเรือรบไร้พ่าย 20 ลำเหลือเพียงเรือธงลำนี้ของปิซาร์โรเป็นลำสุดท้าย ด้านเรือรบระดับอู่เว้ยทั้งหกลำก็อับปางลงไปจนเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ในศึกยุทธนาวีครานี้กองทัพไร้พ่ายที่นำโดยเคานต์ปิซาร์โรได้แสดงถึงประสบการณ์รบบนท้องทะเลที่มีอยู่มากมายจนทำให้ไป๋ยู่เหลียนมิอาจรับมือได้ในชั่วขณะหนึ่ง

หากมิอาศัยประโยชน์จากเรือที่ต่อจากเหล็กเสียส่วนใหญ่และปืนใหญ่ ศึกครานี้ไป๋ยู่เหลียนจะต้องเสียหายหนักเป็นแน่

เรือรบอู่เว้ยที่เหลือเพียง 3 ลำนี้ แต่ละลำได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก โชคดีที่สิ่งสำคัญอย่างแรงขับเคลื่อนและอาวุธมิได้เสียหายอันใด

ดังนั้นเรือรบระดับอู่เว้ยจึงยังแล่นได้อย่างว่องไว

ทหารที่มีฝีมือระดับสูงของกองนาวิกโยธินเหล่านี้ ในตอนท้ายพวกเขาสละเรือที่จมลงแล้วเหยียบย่างบนเศษไม้หรือซากศพบนท้องทะเลเพื่อกลับไปให้ถึงเรือรบทั้งสามลำ ดังนั้นจึงสูญเสียไปเพียงสองพันกว่านายเท่านั้น ทว่าเย่ฉางเจียงมิยอมสละเรือรบหมายเลขสอง เขาจึงหายตัวไปตลอดกาลในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ไป๋ยู่เหลียนรู้สึกหดหู่จวนจะกระอักเลือด ทว่าเขามิทราบว่าเคานต์ปิซาร์โรก็กำลังกระอักเลือดอยู่เช่นกัน

เพราะนี่คือน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตของเขา !

จากฝูหล่างจีอันแสนห่างไกลจนมาถึงที่นี่ พวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงหนึ่งปีครึ่ง !

เพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือมายังตะวันออก ตลอดทางที่ผ่านมาก็จำมิได้แล้วว่าต้องพบเจอกับพายุมากมายเพียงใดและผ่านความลำบากมามากน้อยเพียงใด

พวกเราเดินทางมาถึงฝั่งตะวันออกแล้วจริง ๆ พวกเราได้เห็นผลไม้ลูกใหญ่แห่งมหาสมุทรอันห่างไกลนี้ ถึงขนาดที่ว่ามือของเราได้วางอยู่บนผลไม้ลูกนี้แล้ว เหลือเพียงเด็ดในขั้นตอนสุดท้าย พวกเราก็จะได้ครอบครองผลไม้ที่น่าดึงดูดนี้โดยสมบูรณ์แล้ว

ทว่าคาดมิถึงว่าจะได้พบกองทัพเรือที่ด้อยประสบการณ์ ดูสับสน แต่มิกลัวตายเข้ามาที่นี่ !

พวกมันมีเรือรบเพียง 6 ลำเท่านั้น !

เห็นได้ชัดว่ามีกระสุนจำนวนมากตกไปบนเรือของศัตรู แล้วเหตุใดเรือของพวกมันถึงมิอับปางลงเล่าทั้งยังเหลืออยู่อีก 3 ลำ ?

ขโมยไก่มิได้และยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ นี่มิใช่ว่าเขากำลังดวงซวยอยู่หรอกหรือ !

เหตุใดเรือรบ 3 ลำด้านหลังที่ถูกโจมตีจนย่อยยับยังสามารถแล่นได้ไวดังเดิมเล่า ?

เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกตามทันแล้ว เมื่อหันไปมองเรือสินค้า 12 ลำที่เต็มไปด้วยอัญมณี เงินและทองคำ… แรกเริ่มหากข้ายึดครองแคว้นหลิวมาเลยก็คงดีมิน้อย !

อาศัยมูลค่าของสินค้าบนเรือ 12 ลำนี้แล้วกลับไปยังฝูหล่างจี สมเด็จพระราชินีต้องทรงพระราชทานให้เราเป็นแกรนด์ดยุคอย่างแน่นอน !

นี่ข้ากำลังทำบ้าอันใดอยู่กัน ?

มีแผนที่เดินเรือแล้ว ดังนั้นก็กลับไปสร้างกองทัพเรือขนาดใหญ่อีกคราแล้วค่อยกลับมาถล่มฝ่ายตรงข้ามมิดีกว่าหรือ ?

ในยามนี้เคานต์ปิซาร์โรรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

ข้าได้เข้าใจถึงสองปัญหา ปัญหาที่หนึ่งคือระยะหวังผลปืนใหญ่ของกองเรือศัตรูไกลกว่าของตน ทั้งยังทรงอานุภาพมากกว่า กำลังทางทหารก็มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ปัญหาที่สองคือ… มันมิมีใบเรืออย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับแล่นตามมาได้อย่างรวดเร็ว !

เกรงว่ามันจะเกี่ยวข้องกับควันสีดำนั่น ทว่าก็มิทราบเช่นกันว่าคืออันใด

“เร่งความเร็วให้เต็มกำลัง เร็วกว่านี้ ! ”

“ท่านเคานต์… ท่าน ท่านดูบนท้องนภาสิ ! ”

เคานต์ปิซาร์โรเงยหน้าขึ้นมองทันใด ดวงตาพลันเบิกโพลง คาดมิถึงว่ากองนาวิกโยธินหลายพันนายจะสามารถบินอยู่บนท้องนภาได้ และบัดนี้กำลังร่อนลงมายังเรือธงของตน

“พระเจ้า ! วิชาเทพตะวันออก รีบหนีเร็วเข้า… ! ”

“ท่านเคานต์ พวกเรา…พวกเราจะหนีไปทางใดดีเล่า ? ”

เคานต์ปิซาร์โรหันหน้ากลับมา พบว่าระยะห่างจากเรือรบของศัตรูมีเพียง 3 จั้งเท่านั้น !

เหมือนว่าศัตรูมิมีความตั้งใจจะลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ตั้งใจชนเรือธงของข้าให้จมใช่หรือไม่ ?

“ยอมจำนน รีบยกธงยอมจำนนประเดี๋ยวนี้ ! ”

เคานต์ปิซาร์โรยังมิอยากตาย !

ต่อให้ไป๋ยู่เหลียนอยากบั่นศีรษะปิซาร์โรมากเพียงใด ทว่าฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยไว้ว่า หากพบกับกองเรือเหล่านั้นจำต้องนำกัปตันเรือของศัตรูกลับมาให้ได้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนต้องการแผนที่เดินเรืออันล้ำค่าแผ่นนั้น

ไป๋ยู่เหลียนจึงมิได้สั่งให้จมเรือธงของศัตรู

บัดนี้กัปตันเรือของศัตรูยกธงขาวแล้ว

เคานต์ปิซาร์โรที่อยู่บนดาดฟ้ายกสองมือขึ้นเหนือศีรษะ

เหล่าทหารของกองนาวิกโยธินที่ร่อนลงมาบนเรือรีบเข้าจับกุมทุกคนอย่างรวดเร็ว

เรือธงของไป๋ยู่เหลียนเปลี่ยนทิศทางไปแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทก จากนั้นก็หยุดอยู่ด้านหน้าของเรือรบไร้พ่าย

เขาเหินนภาขึ้นไป ทยานลงสู่เบื้องหน้าเคานต์ปิซาร์โร

“เจ้ามีนามว่าอันใด ? ”

“&*¥&”

คิ้วของไป๋ยู่เหลียนขมวดมุ่น เจ้าหมอนี่เอ่ยภาษานกอยู่หรือเยี่ยงไร

ปิซาร์โรยังพล่ามต่อมิหยุด เขาได้เปลี่ยนไปใช้อีกภาษาหนึ่ง ทว่าไป๋ยู่เหลียนก็ยังมีสีหน้างุนงง

ช่างมันเถิด ! ในเมื่อสื่อสารกันมิได้ก็มิสนแล้ว “มัดตัวคนผู้นี้เอาไว้ แล้วทิ้งคน 2,000 คนเอาไว้บนเรือลำนี้ รวมทั้ง 2,000 คนที่อยู่บนเรือสินค้า 12 ลำนั้นด้วย ส่วนพวกเราก็กลับกันเถิด”

ตกค่ำวันเดียวกันนั้น ไป๋ยู่เหลียนก็ได้พาเชลยศึก เงินทองและเครื่องประดับบนเรือ 12 ลำออกเดินทางกลับ

เขานั่งอยู่ในห้องบัญชาการของเรือธงและเริ่มสรุปความเสียหายจากศึกยุทธนาวีครานี้กับผู้บัญชาการทั้งห้าของตน

ปิซาร์โรและคนอื่น ๆ ถูกนำไปรวมไว้ที่ท้องเรืออันมืดมิด พวกเขาถึงได้ทราบว่าเดิมทีบนเรือลำนี้มิมีฝีพายเลย

นี่มันเป็นเรือแบบใดกัน ?

แรงขับเคลื่อนของมันมาจากที่ใด ?

ในยามนี้ปิซาร์โรมิมีความอับอายเลยสักนิด ที่ตนเองถูกจับเป็นเชลยศึก มีเพียงความสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

……

……

ฉากยามราตรีได้มาเยือนที่เมืองกวนหยุนแล้วเช่นกัน

แสงไฟภายในห้องทรงพระอักษรสว่างโร่ขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวน หนานกงอี้หยู่ เมิ่งฉางผิงและจัวอี้สิงที่เพิ่งกลับมาจากเมืองไท่หลินกำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะน้ำชา

สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างเคร่งเครียด ในมือของเขาถือรายงานที่ส่งมาอย่างเร่งด่วนจากสถานที่ห่างไกล 800 ลี้

เป็นเยี่ยนซือเต้าที่ส่งคนมา

นี่ก็ปลายเดือนสี่แล้ว ทว่าจิงซีเป่ยเต้า จิงซีหนานเต้า หวายหนานซีเต้า หวายหนานตงเต้าและเจียงหนานเต้า มีเพียงเจียงหนานเต้าเท่านั้นที่ฝนตกเล็กน้อย ส่วนด้านอื่น ๆ ยังมิมีอันใดดีขึ้น !

ส่วนอีกสี่มณฑลที่เหลือ พบว่าหวายหนานซีเต้ามีฝนตกปรอย ๆ มาสองสามวันแล้ว ทว่าชำระล้างมิได้แม้แต่ฝุ่น

เจียงหนานเต้าและสองฟากฝั่งหวายหนานถือว่ายังดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมีแหล่งน้ำชลประทาน การลงต้นกล้ามิได้ล่าช้าออกไป มันเทศก็ได้ปลูกแล้วเช่นกัน

ทว่าแหล่งน้ำส่วนมากของจิงซีเป่ยเต้าและจิงซีหนานเต้ากลับลดลงไปเรื่อย ๆ โดยมิมีท่าทีว่าจะหยุด ที่นาเกือบครึ่งของสองแห่งนั้นแห้งแตก เห็นได้ชัดว่าสายเกินไปสำหรับการเพาะปลูกแล้ว

“สามในสี่มณฑลนี้กำลังประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง ที่เรียกพวกท่านมาก็เพื่อแก้ไขปัญหานี้”

“ข้าคิดไว้เยี่ยงนี้ว่าบัดนี้ราคาธัญพืชของสี่มณฑลนั้นกำลังพุ่งสูง จะให้เป็นแบบนั้นมิได้เป็นอันขาด ต้องทำให้ราคาธัญพืชคงที่ ใต้เท้าเมิ่ง…ให้กรมคลังนำเสบียงอาหารที่ราชสำนักรวบรวมไว้เมื่อปีที่แล้วส่งไปยังสี่มณฑลข้างต้นและตั้งราคาขายที่ 10 อีแปะต่อ 1 ชั่ง”

“นอกจากนี้ราษฎรที่ไร้รายได้ในปีนี้ของทั้งสามมณฑลก็ให้กรมโยธาธิการประจำเมืองหลวงรองจินหลิงส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสามสถานที่นั้น… จำนวนเจ้าหน้าที่น่าจะมิพอ ดังนั้นกรมโยธาธิการเมืองกวนหยุนก็ต้องส่งคนไปเช่นเดียวกัน”

“เรื่องนี้ต้องจัดการโดยเร็ว รีบสำรวจทุ่งนาทั้งสามมณฑลโดยเร็ว ให้ทุกหน่วยงานของแต่ละเขตสร้างระบบชลประทานใหม่ให้แก่ราษฎร ข้ามีเงื่อนไข 1 ประการ…ซึ่งนั่นก็คืออย่างน้อยในแต่ละเขตต้องมีแหล่งเก็บน้ำ 1 แห่งเพื่อใช้สะสมน้ำ ข้าต้องการให้ที่นามีปัจจัยครบทั้งหมดและมีระบบระบายน้ำที่ดี”

“นี่เป็นเรื่องสำคัญมากยิ่งนัก เพราะการเกษตรมิสามารถอาศัยเพียงสภาพดินฟ้าอากาศได้ จำต้องมีการสนับสนุนจากราชสำนักด้วย”

“ระบบชลประทานแบบใหม่ที่สร้างขึ้นได้มีการทดลองแล้ว ทั้งยังสามารถรองรับการใช้น้ำในชีวิตประจำวันของราษฎรได้อีกด้วย หลังจากที่คนของกรมโยธาธิการทำการสำรวจเสร็จแล้ว ให้เข้าไปทุกหมู่บ้านเพื่อขุดเจาะแหล่งน้ำบาดาลให้แก่ราษฎร”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกไปทุกเรื่องจนหมดแล้ว เมิ่งฉางผิงจึงพยักหน้ารับ แต่แล้วเขาก็ลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เงิน…”

“มิต้องกังวลเรื่องเงิน ทองคำที่หลิวจิ่นนำกลับมาเมื่อปีก่อน ข้าสั่งให้นำไปหลอมแล้ว เครื่องประดับเหล่านั้นก็นำไปขายแล้วเช่นกัน ข้าทราบว่าส่วนนี้ยังมิเพียงพอ ข้าจะให้ทองคำท่านอีก 5,000 ตำลึง…เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

ดวงตาของทั้งสามเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เขียวคล้ำไปหมดแล้ว

จัวอี้สิงแสร้งส่งเสียงขึ้นมา “ทูลฝ่าบาท สองฟากฝั่งจิงตงและสองฟากฝั่งเหอเป่ยก็ทุกข์ยากเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมิดีไปทั้งร่างเสียแล้ว