ตอนที่ 960 สู้ด้วยชีวิต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 960 สู้ด้วยชีวิต

ท้องนภาค่อย ๆ สว่างขึ้นมาท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ดังกึกก้อง

ทว่าบัดนี้หัวใจของเคานต์ปิซาร์โรรู้สึกมืดมนมากยิ่งนัก

เรือรบไร้พ่ายสามารถเข้าสู่ระยะการยิงหวังผล 30 จั้งซึ่งเป็นระยะที่ดีที่สุดได้แล้ว ทั้งยังได้เปรียบในการยิงครั้งแรก เห็นได้ชัดเจนว่าเรือรบไร้พ่ายทั้งสิบสี่ลำที่ยิงกระสุนออกไปก็มีอย่างน้อย 12 ลูกที่ยิงโดนเรือของศัตรู !

เปลวเพลิงที่เกิดจากการระเบิดของกระสุนปืนใหญ่บนเรือรบของศัตรู สว่างไสวยิ่งกว่าดอกไม้ไฟเสียด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง !

เดิมทีเขาคิดว่าการโจมตีด้วยปืนใหญ่ในครานี้จะสามารถทำให้เรือรบของศัตรูอับปางได้อย่างน้อย 2 ลำ ทว่า…เรือรบฝ่ายศัตรูทั้งสองลำที่ถูกยิงกลับมิจมลงไป !

มิหนำซ้ำมันยังคงสง่าผ่าเผยและถล่มยิงกลับมายังกองเรือรบไร้พ่ายของเขาอีกหนึ่งรอบ

บางทีอาจจะเพราะเรือรบศัตรูทั้งสองลำตื่นตระหนกจนเกินไป จึงส่งผลต่อความแม่นยำในการยิง รอบนี้ไร้ซึ่งความแม่นยำ กระสุนส่วนมากจึงตกลงไปในทะเลโดยรอบเรือ ทว่ากระสุนปืนขนาดใหญ่ก็ได้ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“คำสั่ง ! ระดมโจมตีอย่าหยุด ! ”

เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมาอีกระลอก เปลวไฟลุกโชนส่งเสียงคำรามดังสนั่นท้องนภา !

“รีบรายงานไปยังเรือธง เรือรบอู่เว้ยหมายเลขสามถูกไฟไหม้ลุกลาม ต้องการกองคุ้มกัน ! ”

เย่ฉางเจียงกัปตันเรือรบอู่เว้ยหมายเลขสามตะโกนเสียงดังไปยังผู้ส่งสัญญาณธง จากนั้นก็รีบลงมาจากแท่นบัญชาการบนดาดฟ้าชั้นสามทันที พลางใช้มือป้องปากและตะโกนออกมาท่ามกลางสายลม “กองพลที่หนึ่งจูเซี่ยงหยาง จงนำทหารกองพลที่หนึ่งของเจ้าทั้งกองไปดับไฟ ! ”

จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปที่ห้องควบคุมเรือชั้นสองแล้วตะโกนเสียงดังอีกคราว่า “กองพลที่สอง กองพลที่สาม พวกเจ้าพยายามกันหน่อยเถิด เล่นอันใดกันอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? สิ้นเปลืองกระสุนของข้าสิ้นดี ! เล็งเป้าให้แม่นแล้วค่อยยิงมิได้หรือ ? ที่พวกเจ้าฝึกฝนมามิมีประโยชน์อันใดเลยหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

ต่อมาเขาก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องควบคุมเรือชั้นหนึ่ง ที่ชั้นล่างสุดนี้คือทหารกองพลที่สี่และห้า “เซี่ยงหนาน ผู่ต้าขวาจือ พวกเจ้ามัวทำอันใดกันอยู่ สั่งลูกน้องของพวกเจ้าเล็งให้แม่นหน่อย…”

เมื่อเสียงของเขาสิ้นสุดลง กระสุนอีกลูกหนึ่งก็ถูกยิงออกมาและตกไปที่ดาดฟ้าด้านหน้า เรือรบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงหลังสิ้นเสียงระเบิด ศีรษะของเย่ฉางเจียงก็กระทบเข้ากับผนังเรือ โลหิตไหลออกมาจากหน้าผากเป็นทางยาว ทว่าเขามิมีเวลาสนใจมัน จากนั้นก็รีบหันหลังแล้ววิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้นสามทันที

แม้เขาจะมีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองพลที่สามแห่งกองทัพเรือที่หนึ่ง ทว่าบัดนี้ลูกเรือในลำหาใช่ลูกน้องเก่าที่คุ้นเคยเพราะพวกเขาล้วนเป็นทหารจากกองนาวิกโยธินทั้งสิ้น

กองนาวิกโยธินเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกเมื่อยามฝึกหัด พวกเขารู้วิธีการยิงปืนใหญ่ ทว่าพวกเขาหาได้เชี่ยวชาญไม่

เย่ฉางเจียงจึงหงุดหงิดมากยิ่งนัก สงครามครานี้พวกเขาสู้ได้น่าอนาถเสียเหลือเกิน

หากเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเอง การบรรจุกระสุนในแต่ละคราจะใช้เวลาเพียง 60 ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ทว่าบัดนี้อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลามากเป็นสองเท่าตัว อีกทั้งยังยิงได้มิแม่นยำเอาเสียเลย

เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมอง ทันใดนั้นก็เห็นว่าเรือของศัตรูทั้งห้าลำกำลังหันปากกระบอกปืนชี้ไปที่เรือธงของกองเรือรบอู่เว้ย !

นั่นคือเรือของผู้บัญชาการกองทัพเรือ…ไป๋ยู่เหลียน !

เย่ฉางเจียงตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็รีบตะโกนออกมาเสียงดังว่า

“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป พุ่งโจมตีอย่างสุดกำลัง ทำให้เรือของศัตรูทั้งห้าลำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอับปางลงให้ได้ ! ”

“ท่านแม่ทัพ…”

“เร็วเข้า ! ”

ทหารภายใต้บัญชาได้ส่งสัญญาณออกไป เมื่อลูกเรือในห้องโดยสารได้รับสัญญาณ จังหวะนี้เครื่องจักรไอน้ำก็ทำงานเต็มกำลัง ที่ปล่องมีไฟควันลอยออกมาเป็นคลื่น หัวเรือตั้งตรงมุ่งไปยังเรือของศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

เรือรบอู่เว้ยหมายเลขหนึ่งของไป๋ยู่เหลียนได้ยิงกระสุนรอบแรกออกไปแล้ว ในขณะที่กำลังหันหัวเรือเพื่อกลับด้านเป็นจังหวะที่เว้นว่าง จึงทำให้ฝ่ายศัตรูสังเกตเห็นข้อบกพร่องขนาดใหญ่นี้ได้

ส่วนเรือรบอู่เว้ยลำอื่นในขณะนี้กำลังต่อสู้อยู่กับเรือของศัตรูลำอื่นเช่นกัน มิมีเรือลำใดสามารถมาคุ้มกันการกลับลำของเรือหมายเลขหนึ่งได้เลย นี่คือข้อบกพร่องในการฝึกซ้อม เนื่องจากการถูกศัตรูจับข้อบกพร่องได้ระหว่างการต่อสู้ถือเป็นอันตรายถึงชีวิต

ทว่าไป๋ยู่เหลียนยังคงยืนอย่างสงบบนแท่นบัญชาการ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมองสถานการณ์สนามรบในปัจจุบัน และได้ออกคำสั่งไปว่า “เร่งความเร็วอย่างเต็มกำลัง ! พลแม่นปืน เตรียมพร้อม… ! ”

เรือรบอู่เว้ยหมายเลขหนึ่งกำลังกลับลำเรือด้วยความเร็วสูงสุด ทว่าตัวเรือกลับเอนขึ้นมากะทันหัน ลูกเรือมากมายถูกเทไปกองรวมกันมุมหนึ่งของเรือ จากนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแล้วกลับไปยังตำแหน่งของตนเองอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของปิซาร์โรปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา จากการถูกโจมตีเมื่อครู่ทำให้เรือรบไร้พ่ายอับปางลงถึง 2 ลำ ส่วนบัดนี้…

บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เรือฝ่ายศัตรูต้องอับปางลงบ้าง !

ฝั่งศัตรูมีธงขนาดใหญ่แขวนเอาไว้บนหัวเรือรบ ธงนั้นปลิวไสวไปมาท่ามกลางสายลมแห่งท้องทะเล

ปิซาร์โรจ้องมองไปยังธงผืนนั้น เห็นได้ชัดว่าด้านบนมีรูปดาบและนกอินทรีกางปีกอยู่

มุมปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็ต้องหุบยิ้มลงทันใด…

เขาใช้กล้องส่องทางไกลมองออกไป พบว่าเรือรบของศัตรูลำหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเรือรบไร้พ่าย 5 ลำ ซึ่งได้เข้ามาในระยะยิงหวังผลแล้ว !

ให้ตายเถิด !

มินึกถึงชีวิตกันเลยหรือไร ?

“มิต้องสนใจ โจมตีเรือของศัตรูให้อับปางให้ได้ ! ”

ผู้ส่งสัญญาณเพิ่งส่งสัญญาณธงออกไป ทันใดนั้นปิซาร์โรก็พบว่าปืนใหญ่ 2 กระบอกบนดาดฟ้าของเรือรบลำนั้นก็ปล่อยกระสุนออกมาทันที

‘ตู้ม…ตู้ม… ! ’

เมื่อสิ้นเสียงปืนใหญ่ที่ยิงออกไปทั้งสองนัด พบว่ายิงถูกเรือรบลำแรกสุดของกองเรือรบไร้พ่าย

เรือลำที่ถูกยิงขาดออกเป็นสองท่อนทันที จากนั้นก็ระเบิดจนกระจัดกระจาย ชิ้นส่วนของไม้กระเด็นลอยขึ้นสู่ท้องนภา ส่งผลให้เรือรบไร้พ่ายอีก 4 ลำต้องหยุดลงชั่วขณะ

และชั่วอึดใจนั้นเอง ปืนใหญ่ในห้องโดยสารชั้นสองของเรือรบอู่เว้ยก็ยิงออกมาด้วยมุมเอียงสูงสุด

กระสุนนับสิบลูกหาได้ยิงถูกเรือรบไร้พ่ายทั้งสี่ลำไม่ เห็นได้ชัดว่าเรือทั้งสี่ลำละทิ้งการโจมตีเรือธงแล้ว

พวกมันตกอกตกใจ จนต้องหันหัวเรือกลับ !

พวกขี้ขลาด !

เคานต์ปิซาร์โรเคียดแค้นมากยิ่งนัก เขากัดฟันกรอด “ออกคำสั่งให้พวกมันโจมตีเรือธงของศัตรู ! ”

ท่ามกลางน้ำพุขนาดใหญ่และควันหนาทึบ เรือรบไร้พ่ายทั้งสี่ลำจึงมองมิเห็นสัญญาณว่าให้โจมตีเรือธงของฝั่งตรงข้าม พวกเขายังคงหันปลายกระบอกปืนเล็งไปยังเรือของศัตรูลำอื่นที่เคลื่อนเข้ามา

“ท่านแม่ทัพ… ! ”

‘ตูม… ! ’ กระสุนลูกหนึ่งยิงโดนห้องส่งสัญญาณที่ชั้นสาม

‘ตู้ม… ! ’ กระสุนถูกยิงออกมาอีกลูกหนึ่งซึ่งตกไปที่ชั้นสอง

‘ตู้มตู้มตู้ม… ! ’

เรือรบอู่เว้ยหมายเลขสองอยู่ห่างจากเรือรบศัตรูทั้งสี่ลำเพียงแค่ 10 จั้ง

ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกกระสุนโจมตีนับสิบลูก !

ทว่าก็ยังมิจม !

แม้ว่าจะถูกเผาไหม้จนไฟลุกโชน!

ทว่าห้องบังคับมิได้ถูกโจมตีนี่ บัดนี้จึงเหมือนกับลูกไฟขนาดใหญ่กำลังพุ่งไปยังเรือรบไร้พ่ายโดยมิเกรงกลัวต่อความตาย

มันกระแทกเข้ากับตัวเรือรบไร้พ่ายลำแรก ท่ามกลางความตกตะลึง กัปตันของเรือรบไร้พ่ายลำที่หนึ่งเห็นว่าเรือของศัตรูกำลังกระแทกเข้าที่มุมเรืออย่างดุเดือด

‘ปึง… ! ’

‘โครม… ! ’

เรือรบไร้พ่ายลำนี้ถูกเรือรบอู่เว้ยหมายเลขสองกระแทกจนหักเป็นสองท่อน !

พลังอันแข็งแกร่งของมันถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง มันกระแทกเรือรบไร้พ่ายลำนี้และกำลังพุ่งเข้าใส่กองเรือของศัตรู

ไป๋ยู่เหลียนตะโกนออกมาเสียงดังว่า “นั่นคือเย่ฉางเจียง…ออกคำสั่ง เรือรบทุกลำโจมตีเพื่อแก้แค้นให้เย่ฉางเจียง ! ”

เรือรบอู่เว้ยทั้งห้าลำมองเรือรบอู่เว้ยหมายเลขสองของเย่ฉางเจียงพุ่งเข้าใส่กองเรือรบของศัตรู พวกเขาบังเกิดความโกรธแค้นในใจมากยิ่งนัก ชั่วอึดใจนี้ความโกรธก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงและตกลงไปในกองเรือรบของศัตรู เสียงปืนดังขึ้นอีกครา ท้องนภาสั่นสะเทือน เรือของศัตรู 3 ลำถูกยิงจนสงบลง

ปิซาร์โรก็ได้ตระหนักแล้วเช่นกัน

เรือรบไร้พ่าย 10 ลำที่เหลืออยู่กำลังยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่

แต่เขากลับพบว่าเรือของศัตรูช่างน่าเกรงขามมากยิ่งนัก

พวกมันช่างว่องไวเสียจริง !

เรือรบของตนมิอาจหนีการโจมตีจากศัตรูได้เลย

ปืนใหญ่ของเรือรบศัตรูก็น่ากลัวมากเช่นกัน มันสามารถยิงมาโดนเรือรบไร้พ่ายในขณะที่ไล่ตามได้ด้วย

หัวใจของเขาค่อย ๆ เยือกเย็นขึ้น เมื่อเห็นว่าเรือรบไร้พ่ายเหลือเพียงแค่ 6 ลำ เขาจึงตัดสินใจคราสุดท้ายว่า…

“ออกคำสั่ง ! จงสู้ด้วยชีวิต ! ”