ตอนที่ 2149 ทัพสวรรค์ที่สามสิบหกแดนพฤกษา

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ที่พูดมาคือความจริง! แต่ใครจะรู้ว่าทางด้านเผ่ามารนั้นจะมีวิธีการอะไรที่เรานึกไม่ถึงหรือไม่ หากร่างเดิมบรรพชนมารแรกเริ่มเยื้องกรายลงมาแล้วจริงๆ สามารถเพิกเฉยต่อแผนการที่พวกเรากำหนดได้ แต่พวกเรากลับไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายในเผ่าได้ ไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดแล้วหรอกหรือ” ดวงตาของมั่วเจี่ยนหลีสั่นไหว และเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล

“ศิษย์พี่มั่วเอ่ยเช่นนี้ ต้องระมัดระวังขึ้น เผ่าพฤกษาทางนี้ก็ไม่มีวิธีที่จะยืดยื้อต่อไปแล้ว! ข้าสองคนต้องรีบกลับไปที่เผ่าเท่านั้น” ไม่นานหลังจากที่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวครุ่นคิดดีแล้ว จำเป็นต้องเห็นด้วยกับระดับอนุภาพ

“ท่านอาวุโสทั้งสอง ชนรุ่นหลังรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่บรรพชนมารแรกเริ่มจะลงมานั้นถือว่าไม่มากนัก ถึงเวลานั้นหากปรากฏออกมาจริง ก็เดาว่าคงไม่เกินสามหรือสองตน” หานลี่ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยแทรกขึ้น

“อ้อ สหายหานเอ่ยเช่นนี้ จะต้องรู้อะไรบางอย่าง ใช่แล้ว ท่านเพิ่งกลับมาจากแดนมาร ควรจะเข้าใจสถานการณ์ฝั่งทางนั้นมากทีเดียว” มั่วเจี่ยนหลีได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ทันใดก็คิดอะไรออก ตาทั้งสองข้างเป็นประกายขึ้น

สีหน้าบรรพชนเอ๋าเซี่ยวปรากฏความสงสัยแวบขึ้น

“ไม่รู้ว่าท่านอาวุโสทั้งสองท่าน รู้เรื่องภัยใหญ่ในแดนมารมากน้อยเพียงใด?” หลังจากที่หานลี่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ถามไปหนึ่งประโยค

“ภัยใหญ่ของแดนมาร? ในตอนก่อนที่แดนมารจะลุกล้ำเข้ามาแดนวิญญาณ ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่มีเฉพาะบางข่าว แต่ก็ไม่ได้เก็บมารวบรวมไว้” ดวงตาทั้งคู่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมตอบกลับ

“ไม่ผิด ตอนนั้นที่ข้าไปในแดนมาร ก็เคยได้ยินบางอย่างที่เกี่ยวข้องจากปากของจอมมารตนหนึ่ง แต่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องจริงๆ นั้น กลับคล้ายกับว่ามีแค่บรรพชนเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะเข้าใจ เป็นไปได้หรือไม่ที่สหายหานเข้าสู่แดนมารครั้งนี้ รู้เรื่องสถานการณ์ภัยใหญ่ของแดนมาร” มั่วเจี่ยนหลีถามขึ้นด้วยความดีใจ

“ระหว่างเข้าไปในแดนมารของชนรุ่นหลังครั้งนี้ เป็นความโชคดีจริงๆ ที่ได้รับรู้เรื่องบางบางส่วนเกี่ยวกับภัยครั้งใหญ่ของแดนมาร ท่านผู้อาวุโสทั้งสองคนเคยได้ยินชื่อนางพญาหนอนข้าว?” หานลี่เอ่ยอย่างสุภาพก่อนสองประโยค และจากนั้นจึงถามกลับอย่างตรงไปตรงมา

“นางพญาหนอนข้าว มันคือะไร ผู้อาวุโสไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ สหายเอ๋าเซี่ยว ท่านอาจจะรู้จัก?” หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีนึกคิดไปมา ส่ายหน้าด้วยความฉงน

“ฟังดูแล้วมีความคุ้นหูอยู่บ้าง เหมือนกับว่าเคยได้ยินก่อนหน้านี้มานานแล้ว แต่สิ่งสำคัญนั้นมันค่อนข้างนานมากแล้ว จำไม่ได้แล้ว” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวคิ้วขมวดขึ้นมาแวบหนึ่ง คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก

 “ท่านอาวุโสทั้งสองจะไม่รู้จักนางพญาหนอนข้าวนี้ก็ไม่แปลก! ”

“เมื่อท่านเอ่ยเช่นนี้ ตัวบรรพชนอาวุโสในที่สุดก็คิดขึ้นได้ หรือว่านางพญาหนอนข้าวก็คือปีศาจหนอนตัวนั้นที่จะกลืนกินพลังของโลกในตำนานตั้งแต่โบราณกาล เป็นไปได้ไหมที่หนอนตัวนี้จะปรากฏตัวอีกครั้ง และภัยใหญ่ของแดนมารมีความเกี่ยวข้องกันกับหนอนตัวนี้?” ในที่สุดบรรพชนเอ๋าอาวุโสเซี่ยวก็นึกอะไรบ้างอย่างขึ้นมา ได้ ทว่าสีหน้าก็พลันขาวซีดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“กลืนกินพลังของโลก? ศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยว ทำไมปีศาจหนอนจึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้! ยิ่งเป็นวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านั้นยิ่งจะน่ากลัวไปใหญ่! ท่านอธิบายให้ข้าฟังอย่างละเอียด” มั่วเจี่ยนหลีสูดลมหายใจเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“วิญญาณบริสุทธิ์เทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย ในสมัยโบราณกาล วิญญาณบริสุทธิ์แข็งแกร่งที่ถูกปีศาจหนอนตนนี้กลืนกิน ไม่สิบดวงก็เจ็ดแปดดวง ข่าวลือเกี่ยวกับมันเพื่อท่าน นี้คือก่อนที่ข้ายังไม่ทันเข้าสู่ระดับมหายาน ตอนที่เดินทางไปยังแผนดินใหญ่อื่นๆ ได้เห็นจากคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง กล่าวว่านางพญาหนอนข้าวกำเนิดใน…”

ถึงแม้ว่าสีหน้าของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวจะดูไม่แน่ใจ ทว่าปากกลับเล่าเรื่องของนางพญาหนอนข้าวได้โดยไม่สับสน เนื้อเรื่องทั่วไปเหมือนกับที่หานลี่ได้ยินมาจากปากจื่อหลิงในตอนแรก มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณเล่มนี้ ตั้งแต่เรื่องหลังจากการต่อสู้ระหว่างนางพญาหนอนข้าวและเซียนบนโลกได้หายไป และไม่มีการเอ่ยถึงการปิดผนึกไว้แม้แต่น้อย

หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีฟังจบ สีหน้าก็เริ่มดูยากมากยิ่งขึ้น

“ภัยครั้งใหญ่แดนมารมีความสัมพันธ์กับปีศาจหนอนตัวนี้! แต่หลังจากที่ข้าได้รับข่าว นางพญาหนอนข้าวตนนี้ก็หายไป และถูกผนึกไว้ที่ไหนสักที่ในแดนมาร ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมันได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ขณะนี้ดูเหมือนว่ามันกำลังโจมตีกับผนึกอยู่ และตอนนี้เผ่ามารเกินกว่าครึ่งล้วนใช้พลังปราบปรามหนอนตัวนี้ ดังนั้นข้าคิดว่าเป็นไปได้ที่บรรพชนมารแรกเริ่มเผ่ามารสามตนนั้นจะลงมาที่แดนวิญญาณ แต่ก็ไม่สูงนัก” หานลี่ตอบกลับอย่างจริงจังและรอบคอบ

“ถ้าหากปีศาจหนอนดึกดำบรรพ์นี้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถึงเวลานั้นเกรงว่าไม่เพียงแต่แดนมารเองที่ซวย แม้แต่แดนวิญญาณของพวกเราก็อาจจะถูกปีศาจหนอนตัวนี้กลืนกิน เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวพึมพำ และทุกคนก็ตกอยู่ในความคิด

 “สหายหาน ข่าวนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วหรือยัง สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง?” มั่วเจี่ยนหลีถามขึ้นด้วยความสุภาพหนึ่งประโยค

 “ที่มาของข่าวนี้ น่าจะไม่มีปัญหา ชนรุ่นหลังมั่นใจอย่างน้อยเจ็ดแปดส่วนเชื่อว่าเป็นความจริง” หลังจากที่หานลี่คิดไปคิดมา จึงได้เอ่ยขึ้นดังนี้

 “เจ็ดแปดส่วน งั้นเกินกว่าครึ่งเป็นความจริง แต่เพื่อป้องกันไว้ ยังต้องให้คนเข้าไปในแดนมาร ค่อยยืนยันอย่างเป็นทางการอีกที ศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยว ท่านคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาของมั่วเจี่ยนหลีประกายขึ้น แล้วจึงเอ่ยถามบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวขึ้นหนึ่งประโยค

 “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องสำรวมมากขึ้นจริงๆ จำเป็นจะต้องส่งคนไปตรวจสอบความจริง ข้าจะส่งคนที่มีความสามารถแทรกซึมเข้าไปในแดนมารเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ หากเป็นเรื่องจริง เช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว ว่าทำไมแดนมารถึงพยายามทำลายที่จะเปลี่ยนหลักฐานที่มั่นของมัน เผ่ามารส่วนใหญ่กำลังเตรียมหาทางออกหลังจากนี้ วางแผนที่จะสร้างอาณาเขตสองสามแห่งสำหรับพวกมันในแดนวิญญาณของเรา มิน่าล่ะถึงได้เริ่มพยายามสุดกำลังกันแล้ว” บนใบหน้าของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวปรากฏเจตนาร้ายออกมาแวบหนึ่ง

 “ดูจากจำนวนเผ่ามารที่ปรากฏออกมาในแดนวิญญาณตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าสามบรรพชนมารแรกเริ่มของเผ่ามารยังไม่ละทิ้งแผนการที่จะปราบปรามนางพญาหนอนข้าว  ไม่อย่างนั้นพลังที่ปรากฏในแดนวิญญาณก็คงจะไม่น้อยถึงเพียงนี้ แผนพวกมันที่จะเข้ายึดครองเผ่าของพวกเรา คาดการณ์ว่าอาจเป็นแค่หนึ่งในวิธีการของพวกมันเท่านั้น ” มั่วเจี่ยนหลี่เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง

 “แต่ในทำนองเดียวกัน หากเผ่ามารปรากฏกองกำลังเสริมทัพใหม่จากเผ่าของพวกเราแล้วล่ะก็ หมายความว่าทางด้านเผ่ามารนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถผนึกนางพญาหนอนข้าวแล้ว และพวกเราควรกลับเข้าไปในเผ่าเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวม ถ้าหากเผ่ามารถ่ายทอดพลังส่วนใหญ่ของพวกมันเข้ามาในแดนวิญญาณ แม้ว่าเผ่าพวกเราจะร่วมมือกัน ก็ไม่อาจสามารถต้านทานการโจมตีของเผ่ามารได้เต็มกำลัง จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการอื่น” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างคิดถึงการณ์ไกล

 “มีสิ่งใดให้ต้องคิดมาก ในเมื่อคราวนี้เผ่ามารเกี่ยวข้องกับนางพญาหนอนขาว ไม่สามารถที่จะให้แค่พวกเราไม่กี่เผ่ามารับผิดชอบเพียงลำพัง พวกเราแค่ต้องปล่อยข่าวออกไป ข้าคือมหายานของเผ่าวิญญาณในเผ่าที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ยังจะให้ข้านั่งอยู่นิ่งได้อย่างไร” มั่วเจี่ยนหลี่กล่าวทันใดพร้อมกับรอยยิ้มออกมา

 “อืม เป็นอุบายที่ดีจริงๆ” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรบมือหัวเราะขึ้นมา

 “แต่ทั้งหมดนี้ ล้วนต้องสร้างจากพื้นฐานความจริงเรื่องของนางพญาหนอนข้าว ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องกลับไปที่เผ่าทันที และพวกเราไม่อาจเพิกเฉยทอดทิ้งทางด้านเผ่าพฤกษาได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราต้องพยายามอย่างหนักถึงจะรวมกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาได้ เกรงว่าจะพังทลายสลายลงในทันที มันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะถูกเผ่ามารจะโจมตี” ใบหน้าของมั่วเจี่ยนหลีแสดงสีหน้าครุ่นคิดและเอ่ยขึ้น

 “ในเมื่อเช่นนี้ ก็ทำตามความเห็นของเผ่าพฤกษาได้ และต่อสู้กับเผ่ามารที่นี่ พวกเราจะช่วงชิงโดยไม่สนว่าเผ่ามารจะได้บาดเจ็บไม่ว่าต้องแลกด้วยวิธีใดก็ตาม หลังจากนั้นพวกเราก็มีข้ออ้างที่จะกลับไปที่เผ่าแล้ว ไม่แน่ปีศาจอาวุโสซังของเผ่ายักษา ก็คิดเช่นนั้น เผ่ายักษามีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่อยู่ในระดับมหายาน และข้าเองก็ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเผ่าเลย ในช่วงนี้ พวกเราทางนี้เรารอข่าวภัยใหญ่ของแดนมารและนางพญาหนอนข้าวเงียบๆ อีกด้านก็เรียกสอบสวนในเผ่า เริ่มรวบรวมกำลังคนบางส่วนที่กระจัดกระจาย ถ้าหากเผ่ามารโจมตีจริงๆ พวกเราคงทำได้เพียงรักษาตัวเองก่อนเท่านั้นถึงจะสามารถคุยเรื่องอื่นๆ “ บรรพชนอาวุโสเอ๋าเสี่ยว กล่าวอย่างเด็ดขาด

 “เอาล่ะ เช่นนั้นก็ทำตามความเห็นของสหายเอ๋าเซี่ยว ในการต่อสู้กับเผ่ามารครั้งนี้ พวกเราทำได้แค่ชนะเท่านั้นแพ้ไม่ได้ เกรงว่าจะต้องขอกำลังสนับสนุนจากสหายหานและนักพรตเซี่ย แต่เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง สหายหานก็สามารถกลับไปที่เผ่าได้เลยทันที ผู้อาวุโสเห็นว่าพลังยุทธ์ของท่านบริสุทธิ์นิ่งและหนาผิดปกติไม่เหมือนกับเพิ่งเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์เลยสักนิด เพียงแค่พยายามฝึกฝนตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วล่ะก็ หากต้องการเข้าสู่ระดับมหายานก็คงจะเร็วกว่านักพรตคนอื่นๆ อยู่มากโข หากท่านสามารถก้าวสู่มหายานได้เร็วกว่านี้ เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจของเราทั้งสองจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ส่วนหลานสาวหลิงเอ๋อร์ก็เช่นเดียวกัน” สุดท้ายมั่วเจี่ยนหลีก็ได้ข้อสรุป

บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเห็นเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นด้วย

ตราบใดที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารของทางด้านเผ่าพฤกษาไม่ใช่บรรพชนแรกเริ่มที่เข้ามา เขาเกรงกลัวต่ออยู่แล้ว

มั่วเจี่ยนหลีเห็นว่าท่านทั้งสองไม่มีใครคัดค้าน และมีสีหน้าผ่อนคลาย ขณะนี้บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ก็นึกเรื่องบางอย่างได้และเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง:

  “คราวนี้เผ่าพฤกษากล้าเสนอแผนการโต้กลับ นอกจากการสนับสนุนจากปีศาจอาวุโสซังไห่แล้วควรจะต้องอาศัยสิ่งอื่นบ้าง ท่านปีศาจอาวุโสมั่ว ท่านอยู่ในอาณาจักรสืบสวนตลอดได้ยินอะไรมาบ้าง”

 “ผู้อาวุโสได้สืบสวนอย่างชัดเจนแล้ว ทันทีที่ข่าวการกำลังเสริมของเผ่ามารแพร่กระจาย ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาก็ดูเหมือนจะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางรั้งพวกเราไว้ที่นี่ได้ ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องตัดใจ และทำได้เพียง นำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์สำรองทั้งสามสิบหกของเผ่าพฤกษาออกมาทั้งหมด และเตรียมที่จะตั้งทัพใหญ่ทัพแรกของเผ่าพฤกษา ‘ทัพสวรรค์สามสิบหกแดนพฤกษา’ เพื่อต่อสู้กับเผ่ามาร มีกองทัพแปลกประหลาดนี้ และหากพวกเราและซังไห่ร่วมมือกันออกฝีมือแล้วล่ะก็ หากคุณลงมือ ตราบใดที่พลังของเผ่ามารไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้น่าจะมากกว่าเจ็ดสิบส่วน” มั่วเจี่ยนหลีอธิบายอย่างละเอียด

 “ทัพสวรรค์สามสิบหกแห่งเผ่าพฤกษา ข้ารู้ว่าการก่อตั้งทัพนี้ ได้ยินมาว่ารูปแบบทัพนี้ได้สร้างขึ้นโดยเลียนแบบเทพอาณาจักรวิญญาณสวรรค์ของแดนเซียนเบื้องบนออกมา ว่ากันว่ามีพลังสังหารระดับมหายานอันน่าสะพรึงกลัว แต่ว่าเผ่าพฤกษาไม่เคยใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียวมาตั้งแต่ก่อตั้ง และก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” ดวงตาบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวแปลกไปแวบหนึ่ง และตอบกลับอย่างช้าๆ

 “เฮ้อๆ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เผ่าพฤกษายอมที่จะให้นำทัพหนุนพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบหกต้น เห็นได้ว่าพยายามทำอย่างสุดกำลังจริงๆ พวกเราก็ถือโอกาสจากสถานการณ์เอาชนะเผ่ามาร และสามารถให้เวลาในการช่วงชิงให้กับพวกเราสองเผ่าได้” มั่วเจี่ยนหลี่ยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่าไม่สนใจ

 “หึๆ นี้ก็มันก็ใช่!” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน