ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 5 เพื่อนคนหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“โอกาสอะไร”

“โอกาสให้เจ้าเลิกล้มการขัดขืนที่ไร้ความหมายนี้ เพื่อไม่ให้คนอื่นมีเหตุผลมาสังหารเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถอยู่ในสำนักฝึกหลวงต่อไปได้ อยู่ในจิงตูต่อไปได้ ช่วยงานฝ่าบาท”

“ข้าไม่เข้าใจ”

“จักรพรรดินีมารพูดถูกในคืนนั้น อ๋องเหล่านั้นไม่อาจล้อเล่นด้วยได้ และตระกูลเทียนไห่ก็คงไม่ยอมทำตัวดีตลอดไป ฝ่าบาทจะนั่งบัลลังก์อย่างมั่นคงได้หรือไม่นั้นยังเป็นปัญหา”

“หรือว่าท่านไม่เชื่อในตัวท่านอาจารย์”

“ความภักดีของเจ้าสำนักซางไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แต่ข้าไม่รังเกียจหากฝ่าบาทจะมีผู้ช่วยเพิ่มอีกคนหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจเจตนาของหลินกงกงอยู่บ้าง

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของเขากับสำนักฝึกหลวงอย่างแท้จริง แต่เขาไม่พูดอะไรออกมา

หลินกงกงแนะนำ “รับราชโองการไป ส่งมอบร่างเทียนไห่มา ประกาศจุดยืนให้ทั่วโลกได้รู้ และอยู่ข้างฝ่าบาทต่อไป”

หลังจากเงียบไปนาน เฉินฉางเซิงก็ถามขึ้น “เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น”

หลินกงกงตอบ “เพราะฝ่าบาทต้องการให้เจ้าช่วย”

หลังจากเงียบไปนาน เฉินฉางเซิงก็ถามขึ้นอีก “ทำไมข้าต้องช่วยเขา”

สีหน้าหลินกงกงเย็นเยียบขึ้นมา “มีแต่ทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะรับภาระความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก คุณธรรมระหว่างเจ้าชีวิตและขุนนางได้”

“ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก…แน่นอนย่อมมีอยู่”

เฉินฉางเซิงยืนขึ้น วางมือขวาไว้บนขอบหน้าต่าง ตามองราวกับว่าภาพนอกหน้าต่างเศร้าสร้อยลงทีละน้อย เขาถามขึ้นช้าๆ “แต่คุณธรรมระหว่างเจ้าชีวิตและขุนนางคืออะไรกัน”

หลินกงกงกล่าวเสียงห้าว “เมื่อเป็นคนของต้าโจว เจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่คิดอยากเป็นขุนนางจริงหรือ”

“ต่อให้ข้าต้องการเป็นขุนนาง ศิษย์พี่เคยคิดอยากเป็นเจ้าชีวิตตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เขาส่ายหน้าพลางกล่าวต่อ “ศิษย์พี่รู้วิธีรักษาผู้คน แต่เขาจะไปรู้วิธีรักษาประเทศที่เหลวแหลกได้อย่างไรกัน”

หลินกงกงเชื่อว่าเขาเข้าใจบางอย่างแล้ว น้ำเสียงก็เย็นเยียบยิ่งขึ้น “จักรพรรดินีมารมิใช่มารดาเจ้า เจ้าก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นทางที่ดีเจ้าควรรีบตื่นได้แล้ว อย่าเชื่อว่าเพราะนางช่วยเจ้าไว้บนยอดเขาสุสานเทียนซู นางจะมีความรักต่อเจ้าล้ำลึกจนเจ้าต้องปกป้องสุสานของนางด้วยความกตัญญู”

เฉินฉางเซิงตอบ “บนกระดานหมาก เบี้ยแบ่งเป็นสีแดงสีดำ หากข้าเป็นตัวหมากของเหนียงเหนียง แล้วจะยังเป็นหมากของท่านด้วยได้อย่างไร”

ทั่วโลกรู้ว่าเขาเป็นตัวหมาก เป็นผลไม้ ที่ผู้ต่อต้านเทียนไห่ได้ใช้เวลาหลายปีเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบาก

แม้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้สังหารหรือกินเขา ผลไม้นี้ก็ยังส่งพิษเข้าสู่กายนางได้สำเร็จ

นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าชะตาหรือวิถีสวรรค์ ลึกลับยากที่จะเอาชนะได้

เมื่อเขาเป็นหมากของอาจารย์ เขาย่อมไม่ใช่หมากของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการสืบสวนอีก

นี่เป็นเรื่องที่เขาใช้เวลาสามวันทำความเข้าใจ

“เจ้าเลยเชื่อว่านางเป็นคนดีและรู้สึกเศร้าที่นางจากไป จึงปฏิเสธไม่รับราชโองการอย่างนั้นหรือ หรือเจ้าจะบอกว่ามีคนมากมายตายไปในจิงตูช่วงสามวันมานี้ เป็นเรื่องขัดกับหลักการของเจ้า อย่าลืมคำว่า ‘คุณธรรมความสามารถ’ หรือ ‘ชอบธรรมมีเมตตา’ นั้นไม่อาจใช้พูดถึงนางได้ หากนางเป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ ในจิงตูจะมีคนตายมากกว่านี้เสียอีก”

หลินกงกงกล่าวพลางมองไปทางเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

“จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนดีอะไร นั่นเป็นสิ่งที่รู้กันดี บนยอดเขาสุสานเทียนซูนางได้ช่วยชีวิตข้าเพียงเพราะนางต้องการจะช่วยชีวิตข้าในตอนนั้น”

เฉินฉางเซิงเลื่อนสายตาขึ้น ในที่สุดก็มองไปที่สุสานซึ่งไกลออกไปจนแทบมองไม่เห็น หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวต่อ “ข้าไม่อาจหลอกลวงตัวเองให้คิดว่าการกระทำนั้นเป็นสัญญาณของความรักระหว่างแม่ลูก หรือความเมตตาอันยิ่งใหญ่…แต่สุดท้ายแล้ว นางก็ช่วยชีวิตข้าไว้ และในตอนนั้นข้าก็สัมผัสได้ว่าความเมตตาของนางนั้นเป็นของจริง”

ในระหว่างนี้เขาสงบนิ่งแต่ก็เดียวดาย การที่อารมณ์ทั้งสองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เยาว์คนหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ช่างเป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนัก

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ดึงสายตากลับมาและก้มหน้าลง “กงกงควรรู้ดีว่าข้าไม่เชื่อใครอีกต่อไปแล้ว”

เป็นใครพบเจอกับเรื่องทั้งหมดที่เขาพบเจอมา ก็คงไม่เชื่อใครในโลกนี้อีกต่อไป

“เจ้าเชื่อใจข้าได้ เหมือนเช่นคนอื่นอีกมากมาย” หลินกงกงกล่าวพลางมองกลับไปที่เขา

อยู่ในเมืองซีหนิง เฉินฉางเซิงย่อมไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับขันทีชราผู้นี้ แต่หลังจากมาถึงจิงตู เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอีกต่อไป เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้าง

ในสายตาคนทั่วไป หลินกงกงเป็นผู้กล้าที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ เป็นบัณฑิตผู้ภักดีต่อรัฐ เป็นสุภาพชนที่ไม่เคยข่มเหงผู้ใด

ในตอนนั้นจักรพรรดิไท่จงไม่อาจตัดสินใจเลือกรัชทายาทได้ วังหลวงเป็นสถานที่อันตรายอย่างที่สุด ในฐานะพี่น้องบุญธรรมของจักรพรรดิเซียน เขาตัดสินใจที่จะอุทิศตัวเข้าสู่วังหลัง กลายเป็นขันทีเพื่อช่วยปกป้องจักรพรรดิเซียน หลังจากนั้นเมื่ออาการประชวรของจักรพรรดิเซียนแย่ลง และจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เริ่มเข้ามาปกครองอาณาจักร เพื่อราชวงศ์ต้าโต้วและประชาชน เขาต้องทนนิ่งเงียบอยู่ในวังจนกระทั่งจักรพรรดิเซียนสวรรคต

หลินกงกงได้ทำสิ่งคล้ายคลึงกันนี้มามากมายตลอดชีวิตของเขา ชั่วชีวิตของเขาคือตำนาน เข้าใกล้กับความสมบูรณ์แบบ

คืนนี้ เขามายังสำนักฝึกหลวงพร้อมกับราชโองการ เพื่อราชวงศ์ต้าโจว เพื่อประชาชน เพื่อฝ่าบาท เขาหวังว่าจะทำให้เฉินฉางเซิงอยู่ใต้การควบคุม

เพื่อจะให้เฉินฉางเซิงอยู่ในการควบคุม สิ่งที่หลินกงกงทำเป็นอย่างแรกเพื่อโน้มน้าวเฉินฉางเซิงคือสิ่งใดกัน ในโลกนี้ มีบางสิ่งที่คู่ควรให้เชื่อมั่นอยู่เสมอและคุ้มค่าให้ต่อสู้ดิ้นรน

อาทิราชวงศ์ต้าโจวที่ดำรงอยู่ต่อไปอีกพันปี อาทิอนาคตอันสดใสของมนุษยชาติ อาทิเกียรติยศของราชสกุลเฉิน อาทิบัลลังก์ของฝ่าบาท

หอตำราเงียบสงัด

“ข้าไม่เชื่อใจท่าน”

ไม่มีการลังเลหรือใคร่ครวญ คำตอบของเฉินฉางเซิงนั้นตรงไปตรงมาและหนักแน่นยิ่ง

ในมุมมองของเขา สิ่งที่เรียกว่าชอบธรรมและความภักดีไม่มีประโยชน์อันใด

หลินกงกงหรี่ตาถาม “ทำไม”

เฉินฉางเซิงตอบ “เพราะก่อนหน้านี้ท่านใช้ญาติเรามาข่มขู่เรา”

หลินกงกงตอบอย่างเรียบเฉย “ข้าใช้ชีวิตของญาติพวกเขาเพื่อเปิดประตูสำนักฝึกหลวง ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีคนตาย ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีหรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงถาม “ตราบใดที่ท่านบรรลุเป้าหมาย ใช้วิธีการใดก็ไม่สำคัญเช่นนั้นละหรือ”

“ถูกแล้ว ตราบใดที่ไม่ลืมเจตจำนงแรกเริ่มไปเสียก่อน”

หลินกงกงประกาศอย่างภาคภูมิ “ข้าใช้ทั้งชีวิตพิสูจน์ว่าข้าได้ทำเช่นนั้น”

เฉินฉางเซิงไม่พูดเรื่องนี้ต่อไปแต่ถามขึ้น “หากข้าปฏิเสธราชโองการอย่างหนักแน่นจะเกิดอะไรขึ้น”

“ที่พระราชวังหลี เจ้าสำนักซางกล่าวกับข้าว่าสำนักนี้ช่างเล็กนัก หากทำลายเสียจะสร้างใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก”

สุ้มเสียงหลินกงกงกลายเป็นยิ่งใหญ่อยู่บ้าง เสมือนเทพเซียนและยังเหมือนเสียงภูตผีจากนรกภูมิ

“นี่คือเจตนาแรกเริ่มของท่านสินะ”

เฉินฉางเซิงหยุดไปครู่หนึ่งและพยักหน้า “ข้าเสียใจมากที่เพื่อนคนหนึ่งได้จากไป”

หลินกงกงถาม “ต่อให้เพื่อนเจ้าคนนั้นอยู่ที่นี่ จะเปลี่ยนสิ่งใดได้”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและกล่าว “แน่นอน เขาไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้ แต่ข้าไม่ใช่คนพูดเก่ง หากเขาอยู่ที่นี่ บางทีเขาอาจพูดแทนข้าได้อย่างชัดเจน”

หลินกงกงถาม “หากเพื่อนเจ้าอยู่ที่นี่ เขาจะพูดอะไร”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน คิดว่าเพื่อนคนนี้จะพูดอะไรหากพบกับสถานการณ์เช่นนี้

จากนั้น เขาก็หันมาและมองเข้าไปในดวงตาหลินกงกง

“หลายปีมานี้ อ๋องสกุลเฉินในเมืองต่างๆ ทำตัวเช่นทรราช ข่มเหงรังแกประชาชน แต่ท่านเคยพูดอะไรเรื่องนี้บ้างหรือไม่”

“จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ใช้โจวทง เฉิงจวิ้นและเหล่าขุนนางชั่วช้า แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนดี ตอนนี้ พวกเจ้าก็ใช้โจวทงเช่นกันและจะใช้เขาต่อไป แล้วพวกเจ้านับว่าเป็นคนดีได้หรือ”

“ปีนั้น ท่านยอมตายเพื่อความคิดที่ท่านปั้นแต่งขึ้นเอง ท่านตอนตัวเองเข้าสู่วังหลวง ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าพ่อแม่ท่านจะคิดอย่างไร ฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไร”

หลินกงกงพลันตึงเครียดขึ้นมาและตะโกน “ข้ากับฝ่าบาท…”

ไม่รอให้เขากล่าวจบ เฉินฉางเซิงพูดต่อไป “ฝ่าบาทรักท่านเช่นพี่น้อง แต่ท่านหวังเพียงเป็นขุนนาง หรือทาสรับใช้ ทำให้ฝ่าบาทต้องโดดเดี่ยวและโศกเศร้า ความรักไปอยู่ที่ไหนกัน”

หลินกงกงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเราแต่แรกก็เป็นเจ้าชีวิตกับขุนนาง ดังนั้นย่อมต้องเป็นเจ้าชีวิตกับขุนนาง…”

เฉินฉางเซิงไม่ยอมให้เขากล่าวต่อจนจบ พูดต่อไปอย่างใจเย็นและหนักแน่น

“ข้าไม่สนว่าท่านถือความสัมพันธ์กับจักรพรรดิเซียนเช่นใด แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ข้ามีกับศิษย์พี่”

“ศิษย์พี่ไม่ปรารถนาที่จะถือตนเองเป็นเจ้าชีวิต ข้าย่อมไม่ถือว่าตนเองเป็นขุนนาง”

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นว่าที่สังฆราชตลอดมา หาใช่ขุนนาง”

.……

……

.……

……

หลินกงกงยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยวและเย้ย “เจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นว่าที่สังฆราชอยู่อีกหรือ ช่างน่าขันอย่างแท้จริง”

“หากเพื่อนคนนั้นของข้ายังอยู่ที่นี่ เขาต้องพูดว่า…นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านมีสิทธิ์ถาม คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”

น้ำเสียงเฉินฉางเซิงยังคงสุขุม ไม่มีความเย้ยหยัน ราวกับเป็นการคัดลอกเลียนแบบของเครื่องจักร

รวมถึงตอนที่เขาพูดคำว่า ‘สิทธิ์’ และ ‘เป็นใครกัน’

เขาศึกษาวิธีพูดของเพื่อนคนนั้น

เมื่อลักษณะการพูดเช่นนี้รวมกับท่าทีเช่นนี้ ก็มีอำนาจทำลายล้างเหนือจินตนาการ

นี่ก็เหมือนกับที่เพื่อนของเขาเคยพูดไว้ในโรงเตี๊ยมส่วนหลีจื่อเมื่อสามปีก่อน

หลินกงกงหายใจฟืดฟาด

ในตอนนี้ ผู้คนมากมายหายใจเร็วขึ้น นอกสำนักฝึกหลวง ทหารม้าเกราะดำเตรียมที่จะบุก เหล่าม้าศึกที่สวมชุดเกราะหนักก็หายใจหนักหน่วงเช่นกัน

ไม่นานนัก บางทีเขาอาจสะกดความโกรธเอาไว้ได้ หลินกงกงจึงสุขุมกว่าเดิมมาก

เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้านับเจ้าเป็นคนสำคัญ เพราะสถานะของเจ้าในนิกายหลวงและเชื่อเสียงเล็กน้อยที่เจ้าสร้างขึ้นช่วงสามปีมานี้ แต่ไม่ใช่ตัวเจ้า เจ้าคิดว่าพวกเด็กกลุ่มหนึ่งอย่างเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้อย่างนั้นหรือ ต่อต้านวิถีสวรรค์ที่ถาโถมมาได้อย่างนั้นหรือ ไม่ เจ้าจะทำให้คนมากมายต้องตายเพราะการตัดสินใจโง่ๆ ของเจ้า”

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วเลือดของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไม่เคยเปื้อนมือของท่านและท่านก็สะอาดไปตลอดกาล เช่นนั้นใช่หรือไม่”

หลินกงกงประกาศอย่างภาคภูมิ “นั่นเพราะข้าถือความชอบธรรมเอาไว้”

เฉินฉางเซิงคิดถึงเมื่อสามปีก่อนตอนอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย เหล่าคนที่ต้องการให้สวีโหย่วหรงแต่งกับชิวซานจวินก็พูดถึงความชอบธรรมในการที่บอกให้เขายกเลิกการหมั้นหมายกับนาง

เขากล่าว “ข้าผิดไปแล้ว”

หลินกงกงพูดอย่างเฉยชา “สำนึกได้ก็สายไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “ข้าบอกว่าหากเพื่อนข้าอยู่ที่นี่ เขาคงไม่พูดคำพูดเหล่านี้ที่ข้าเพิ่งพูดกับท่านไป”

หลินกงกงขมวดคิ้วถาม “อย่างนั้นหรือ”

สวีโหย่วหรงตอบ “เขาคงพูดแค่สามคำ”

หลินกงกงหรี่ตาและถามอย่างเรียบเฉย “สามคำไหน”

เฉินฉางเซิงตอบ “***มารดาท่าน”