ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 6 เรื่องหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลังจากเฉินฉางเซิงพูดสามคำนั้นออกไป เป็นธรรมดาที่การอ่านพระราชโองการไม่อาจดำเดินต่อไปได้อีก

หลินกงกงมองเขาอย่างใจเย็นแล้วถาม “คิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าหรือ”

เฉินฉางเซิงตอบ “สามวันหลังจากจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เขาส่งคนมาสังหารว่าที่สังฆราช ช่างเป็นสิ่งที่น่าบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์”

หลินกงกงมองเขาอย่างใจเย็นกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มกลั้น “เจ้าเป็นศิษย์น้องที่ฝ่าบาทรัก และยังมีผู้สนับสนุนมากมายในนิกายหลวง เหมือนที่เจ้ากล่าว หากข้าสังหารเจ้าจริงๆ ฝ่าบาทจะทรงกริ้วและจิงตูจะวุ่นวาย เพื่อให้เหตุการณ์สงบ เพื่อให้มีคำอธิบายในประวัติศาสตร์ บางทีข้าอาจได้รับคำสั่งให้ฆ่าตัวตาย”

เฉินฉางเซิงตอบ “แต่ท่านก็ยังคงสังหารข้าอยู่ดี”

หลินกงกงกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เพราะเจ้าได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว และข้ายังสัมผัสได้ถึงอันตรายในการมีเจ้าอยู่ เมื่อเจ้าไม่ยินดีเป็นขุนนาง เจ้าก็ต้องตายสถานเดียว เมื่อฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาต้องทำให้ทั้งโลกสยบ ใครก็ตามที่ยังภักดีต่อจักรพรรดินีมารต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ผลสุดท้ายของข้านั้นไม่สำคัญ…เพราะข้าเป็นผู้ภักดีอย่างโง่เขลา”

“โง่เขลาไม่ได้หมายความว่าท่านมีสิทธิ์พูดจาไร้สาระ หรือเป็นสิ่งที่ควรค่าให้นับถือ”

เฉินฉางเซิงหันออกจากหน้าต่าง แสงตะวันฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสเยือกเย็นส่องลงมาบนชุดเขา ดูราวกับแสงดาว

เขาชักกระบี่ออกและปักด้ามลงไปในฝัก

มือนั้นมั่นคงอย่างมาก เฉกเช่นลมหายใจและน้ำเสียง “ตอนนี้อาจารย์อยู่ที่พระราชวังหลีอย่างนั้นหรือ”

หลินกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าเฉินฉางเซิงจะสงบเยือกเย็นได้ในตอนนี้

“ท่านคิดหรือไม่ว่าเหตุใด เมื่อสามวันก่อนบนยอดเขาสุสานเทียนซู เขาถึงไม่สังหารข้า หรือทำไมเขาไม่เคยมาพบข้าที่สำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงมองหลินกงกงและกล่าวต่อ “เพราะเขาไม่กล้ามาพบข้า และไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถสังหารข้าเงียบๆ ได้”

……

……

“ข้าเลี้ยงเขามากับมือ หากข้าเอ่ยปากบอกให้เขาตาย เขาก็ควรจะตายอย่างเชื่อฟัง มันคือหน้าที่”

เสียงเย็นเยียบชัดเจนราวกับฤดูใบไม้ร่วงดังขึ้นในตำหนักที่เงียบสงบเป็นส่วนตัวที่สุดในพระราชวังหลี

“ศิษย์พี่ หากนี่คือหน้าที่ เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่กล้าไปที่สำนักฝึกหลวงเพื่อเจอเขา”

สุรเสียงสังฆราชดังขึ้นเช่นกัน

“ทำไมข้าจะไม่กล้าไปเจอเขา ข้าไม่ต้องการไปเพราะความเศร้าอันโง่เขลาจะทำให้เขาพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมและทำให้ข้าโกรธ”

ซางสิงโจวไม่ดูธรรมดาอย่างที่เขาเคยเป็นในช่วงยี่สิบปีมานี้ เขายังสวมชุดนักพรตทว่าไม่มีใครมองเขาเป็นนักพรตวัยกลางคนธรรมดาอีกต่อไป

ศีรษะมีผมสีดำ มีประกายสีขาวแซมอยู่ประปราย ใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณนุ่มลื่นราวกับทารก สุขุมเยือกเย็นและบริสุทธิ์จนน่ากลัว เขาแก่กว่าสังฆราช แต่กลับดูเด็กกว่ามาก ร่างกายปานเปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด

สังฆราชมองเขาและกล่าวถามอย่างสุขุม “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วทำไมศิษย์พี่ถึงได้มาหาข้าเล่า ท่านไม่กลัวว่าข้าจะพูดอะไรไม่เหมาะสมและทำให้ท่านโกรธบ้างหรือ”

ซางสิงโจวตอบ “ข้ามาพบเจ้าเพราะข้าหวังว่าจะได้ปรึกษากับเจ้าถึงเรื่องการสืบทอดคำสอนของข้า”

สังฆราชตอบกลับไป “ไม้เท้านั่นน่ะหรือ”

ซางสิงโจวยืนยัน “ถูกต้อง”

สังฆราชยืนยันความต้องการของเขาแล้ว เขาถามหลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง “ทำไม”

ซางสิงโจวตอบอย่างใจเย็น “เมื่อเทียนไห่ตายไปแล้ว ปล่อยเขาไว้จะมีประโยชน์อะไร”

สังฆราชส่ายหน้าช้าๆ “ตอนเป็นเด็ก เขาเชี่ยวชาญสามพันมหามรรค มีพรสวรรค์สูงส่งในการบำเพ็ญเพียร และพฤติกรรมก็ไม่มีอะไรให้ตำหนิได้”

ซางสิงโจวมองกลับไปอย่างใจเย็นและกล่าว “ศิษย์น้อง เจ้าควรรู้ว่าการสืบทอดนิกายหลวงหาได้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ไม่ มิเช่นนั้นจะเป็นเจ้าได้อย่างไร”

สิ่งสำคัญที่สุดในการกำหนดตัวผู้สืบทอดนิกายหลวงก็คือความสามารถที่จะทำให้นิกายหลวงสืบทอดต่อไปอีกหลายพันรุ่น ผู้สืบทอดหาได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากแต่เป็นผลประโยชน์

ย้อนกลับไปตอนที่พระราชวังหลีเลือกสังฆราชองค์ต่อไป ซางสิงโจวที่มีการบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยและมีความเก่งกาจในแง่กลยุทธ์และความมุ่งมั่น ได้ถอนตัวออกจากการแข่งขันก็เพราะเหตุนี้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของพวกเขา แล้วทำไมถึงต้องมีการยกเว้นในตอนนี้ด้วย

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องในอดีต สังฆราชก็เงียบไปเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็กล่าว “เลือดของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นทายาทที่จากไป”

เมื่อไม่อาจพูดเรื่องพรสวรรค์หรือเส้นทางแห่งจิตได้ มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น สิ่งที่อยู่ในใจเขาก็คือสิ่งนี้

“ใช่ ข้าเคยรับปากนักบวชนั่นว่าตราบใดที่แผนการใหญ่สำเร็จ เฉินฉางเซิงซึ่งเป็นตัวแทนทายาทที่จากไปจะกลายเป็นสังฆราชคนต่อไป และพวกเขาจะไม่ต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์”

ซางสิงโจวพูดต่อไปอย่างเรียบเฉย “แต่คืนนั้น เทียนไห่ทำลายการส่งจิตของเขา ทำลายเส้นทางของทายาทที่จากไป ซึ่งต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการสร้างขึ้น ต่อให้พวกเขาได้สืบทอดมรดกของดินแดนเซิ่งกวง พวกเขาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีเพื่อทำลายเขตแดนอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมข้าต้องรักษาสัญญาและให้เด็กนั่นเป็นสังฆราชด้วย”

สีหน้าสังฆราชไม่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาถามอย่างเรียบเฉย “แล้วท่านอยากให้ใครเป็นสังฆราช”

ซางสิงโจวไม่กล่าวอะไร เพียงแค่ตบมือเท่านั้น

เสียงตบมือดังก้องไปทั่วห้องอันเงียบเชียบรโหฐานนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กสาวนางหนึ่งก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงฝีเท้าแผ่วเบา

คืนนั้น เด็กสาวผู้นี้ก็ปรากฏตัวที่สุสานเทียนซู

นางมีใบหน้างดงามมีเสน่ห์ แต่ก็มีกลิ่นอายความสูงส่งและภาคภูมิอย่างไม่อาจปิดบังได้

มู่จิ่วซือ หนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงที่เยาว์วัยและลึกลับ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ปฏิบัติต่อนางต่างจากคนอื่น

สังฆราชดูเหมือนจะไม่ประหลาดใจ เขาถาม “เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าต้องเป็นสังฆราช”

มู่จิ่วซือหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นคนรู้จักคิด ข้าไม่มั่นใจในการสู้กับสวีโหย่วหรงเพื่อแย่งชิงความเคารพรักจากชาวใต้ ดังนั้นข้าย่อมไม่ไปสถานศึกษาหนานซีเพื่อเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”

นางหัวเราะอย่างเปิดเผยมาก แต่คำพูดนั้นช่างจองหองถือดี

“แต่เฉินฉางเซิงหาได้มีค่าอันใด ทำไมข้าต้องให้เขาเป็นสังฆราชด้วย”

สังฆราชยิ้มให้นางแต่ไม่พูดอะไร

รอยยิ้มมู่จิ่วซือลึกลงกว่าเดิม รอยยิ้มที่เด็กสาววัยเดียวกันไม่น่าจะมีได้

คำพูดที่นางกล่าวลึกล้ำยิ่งกว่า เหมือนกับคำพูดที่สลักลงบนไม้ ไม่ใช่คำพูดที่ควรกล่าวออกจากปากสังฆราชแม้แต่น้อย

“ท่านไม่ได้บอกหรือว่า…ท่านกำลังจะตายแล้ว” นางมองไปที่สังฆราชและหัวเราะ “ต่อให้ท่านไม่ต้องการให้ข้าเป็นสังฆราช ก็ไม่อาจหยุดข้าได้หลังจากท่านตายไป แล้วทำไมไม่ทำให้ตรงไปตรงมาตอนนี้เสียเลยเล่า ในอนาคต เมื่อข้าเป็นสังฆราช เพื่อเห็นแก่ความเมตตาของท่าน ข้าย่อมให้เฉินฉางเซิงมีทางรอด”

ในคืนนั้นบนสุสานเทียนซู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ถามสังฆราชถึงเหตุผล เหตุผลที่สังฆราชตอบนั้นชัดเจนยิ่ง เขาชราแล้วและกำลังจะตาย

นี่คือเรื่องจริง แต่การพูดจาของมู่จิ่วซือนั้นออกจะไร้สัมมาคารวะไปบ้าง

ซางสิวโจวยกมือขึ้นบอกว่านางควรหุบปากลง จากนั้นก็กล่าวกับสังฆราช “ครึ่งหลังของชีวิตข้านี้ มีความต้องการสองอย่างเท่านั้น ข้าทำอย่างหนึ่งสำเร็จแล้ว”

สิ่งนี้ เขาย่อมพูดถึงการตายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

“อีกอย่างที่ข้าต้องการศิษย์น้องก็รู้เช่นกัน ก็คือการกำจัดเผ่ามารและทำให้ความปรารถนาก่อนตายขององค์ไท่จงสำเร็จ เจ้าก็เห็นด้วยกับข้าเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เจ้าร่วมมือกับข้าในคืนนั้น เจ้ารู้ดีว่าการกำจัดเผ่ามารนั้นเราต้องรวมกำลังทั้งหมดที่เรามี องค์ไท่จงสามารถสร้างพันธมิตรระหว่างมนุษย์และเผ่าปีศาจได้ จากนั้นเทียนไห่กับเจ้าก็ทำการบรรจบกันของเหนือใต้ได้สำเร็จ ที่ต้องทำต่อไปก็คือการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อน ข้าจึงเริ่มฟูมฟักมู่จิ่วซือ ตอนนางอายุห้าขวบ ข้าได้มอบตำแหน่งมหามุขนายกวิหารปฏิญญาให้กับนาง แล้วทำไมนางจะเป็นสังฆราชไม่ได้”

สังฆราชอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

ซางสิงโจวกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าไม่เคยมีสตรีคนใดได้รับตำแหน่งสังฆราชมาก่อน แต่เมื่อเจ้าสามารถสนับสนุนเทียนไห่ให้ขึ้นครองบัลลังก์ต้าโจวได้ เจ้าก็ควรสนับสนุนนางเช่นกัน ศิษย์น้อง เจ้าต้องไม่ลืมว่านางเป็นตัวแทนดินแดนต้าซีทั้งหมด ตำแหน่งมหามุขนายกวิหารปฏิญญาอย่างเดียวไม่พอ เราต้องเสียสละมากพอจึงจะทำให้มนุษยชาติรวมตัวกันได้อย่างแท้จริง”

สังฆราชเงียบไปเป็นเวลานานเหมือนจะไร้สิ้นสุด ในที่สุดเขาก็สวมมงกุฎเทพ สวมชุดคลุมเทพ เดินไปที่กำแพงที่อยู่ลึกที่สุดของตำหนัก

กำแพงหินค่อยๆ แยกออก แสงศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ฉายออกมาจากตรงนั้น ส่องใบหน้ามู่จิ่วซือ นางยิ้มอย่างภาคภูมิ

ซางสิงโจวมองไปที่นาง

มู่จิ่วซือก้าวออกไป คว้าแขนสังฆราชเอาไว้

สังฆราชหยุดและมองนาง

นางยิ้มกลับไปอย่างอ่อนหวาน ไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ

สังฆราชไม่พูดอะไรและดินต่อไปยังอีกด้านหนึ่งของกำแพงหิน

อีกด้านหนึ่งก็คือโถงตำหนักแสงสว่าง

มุขนายกหลายร้อยคนรออยู่อย่างเงียบงันภายในห้องโถง

นักบวช นักเรียน อาจารย์และทหารม้ารวมหลายหมื่นคนรออยู่นอกห้องโถง

สังฆราชเดินไปยังที่ที่แสงเจิดจ้าที่สุด

มู่จิ่วซือยืนอยู่ข้างกายเขา

ภาพนี้ทำให้คนสำคัญหลายคนในนิกายหลวงรวมถึงอันหลินและจวงจือห้วนมีสีหน้าตกใจ

เหมาชิวอวี่ยืนเงียบอยู่ด้านหน้า สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

สังฆราชมองไปยังฝูงชนและประกาศ “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะประกาศ”